Skip to content

A Will Eternal 833

บทที่ 833 อ๊าก…อ๊าก…

แดนทุรกันดารกว้างใหญ่เกินไป และจำนวนที่แน่ชัดของวิญญาณพยาบาทซึ่งกระจายตัวอยู่ทั่วแดนทุรกันดารมีมากน้อยเท่าไหร่ก็ไม่มีใครทราบได้ ต่อให้ผู้ฝึกวิญญาณในแดนทุรกันดารจะเอาพวกมันมาใช้ฝึกตนอย่างต่อเนื่อง แต่จำนวนของพวกมันก็ยังคงมากมหาศาลราวกับว่ามีมาเพิ่มเพื่อชดเชยจำนวนที่ขาดหายไปตลอดเวลา

และตอนนี้วิญญาณพยาบาททุกดวงในแดนทุรกันดารที่ไม่ถูกผู้ฝึกวิญญาณเก็บไป ไม่ว่าจะอยู่ในสถานที่ใดก็ล้วนพากันเงยหน้าขึ้น เปล่งเสียงร้องโหยหวนหวีดหวิว ก่อนจะบินออกมาในชั่วพริบตาราวกับถูกเรียกให้ไปรวมตัวกัน!!

ต่อให้ระยะทางจะอยู่ห่างไกลแค่ไหน พวกมันก็ใช้พละกำลังทั้งหมด อาศัยสัญชาตญาณบางอย่างลอยดิ่งไปยังจุดที่เสียงเรียกขานส่งผ่านมา และท่ามกลางการบินทะยานไปอย่างต่อเนื่องนี้ พวกมันก็เหมือนยืมใช้พลังที่มหัศจรรย์บางอย่างมาทำให้ความเร็วระเบิดขึ้นพรวดพราดอีกหลายต่อหลายเท่าจนแทบไม่ต่างจากการหายตัวได้!

และสถานที่ที่ดึงดูดวิญญาณทั่วทั้งแดนทุรกันดารให้มารวมตัวกันก็คือ…บ่อเสียงรัศมีพันลี้ที่เต็มไปด้วยคลื่นแห่งการบิดเบือนซึ่งเกิดจากเสียงหวีดร้องของใบหน้าเด็กหญิงที่จำแลงออกมากลางกลุ่มเลือดสด!

คลื่นเสียงรัศมีพันลี้ที่สร้างความครึกโครมให้กับแดนทุรกันดารนี้มีอานุภาพมากจนเกินจะจินตนาการได้!!

“เสียงผี!!” ราชาผียักษ์หน้าเปลี่ยนสีอย่างหนัก เขาถึงขั้นร้องอุทานเสียงหลง ในใจสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง คลื่นเสียงนี้ทำให้เขากระอักเลือดออกมาไม่ขาดสาย ร่างมิอาจถอยไปข้างหลัง ยิ่งมิอาจเคลื่อนย้าย ทำได้เพียงโคจรตบะออกมาต้านทานคลื่นเสียงที่ทำให้เขาตะลึงพรึงเพริดนี้อย่างสุดความสามารถ!!

และต่อให้เป็นเขาเอง การพยายามต่อต้านกับคลื่นเสียงนี้ก็ยังทำให้เขาตัวสั่นไม่หยุด ร่างทั้งร่างเหมือนจะแตกออกจากกัน ราชาชิงชัย ราชาเก้านรกภูมิและยังมีราชาเทพจุติสามคนที่อยู่ใกล้กับเขาซึ่งถึงแม้ว่าสภาพจะดีกว่าราชาผียักษ์เล็กหน่อย แต่ร่างกลับยังคงสั่นสะท้าน สีหน้าเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง มิอาจขยับตัวได้แม้แต่น้อย!

พวกเขาทำได้เพียงแบกรับคลื่นเสียงที่ดังกระหึ่มไปสี่ด้านแปดทิศเหมือนจะพลิกภูเขาซัดมหาสมุทรซึ่งเข้ามาโจมตีทั่วเรือนกายอย่างต่อเนื่องเอาไว้ให้ได้ ทว่าต่อให้พวกเขาจะเป็นถึงครึ่งเทพ…ก็ยังมิอาจแบกรับได้นานนัก

“มันเป็นแค่วิญญาณส่วนหนึ่งเท่านั้น เหตุใดถึงมีพลังเช่นนี้ได้ เรือนกายที่แท้จริงของมัน…มีตบะอะไรกันแน่!! ต้องเกินกว่าครึ่งเทพแน่นอน!!”

