บทที่ 972 เหมือนเคยเห็นมาก่อน
เมื่อไม่มีการควบคุม ทั้งยังไม่ต้องคอยระมัดระวัง
ตอนนี้บุปผาจันทราที่เติบโตขึ้นเป็นครั้งที่สามก็เรียกได้ว่าเติบโตแบบก้าวกระโดด เวลาเพียงแค่สามวัน กิ่งก้านสาขาที่แตกออกมาจากพืชพรรณตนนี้มีมากกว่าตอนอยู่ในสำนักเมฆาหนึ่งเดือนกว่าๆ เสียอีก
ถ้ำที่ป๋ายเสี่ยวฉุนขุดใหม่ถูกรากที่หนาใหญ่ของบุปผาจันทรายึดครองไปเกินครึ่ง มันงอกงามขึ้นสูงสู่ท้องฟ้าอย่างไม่หยุดยั้ง ตอนนี้สูงถึงเจ็ดแปดจั้งแล้ว
หากไม่เป็นเพราะป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าพื้นที่ที่ตัวเองเคลื่อนไหวได้มีน้อยเกินไปจึงกระแอมอย่างไม่พอใจไปหนึ่งที เกรงว่าถ้ำแห่งนี้คงถูกมันยึดพื้นที่ทั้งหมดไปแน่
ยังดีที่บุปผาจันทราดอกนี้มีจิตสำนึกเป็นของตัวเอง พอสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงเว้นพื้นที่หนึ่งไว้ให้เขา แล้วแผ่รากอ้อมออกไปทางอื่น
ใต้พื้นที่ราบน้ำแข็ง รากของบุปผาจันทราก็ยิ่งแผ่ขยายไปอย่างบ้าคลั่ง กินอาณาบริเวณนับสิบลี้ และยังคงแผ่ออกไปอย่างต่อเนื่อง…
ส่วนใบไม้น้ำแข็งใบนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้เอามันไปทาบกิ่งใหม่อีกครั้งตั้งนานแล้ว หลังจากนั้นเขาจึงไม่ได้สนใจบุปผาจันทราอีก แต่เริ่มฝึกตนของตัวเองไป
นั่นเป็นเพราะว่าช่วงเวลาที่มาอยู่สำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้า มีคนจับจ้องมากเกินไป แถมยังมีบัญญัติห้าประการ ยามฝึกตนป๋ายเสี่ยวฉุนจึงต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ อย่างเช่นเลือดคงกระพันก็จำต้องหยุดการฝึกเอาไว้ก่อน
ตอนนี้ในที่สุดก็มีโอกาส ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วหยิบเอาโครงกระดูกสองโครงออกมาจากในถุงเก็บของ…มันก็คือโครงกระดูกที่ผสานรวมกันได้เพียงครึ่งเดียวซึ่งป๋ายเสี่ยวฉุนเก็บเอามาจากชั้นที่สองของเรือกระดูกมารดาแห่งผี!
ตอนนั้นที่สัมผัสกับโครงกระดูกสองโครงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามีพลังชีวิตเข้มข้นขุมหนึ่งไหลกรากเข้ามาในร่าง ทำให้เลือดคงกระพันของเขาพากันเดือดพล่าน
น่าเสียดายที่เขาไม่เคยมีโอกาสได้กลืนกิน ตอนนี้หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกจึงเอาโครงกระดูกทั้งสองออกมาพินิจดูอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นกระดูกคงกระพันสีทอง หรือจะเป็นกระดูกอีกโครงหนึ่งที่เหมือนผลึกแก้วก็ล้วนทำให้ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนมีจินตนาการมากมายผุดขึ้นมา
“ตอนนี้ข้าฝึกบทมิวางวายมาถึงขั้นสุดท้ายอย่างเลือดคงกระพันแล้ว…แต่บทอมตะกลับไม่เคยมีวี่แววมาจนถึงวันนี้ โครงกระดูกนี่ก็คือสิ่งเดียวที่อาจทำให้ได้รับบทอมตะมา” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำ นิ่งคิดไปครู่หนึ่งก็ยกมือทั้งสองขึ้นกดลงไปบนโครงกระดูกทั้งสองโครงนั้น
วินาทีที่ฝ่ามือของเขาสัมผัสโดนโครงกระดูก พลังชีวิตที่น่าตะลึงขุมหนึ่งก็ระเบิดตูมออกมาแล้วดิ่งเข้าหามือทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุน ไหลบ่าเข้าไปในกายเขาโดยตรง
