Skip to content

A Will Eternal 971

บทที่ 971 โยนออกไป

แฝดอวิ๋นเหลยผู้น้องไม่ทันสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวก่อนตาย เพราะพริบตาเดียวร่างของเขาก็ถูกแรงโจมตีบ้าระห่ำนี้ซัดเข้ามาจนกลายเป็นผุยผง!

วิญญาณต้นกำเนิดของเขาบินออกมาด้วยสีหน้างงงัน และกำลังจะถูกลมพายุกลบทับให้ร่างแหลกลาญอีกครั้ง ทว่าเวลานี้เอง จู่ๆ ก็มีอำนาจจิตเหนือกว่าคนฟ้าเส้นหนึ่งเยื้องกรายลงมา แล้วกลายเป็นมือใหญ่ข้างหนึ่งที่คว้าจับร่างวิญญาณต้นกำเนิดของแฝดน้องอวิ๋นเหลยเอาไว้

หลังจากพายุบ้าคลั่งปะทะเข้ากับมือใหญ่ พายุก็พลันแตกทลาย ขณะเดียวกันก็เหมือนมีเสียงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันดังก้องอยู่ในความว่างเปล่านี้

“ป๋าย เสี่ยว ฉุน!!” ชื่อนี้ สามคำนี้ ทุกคำเน้นย้ำดังราวอสนีสวรรค์ที่ระเบิดเปรี้ยงๆๆ อยู่ในฟ้าดิน ทำเอาจิตวิญญาณของทุกคนถูกเขย่าคลอน ก่อนที่บนนภากาศจะมีเงาร่างมหึมาเผยกาย

ซึ่งก็คือครึ่งเทพแม่น้ำสายเหนือ ในมือของเขาหิ้วร่างบรรพบุรุษสายฟ้าที่เซื่องซึมเอาไว้ เมื่อปรากฏกาย ปณิธานสวรรค์ทั้งหมดที่อยู่รอบด้านก็ถูกเขาขับไล่ออกไป ทำให้ระหว่างฟ้าดินเหมือนมีเพียงแค่เขาคนเดียวที่ดำรงอยู่!

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่พอได้ยินและรับสัมผัสได้ถึงพลังของอีกฝ่าย ความโอหังและความแกร่งกร้าวก่อนหน้านี้ก็สลายไปทันควัน แทนที่มาด้วยความคลางแคลงและเครียดขรึมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในใจก็กำลังร้องโอดครวญ

“เจ้าลิงเฒ่านั่นไม่มีประโยชน์เอาเสียเลย ทำไมไม่ถ่วงเวลาให้ช้ากว่านี้อีกสักหน่อย อีกเดี๋ยวข้าก็จะหนีไปได้แล้วเชียว…คราวนี้จบกัน จะทำยังไงดี…”

ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังกระวนกระวาย อวิ๋นเหลยจื่อที่เห็นว่าวิญญาณต้นกำเนิดของร่างแยกได้รับการปกป้องจากครึ่งเทพก็อดตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้ จึงรีบหันไปกุมมือคารวะครึ่งเทพที่อยู่บนฟ้า

คนฟ้าแม่น้ำสายเหนือคนอื่นๆ เองก็ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ความแข็งแกร่งของป๋ายเสี่ยวฉุนก่อนหน้านี้ทำให้จิตวิญญาณของพวกเขาสั่นสะท้านมากจริงๆ ยามนี้จึงพากันกุมมือคารวะ แม้แต่เฝิงเฉินที่หลบอยู่ในโลงผลึกใสก็ยังรีบบินออกมาคารวะครึ่งเทพด้วยความดีใจ

ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้านิ่วคิ้วขมวด ขณะที่กำลังก้าวถอยไปด้านหลังอย่างระมัดระวัง ในสมองก็มีความคิดมากมายโลดแล่น ครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลาว่าควรจะแก้ไขเรื่องนี้อย่างไร และเวลาเดียวกันกับที่เขาขบคิดนั้นเอง ครึ่งเทพสายเหนือก็จำต้องข่มกลั้นความเดือดดาลของตนลงไป จ้องป๋ายเสี่ยวฉุนเขม็ง ความรู้สึกปวดหัวรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นทำให้ในใจเขารู้สึกอับจนปัญญายิ่งนัก

เขาไม่เพียงแต่ปวดหัว ยังรู้สึกหัวโต นั่นเป็นเพราะไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็ไม่สามารถทำอะไรป๋ายเสี่ยวฉุนได้ เหตุผลนั้นหาใช่เป็นเพราะตู้หลิงเฟย แต่เป็นเพราะเทียนจุน!