ป๋ายเสี่ยวฉุนร่างสั่นเทิ้ม พลังชีวิตนี้ไม่เหมือนกับเวลาที่เขาได้มาจากการดูดซับยาหรือพืชหญ้า ราวกับว่าสำหรับเลือดคงกระพันแล้ว พลังชีวิตที่อยู่ในโครงกระดูกทั้งสองนี้คือสิ่งที่เหมาะสมที่สุด ถึงขั้นที่ว่าไม่จำเป็นต้องให้เขาชุบหลอม มันก็สามารถก่อตัวกลายมาเป็นเลือดคงกระพันในร่างของเขาได้โดยตรง
และเวลาเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ค้นพบด้วยความตื่นตะลึงว่าในร่างของตนมีเลือดคงกระพันเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งหยดแล้ว และหยดที่สองก็กำลังก่อตัวเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว
“เร็วขนาดนี้เชียว…” ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนฉายแววตื่นเต้น เขาที่ตอนนี้เป็นคนฟ้าช่วงกลางจึงมีพลังการต่อสู้ที่แตกต่างไปจากเดิม และหากเลือดคงกระพันมีการพัฒนาไปอีกระดับ พลังการต่อสู้ของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ย่อมแกร่งกร้าวตามไปด้วย
เมื่อจมจ่อมอยู่กับการฝึกตน พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปแล้วหนึ่งเดือน
หนึ่งเดือนมานี้ไม่มีใครมารบกวนป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงง่วนอยู่กับการฝึกตนตลอดเวลา เลือดคงกระพันที่อยู่ในร่างของเขาสั่งสมมาได้ถึงระดับที่น่าตกใจอย่างยิ่ง ถึงขั้นที่ไม่สามารถนับได้ว่ามีกี่หยดอีกแล้ว…
เพราะจำนวนของเลือดคงกระพันตอนนี้มีสัดส่วนถึงสองเท่าจากหยดเลือดทั้งหมดในร่างเขา!
และยังคงเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ!
ซ้ำยังไม่มีวี่แววที่พลังชีวิตของโครงกระดูกนั่นจะลดน้อยลง ราวกับว่าไร้ที่สิ้นสุดอย่างไรอย่างนั้น ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ฝึกตนอยู่ที่นี่มีความรู้สึกเหมือนตอนฝึกคาถาสุริยันจันทราฟ้าไพศาลในคุกสายฟ้า
“หรือว่าโครงกระดูกสองโครงนี้สามารถประคับประคองให้ข้าฝึกเลือดคงกระพันได้สำเร็จ!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งคิดก็ยิ่งฮึกเหิม รีบเร่งฝึกตนโดยไม่ทันได้สนใจบุปผาจันทรา
และบุปผาจันทราในเวลานี้ที่หลังจากเติบโตอย่างบ้าคลั่งมาตลอดหนึ่งเดือน ความสูงของมันจึงมากหลายสิบจั้งจนเหมือนจะทะลุฟ้าไปแล้ว เมื่อตั้งตระหง่านอยู่กลางพื้นที่ราบน้ำแข็งจึงดูสะดุดตามากเป็นพิเศษ
ขณะเดียวกันมันก็ยังออกดอกจันทราดอกเล็กๆ จำนวนไม่น้อยไปทั่วหลายพื้นที่…แถมยังมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าพื้นที่ราบแห่งนี้เริ่มมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ อีกทั้งรากของบุปผาจันทราที่อยู่ใต้พื้นน้ำแข็งก็แผ่ลุกลามไปหลายร้อยลี้แล้ว
เวลานี้ ความแกร่งกร้าวขุมหนึ่งก็ได้ค่อยๆ ผุดออกมาจากในบุปผาจันทรา ทำให้สัตว์ร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนที่เดิมทีใช้ชีวิตอยู่ในที่ราบน้ำแข็งตื่นตกใจจนพากันหลีกลี้หนีห่าง
ต่อให้เติบโตขึ้น ต่อให้ดูดซับเอาไอความเย็นมามากขึ้น แต่บุปผาจันทราก็ยังคงจำข้อเรียกร้องที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมีต่อมันได้ขึ้นใจ จึงคอยส่งไอความเย็นที่ดูดซับมาเข้าไปในใบไม้อยู่เนืองๆ ทำให้ใบไม้ใบนั้นค่อยๆ แปรสภาพกลายมาเป็นใบไม้น้ำแข็งอย่างสมบูรณ์แบบ
การฝึกตนของป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงดำเนินต่อไป จนกระทั่งผ่านไปได้อีกหนึ่งเดือน เมื่อในที่สุดพลังชีวิตที่อยู่ในโครงกระดูกเริ่มเกิดลางว่าจะแห้งขอด จนกระทั่งไม่มีพลังชีวิตใดๆ ไหลมารวมอยู่ในร่างของเขาอีก ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้ลืมตาขึ้น
วินาทีที่ดวงตาทั้งคู่เบิกโพลงก็ดูเหมือนว่าโลกใบนี้ในสายตาของเขาจะแตกต่างไปจากเดิม และที่ไม่เหมือนเดิมยังมีร่างกายของเขาด้วย มองภายนอกเหมือนปกติ แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าความอุดมสมบูรณ์ของพลังชีวิตในร่างตัวเองน่าตะลึงมากแค่ไหน ซึ่งพลังแห่งการฟื้นฟูที่มาพร้อมกับพลังชีวิตเช่นนี้ก็ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงกับปากอ้าตาค้างเมื่อเรียกกระบี่บินเล่มหนึ่งออกมากรีดร่างตัวเองให้กลายเป็นแผล
เพราะเพียงแค่ชั่วพริบตา บาดแผลนั้นก็ประสานเข้าหากันสนิท ไม่เหลือร่องรอยใดๆ …ราวกับไม่เคยถูกมีดกรีดมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น
“สิ่งที่สำคัญที่สุดซึ่งเพิ่มเติมเข้ามาในเลือดคงกระพัน ก็คือพลังการฟื้นตัวของข้า…”
ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนถี่กระชั้นอย่างคนตื่นเต้น เมื่อตรวจสอบดูเลือดสดในร่างตัวเอง เขาก็สัมผัสได้ทันทีว่าเวลาสั้นๆ เพียงสองเดือนนี้ หลังจากดูดซับเอาพลังชีวิตในโครงกระดูกทั้งสองมา หยดเลือดทั้งหมดในร่างของเขาก็มีถึงสี่ส่วนที่…กลายมาเป็นเลือดคงกระพันแล้ว!!
“เร็วยิ่งนัก!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเลื่อนลอยเพราะไม่กล้าเชื่อ พอตรวจสอบอยู่นานจนแน่ใจแล้วจริงๆ ถึงได้หัวเราะร่าอย่างเบิกบานใจ
ส่วนโครงกระดูกสองโครงนั้นก็หม่นแสงไปไม่น้อย ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงรีบเก็บพวกมันกลับมา ในสายตาของเขา โครงกระดูกสองโครงนี้ก็คือโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา
“ไม่แน่ว่าหลังจากนี้อาจมีประโยชน์อย่างอื่น”
ป๋ายเสี่ยวฉุนลุกขึ้นยืนอย่างกระปรี้กระเปร่า หลังจากยืดเส้นยืดสายแล้วก็กวาดอำนาจจิตออกไปตรวจสอบดูบุปผาจันทราของตัวเอง
การมองครั้งนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตาเหลือกทันที พื้นที่ราบน้ำแข็งที่เดิมทีมีน้ำแข็งหนาชั้น มาตอนนี้หลายพื้นที่มีดินโคลนดำเข้มผุดออกมา…และรากของบุปผาจันทราก็แผ่ลามกินอาณาบริเวณของที่ราบน้ำแข็งไปเกินครึ่ง!
แม้ว่าเมื่อเทียบที่ราบแห่งนี้กับพื้นที่ตลอดทั้งแม่น้ำสายเหนือแล้วมันจะน้อยนิดจนไม่มีค่าพอให้พูดถึง แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังคงตะลึงลานไปกับการเติบโตอย่างบ้าคลั่งของบุปผาจันทราต้นนี้อยู่ดี
นอกจากนี้ บนที่ราบยังมีดอกจันทราขึ้นเต็มไปหมด…หากมองจากบนฟ้าลงมา จะเห็นได้ว่าดอกไม้ที่ออกดอกบานสะพรั่งเต็มพรืดเหล่านี้ได้เรียงตัวกันเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวพอดี
ซึ่งจุดศูนย์กลางของพระจันทร์เสี้ยวนี้ก็คือดอกไม้ยักษ์ที่สูงนับร้อยจั้ง!