เขาเหมือนมองเห็นร่องรอยอะไรบางอย่างที่เลือนรางจากบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน ร่องรอยนี้ทำให้บุรพาจารย์ครึ่งเทพของสายเหนือหวนนึกไปถึงเรื่องราวในอดีต จึงพอจะคาดเดาแผนการบางอย่างของเทียนจุนได้บางส่วน

แล้วก็เพราะการคาดเดาเหล่านี้ถึงทำให้เขามิอาจแตะต้องป๋ายเสี่ยวฉุนได้ แถมขังอีกฝ่ายไว้ก็ยังไร้ผล ขนาดคุกสายฟ้ายังถูกป๋ายเสี่ยวฉุนทำลายเสียพินาศวอดวาย แม้แต่บรรพบุรุษสายฟ้าก็เกือบจะหนีรอดไปได้

ในฐานะเขาที่เป็นครึ่งเทพของแม่น้ำสายเหนือ จึงไม่กล้ากักขังป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้อีก เขาประจักษ์แจ้งแล้ว ตระหนักได้อย่างลึกล้ำว่าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ก็คือหายนะที่สามารถระเบิดปะทุได้ทุกเมื่อ ทางที่ดีที่สุดก็คืออยู่ให้ห่างจากเขา…

“สมควรตายนัก ตอนนั้นทำไมข้าถึงได้เห็นดีเห็นงามให้กักบริเวณเจ้าตัวหายนะนี่ไว้ที่สายเหนือ แถมภายหลังยังจับเขาไปขังไว้อีก นี่มันเท่ากับเอาทัณฑ์อสนีที่เอาแน่เอานอนไม่ได้มาใส่ไว้ในกระเป๋าตัวเองชัดๆ ซึ่งถ้ามันระเบิดเมื่อไหร่ก็เท่ากับพาตัวเองติดร่างแหไปด้วย!” ครึ่งเทพสายเหนือถอนหายใจยาวเหยียดอยู่ในใจตัวเอง นี่เป็นครั้งแรกเลยจริงๆ ที่เจอกับคนที่ทำให้เขาปวดหัวราวหัวจะแตกได้ขนาดนี้

ขณะที่ครึ่งเทพกำลังปวดหัว ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับร้อนใจราวไฟลน ตอนนี้เขาใจสั่นไปหมดแล้ว แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็คิดวิธีรับมือไม่ออก ตอนนี้จึงได้แต่แข็งใจมองครึ่งเทพตาปริบๆ หยั่งเชิงถามไปหนึ่งประโยค

“ศิษย์พี่ใหญ่ครึ่งเทพ คือว่า…งานแต่งของข้ากับเฟยเฟย ท่านจะต้องมาเข้าร่วมด้วยนะขอรับ…” พอประโยคนี้หลุดออกไปจากปาก ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะตัวสั่นด้วยความตึงเครียด แต่กระนั้นก็ยังอดชื่นชมความฉลาดรู้จักพลิกสถานการณ์ของตัวเองไม่ได้ เขารู้สึกว่าประโยคนี้ได้เปิดเผยข้อมูลสามอย่างให้อีกฝ่ายรู้อย่างชัดเจน

ข้อแรก คือความสัมพันธ์ของเขากับตู้หลิงเฟยนั้นสนิทสนมแนบแน่น…อนาคตอาจได้แต่งงานกัน

ข้อสอง มีความเป็นไปได้มากที่เทียนจุนจะกลายมาเป็นพ่อตาของเขา…

ข้อสาม ก็คือเขาตั้งใจจะสลายไฟโทสะของครึ่งเทพ…

ไม่ว่าครึ่งเทพสายเหนือที่ฟังประโยคนี้แล้วจะตระหนักได้ถึงข้อมูลสามข้อนี้หรือไม่ แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าประโยคนี้ของตน ถือว่าร้ายกาจมากพอแล้ว

พอประโยคนี้ดังออกมา ครึ่งเทพสายเหนือก็พลันเงยหน้าขึ้นจ้องป๋ายเสี่ยวฉุนเขม็ง พักใหญ่เขาถึงยกมือขวาขึ้นโบกอย่างแรงพลางแผดเสียงคำรามที่ฟังดูก็รู้ว่าหงุดหงิดแค่ไหน

“หากเจ้ายังกล้าเสนอหน้ามาให้ครึ่งเทพอย่างข้าเห็นในสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าแห่งนี้อีก ต่อให้เจ้าเป็นลูกเขยของเทียนจุน ข้าก็จะฉีกหนังเจ้าออกเป็นชิ้นๆ! ไสหัวไป!”

ทุกคำปานประหนึ่งสายฟ้าที่ระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ยิ่งประโยคสุดท้ายก็ยิ่งทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือนด้วยเสียงเกริกก้อง ป๋ายเสี่ยวฉุนสะดุ้งตกใจ ก่อนที่จู่ๆ พลังมหาศาลขุมหนึ่งจะม้วนตลบขึ้นบนร่างของเขา แล้วกลายมาเป็นพายุลูกหนึ่งที่หอบร่างของเขาขว้างออกไปนอกสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้า

จนกระทั่งป๋ายเสี่ยวฉุนถูกโยนออกไปจากสำนักแล้ว เสียงร้องโหยหวนของเขาถึงได้ดังแว่วๆ มาจากทิศไกล…

พอนักพรตของสายเหนือที่อยู่รอบด้านเห็นภาพนี้เข้า ถึงแม้จะรู้สึกเสียดาย แต่กลับหายใจหายคอโล่งในที่สุด พวกเขาทั้งเกลียดทั้งกลัวป๋ายเสี่ยวฉุน

ขนาดพวกอวิ๋นเหลยจื่อก็ยังรู้สึกแบบเดียวกัน แม้ว่าในใจจะขมขื่น แต่ที่มากกว่านั้นกลับเป็นความเสียใจที่ครานั้นพันไม่ควรหมื่นไม่ควร ไม่ควรจะคิดกักบริเวณและทรมานป๋ายเสี่ยวฉุนเลยจริงๆ

“นี่มันตัวมหาหายนะชัดๆ วิชาอภินิหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาก็คือความสามารถในการทำลายล้างนั่นแหละ! ตอนนั้นพวกเราช่างโง่เขลายิ่งนัก…คนอย่างไอ้หมอนี่ไม่ควรเก็บไว้ข้างกายเด็ดขาด!” อวิ๋นเหลยจื่อยิ้มขื่น แอบถอนหายใจไม่หยุด ขณะเดียวกันก็รู้สึกประทับใจอย่างลึกล้ำต่อพลังการต่อสู้ของป๋ายเสี่ยวฉุน

ส่วนวิชาบรรพจารย์อวิ๋นเหลยแปรเปลี่ยนนั้น พอเขาเห็นว่าในมือบุรพาจารย์ครึ่งเทพหิ้วบรรพบุรุษสายฟ้าเอาไว้จึงรู้ที่มาที่ไปของเรื่องราวได้ทันที

แม้ว่าบรรพบุรุษสายฟ้าจะเซื่องซึม แต่กลับยังไม่ได้หมดสติ เวลานี้กำลังแสยะปากยิ้ม และแม้จะหนีไปได้ไม่สำเร็จ แต่พอเห็นสภาพเละเทะไม่เหลือชิ้นดีของแม่น้ำสายเหนือ ในใจก็ให้ชื่นมื่นปลอดโปร่งยิ่งนัก

“เจ้าเด็กนั่นชื่อป๋ายเสี่ยวฉุนรึ? ไม่เลวๆ เป็นคนหนุ่มที่มีความสามารถมากจริงๆ” ขณะที่เสียงหัวเราะของบรรพบุรุษสายฟ้าดังออกมา ครึ่งเทพสายเหนือก็ทำเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา ไม่ได้สนใจอีกฝ่าย แต่หันไปมองพวกอวิ๋นเหลยจื่อแทน

“พวกเจ้าเป็นถึงคนฟ้าผู้ยิ่งใหญ่ แต่แค่ป๋ายเสี่ยวฉุนคนเดียวกลับเล่นงานพวกเจ้าที่ร่วมมือกันซะกระเซอะกระเซิง ไอ้พวกไร้ประโยชน์!” ไฟโทสะอัดแน่นสุมทรวงครึ่งเทพสายเหนือ พอสั่งสอนพวกอวิ๋นเหลยจื่อจนพอใจถึงพาบรรพบุรุษสายฟ้าเข้าไปยังโลงผลึกแก้วด้วยสีหน้ามืดทะมึน

พวกอวิ๋นเหลยจื่อที่โดนตำหนิได้แต่รับฟังเงียบๆ พวกเขาเองก็รู้สึกขมขื่นไม่น้อยเหมือนกัน ผ่านไปพักใหญ่ถึงหันมามองหน้ากัน ต่างคนต่างมองเห็นความจนปัญญาของอีกฝ่าย

“ช่างเถอะ เขาถูกขับไล่ไปได้ก็ดีแล้ว…”

“ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ก็ถือเป็นปาฏิหาริย์อย่างหนึ่งเหมือนกันนะ…ข้าไม่เคยเห็นใครที่ไหนถูกจับแล้วไม่เพียงแต่ทำให้คุกสายฟ้าพังทลาย ตบะยังฝ่าทะลุได้ด้วย…”

“ชั่วชีวิตนี้ข้าไม่อยากเจอเขาอีกแล้ว!! แม้แต่ชื่อของเขา พวกเจ้าก็อย่ามาพูดให้ข้าได้ยิน!!”