“ฮวาฮวา…” ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น ไม่แน่ใจเลยเรียกออกมาหนึ่งคำ
บนลำต้นของดอกไม้ยักษ์นี้มีใบไม้น้ำแข็งเป็นผลึกใสใบหนึ่งที่เด่นชัดสะดุดตา แทบจะวินาทีเดียวกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยเรียก ดอกไม้ยักษ์ก็ส่ายไหวน้อยๆ ก่อนที่ใบไม้น้ำแข็งจะร่วงลงมาลอยอยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน
เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนยื่นมือออกไปรับใบไม้น้ำแข็งก็มีจิตสำนึกกลุ่มหนึ่งถูกส่งออกมาจากในบุปผาจันทรายักษ์ ไม่มีถ้อยคำที่ชัดเจน เป็นเพียงความรู้สึกขอบคุณและอาวรณ์ยามที่ต้องจากลาเท่านั้น…
ราวกับว่าที่ราบน้ำแข็งแห่งนี้ไม่สามารถทำให้มันเติบโตได้อีกต่อไปแล้ว มันหวังว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะยอมให้มันไปยังที่ราบน้ำแข็งแห่งอื่นเพื่อเติบโตต่อไป
เมื่อมีประสบการณ์ได้เห็นสัตว์เล็กสัตว์น้อยเกิดการเปลี่ยนแปลงผิดเพี้ยนหลังจากกินยาของตนเข้าไป ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงไม่ได้รู้สึกประหลาดใจเท่าใดนักกับการที่ดอกไม้ที่ตนปลูกจะมีจิตสำนึกเป็นของตัวเอง
เพราะอย่างไรเสียดอกไม้ลึกลับดอกนี้ก็มาจากนอกโลก
แต่ว่าการที่ดอกไม้นี้เรียกร้องว่าจะจากไปเพียงลำพังก็ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนลังเลเล็กน้อย ผ่านไปพักใหญ่ถึงเอ่ยตอบรับ แต่พูดอย่างเข้มงวดว่าห้ามมันไปทำร้ายใครเด็ดขาด
หลังจากรับรู้ความคิดของป๋ายเสี่ยวฉุน ดอกจันทราก็ส่ายสะบัดลำต้นของตัวเองน้อยๆ ไม่นานป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าบุปผาจันทราใหญ่ยักษ์ตนนี้ค่อยๆ แห้งเหี่ยวลง สุดท้ายก็เป็นเหมือนดอกผู่กงอิง (ดอกแดนดิไลออน ดอกไม้สีเหลืองต้นเล็กที่เมื่อดอกร่วงจะกลายเป็นเมล็ดติดอยู่ที่ฐานดอกเป็นปุยสีขาวกลมๆ) ที่เมื่อลมพัดมามันก็กลายเป็นเมล็ดพันธ์จำนวนนับไม่ถ้วนที่ปลิวกระจายออกไปรอบทิศทั่วแผ่นดินของแม่น้ำสายเหนือ
มองเมล็ดพันธ์ที่ปลิวว่อนเต็มฟ้าราวเมล็ดของดอกผู่กงอิงนี้ ก็ไม่รู้ว่าทำไมป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับภาพเหตุการณ์นี้นัก แต่ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าเคยเห็นภาพแบบเดียวกันนี้ที่ไหน…
ราวกับว่า มันคือความทรงจำที่ฝังอยู่ในส่วนลึกของจิตวิญญาณ ซึ่งวาบผ่านไปใน…แหล่งกำเนิดอันเป็นปลายทางเพียงแวบเดียว ทว่ากลับตราตรึงชั่วนิจนิรันดร์…
“หรือว่าข้าเคยเห็นมาก่อนตอนเด็ก?”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเกาหัวด้วยความประหลาดใจ เมื่อเมล็ดพันธ์ที่เป็นราวกับเมล็ดของดอกผู่กงอิงค่อยๆ สลายหายไป บนท้องฟ้าที่ห่างไกลก็มีรุ้งยาวเส้นหนึ่งปรากฏขึ้น ในรุ้งยาวคือหญิงสาวผู้หนึ่ง ตู้หลิงเฟยกลับมาแล้ว…