ไม่เพียงพวกคนฟ้าเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ ลูกศิษย์ของสำนักเมฆาและสำนักอัสนีที่อยู่รอบด้านก็พากันทอดถอนใจด้วยความปลงอนิจจัง พวกเขาหวนนึกไปถึงความลำพองใจของตัวเองยามที่กำราบป๋ายเสี่ยวฉุนได้ในตอนแรก คิดว่าต่อให้อีกฝ่ายเป็นมังกร แต่เมื่อมาอยู่แม่น้ำสายเหนือก็ต้องเปลี่ยนเป็นไส้เดือน!

ทว่าตอนนี้…ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ใช้การกระทำบอกกับทุกคนของสายเหนือว่า ต่อให้เขาเป็นแค่ไส้เดือน…แต่ก็ยังสามารถทะลวงให้แม่น้ำสายเหนือเกิดเป็นโพรงใหญ่ได้มากมาย ตอนนี้ในใจของทั้งทุกคนจึงหลงเหลืออยู่เพียงความคิดเดียว…

“ขออย่าให้เจ้าตัวหายนะนั่นกลับมาอีกเลย…”

ขณะที่ทุกคนของสายเหนือเอือมระอาและเหนื่อยล้าไปกับป๋ายเสี่ยวฉุน ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ถูกครึ่งเทพสายเหนือโบกออกมาก็ม้วนตลบไปไกลลิ่ว ครั้นจึงกระแทกลงบนพื้นที่ราบน้ำแข็งแห่งหนึ่งราวกับดาวตก

เสียงตูมดังสนั่นหวั่นไหว พื้นที่ราบน้ำแข็งเกิดเป็นโพรงขนาดใหญ่สั่นสะเทือนอยู่หลายที ครู่หนึ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตะเกียกตะกายคลานออกมาจากในหลุมด้วยสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง

เขาหน้าตาบูดบึ้งเพราะความเจ็บใจ แต่ทว่าพอมองไปยังทิศทางที่ตั้งของสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าที่ห่างไปไกลลิบ ลึกๆ ในใจก็โล่งอกไม่น้อย

“ให้ข้าไป แค่พูดกันดีๆ ก็ได้ ทำไมยังต้องพันธนาการตบะข้าแล้วโยนออกมาด้วย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าคนของแม่น้ำสายเหนือช่างไร้เหตุผล ไร้มนุษยธรรม น่ารังเกียจยิ่งนัก โดยเฉพาะแรงหอบครั้งสุดท้ายของครึ่งเทพสายเหนือนั่นที่มองดูก็รู้ว่าจงใจ

“เอาเถอะๆ พวกเขาไม่ยินดีให้ข้าอยู่ต่อ ก็ตรงกับความต้องการของข้าพอดี หากสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าไม่กักบริเวณข้า ข้าก็คงจากมาตั้งนานแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนทอดถอนใจ หวนนึกถึงภาพเหตุการณ์ต่างๆ ตอนที่ตนอยู่ในสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าก็อดลำพองใจไม่ได้

“หึหึ ตอนนี้พวกเขาคงรู้ถึงความร้ายกาจของข้าแล้วสินะ!”

“กล้ามาตั้งบทบัญญัติห้าประการกับข้าป๋ายเสี่ยวฉุนงั้นหรือ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดเอาอากาศของพื้นที่ราบน้ำแข็งแห่งนี้เขาไปเต็มปอด ความรู้สึกที่ว่าจะไม่ต้องถูกกักขังอีกต่อไป ทำให้สีหน้าของเขาสดชื่นขึ้นไม่น้อย

“ตอนนี้หากข้าจะปลูกบุปผาจันทราก็คงไม่มีใครมาสนใจแล้วกระมัง” พอนึกถึงใบไม้น้ำแข็งที่รวบรวมความเย็นได้เกินครึ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หันไปมองประเมินรอบด้าน แล้วจึงถือโอกาสปรับปรุงโพรงที่ตัวเองกระแทกมาชนเมื่อครู่นี้ให้กลายมามีสภาพเหมือนถ้ำที่เคยอยู่ พอย้ายตัวเองเข้าไปอยู่ด้านในเรียบร้อยแล้วก็หยิบเอาเมล็ดพันธ์ของบุปผาจันทราออกมาเริ่มปลูก

“ฮวาฮวา ที่นี่ไม่มีใครสนใจเจ้าแล้ว รีบโตไวๆ เข้านะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเมล็ดพันธ์ของบุปผาจันทราที่จมลึกลงไปยังพื้นที่ราบน้ำแข็งด้วยสีหน้ารอคอย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version