“นี่ไม่ใช่เวทลับของโลกเรา!!” ลมหายใจของราชาชิงชัยหอบถี่ นัยน์ตาฉายความบ้าคลั่ง ปราณกระบี่ทั่วร่างระเบิดไม่หยุดยั้ง แต่กลับถูกคลื่นเสียงที่พุ่งมาใกล้ข่มกำราบได้อย่างราบคาบ

ส่วนราชาเทพจุติเวลานี้ก็ถึงกับร่างซูบผอมลง เรือนกายของเขายิ่งเปลี่ยนมาเป็นแข็งแกร่งกำยำ ลักษณะท่าทางก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ เห็นได้ชัดว่ากำลังต้านทานอย่างสุดความสามารถเช่นกัน

ขนาดพวกเขายังเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกเฉินฮ่าวซงเลย เจ้าพระยาสวรรค์สิบคนล้วนตัวสั่นเทิ้ม ร่างกายก็ซูบเซียวลงอย่างเห็นได้ชัด นัยน์ตาแต่ละคนฉายความหวาดกลัวและตะลึงพรึงเพริด เมื่อเผชิญหน้ากับคลื่นเสียงที่มาจากสี่ด้านแปดทิศ พวกเขาก็ไร้เรี่ยวแรงให้ต้านทานอย่างสิ้นเชิง

ทว่าใบหน้าของเด็กหญิงที่อยู่ในเลือดสดสีม่วงกลับยังคงเปล่งเสียงกรีดร้องบาดแก้วหูไม่หยุด ทั้งยังรุนแรงน่าตกใจมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันในดวงตาของนางก็มีแววดูหมิ่นเสี้ยวหนึ่งลอยขึ้นมา

“นี่ก็คือวิชาอภินิหารบรรพกาลที่เล่าลือกันในตำนาน…เจ้าคือผู้สูงศักดิ์บรรพกาลจากนอกโลกท่านใด!” ต้าเทียนซือกัดฟันพูด บนร่างมีม่านแสงชั้นหนึ่งแผ่ออกมาเพื่อสกัดกั้นคลื่นเสียง ขณะเดียวกันแม้ว่าเขาจะเคลื่อนกายได้ ทว่ากลับยากลำบากอย่างยิ่ง ราวกับว่าเท้าถูกมัดติดไว้ด้วยภูเขาลูกมหึมา ทุกครั้งที่ยกเท้าขึ้นล้วนทำให้เขาหอบหายใจดังฮักๆ

ทว่าคำพูดของเขากลับทำให้ม่านตาทั้งคู่ของเด็กหญิงหดตัว ที่น่าแปลกก็คือทั้งๆ ที่เสียงกรีดร้องซึ่งออกมาจากปากของนางไม่เคยขาดจังหวะ แต่ในกลุ่มเลือดที่นางอยู่กลับเหมือนมีเสียงของสรรพชีวิตมากมายที่มารวมตัวกันแล้วเปล่งเสียงดังกึกก้อง

“เจ้ารู้เรื่องไม่น้อยเลยนี่นา…”

และขณะที่บ่อเสียงในรัศมีวงกลมพันลี้ยังคงดังสะท้อนอย่างรุนแรงไม่มีลางว่าจะสิ้นสุด ทะเลวิญญาณเป็นผืนก็พลันห้อตะบึงมาจากท้องฟ้าทิศไกลรอบด้าน ท่ามกลางทะเลวิญญาณเหล่านั้นมีวิญญาณพยาบาทจำนวนนับไม่ถ้วน พอเข้ามาใกล้ นัยน์ตาของพวกมันก็ฉายความกระตือรือร้นอย่างเร่าร้อน ครั้นจึงพุ่งสวบเข้าไปหาเด็กหญิงที่อยู่ในวงกลมพันลี้อย่างไม่มีลังเล ก่อนที่จะผสานรวมเข้าไปในร่างของเด็กหญิง ทำให้นางเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นมาอีกไม่น้อย

ภาพนี้ทำให้ทุกคนของนครผียักษ์ที่อยู่นอกรัศมีพันลี้ต่างพากันใจสั่นสะท้าน หน้าขาวเผือด ในสมองมีสายฟ้าฟาดผ่าอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็คาดไม่ถึงเลยว่าวันนี้ห้าครึ่งเทพผู้ยิ่งใหญ่และแกร่งกร้าวที่สุดของแดนทุรกันดารได้ร่วมใจกันลงมือ แต่กลับยังไม่สามารถสังหารเด็กหญิงประหลาดผู้นี้ได้!!

อีกทั้งจากสถานการณ์ในตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าพวกเขาแต่ละคนต่างก็ตกอยู่ในอันตรายด้วย!

“เสด็จพ่อ!!” ร่างของสตรีธุลีแดงสั่นระริก นัยน์ตาฉายความร้อนใจ หมายจะพุ่งออกไปจากข้างกายของป๋ายเสี่ยวฉุน ทว่ากลับถูกป๋ายเสี่ยวฉุนจับตัวเอาไว้

“เจ้าปล่อยข้านะ!!” เวลานี้สตรีธุลีแดงอ่อนแออย่างมาก แม้แต่เรี่ยวแรงให้ขัดขืนก็แทบจะไม่มี แต่นางก็ไม่สามารถมองเสด็จพ่อของตัวเองตายไปในบ่อเสียงพันลี้ต่อหน้าต่อตาได้

ยิ่งก่อนหน้านี้ราชาผียักษ์ก็บาดเจ็บสาหัสมากพออยู่แล้ว อีกทั้งยังสูญสิ้นพลังไปมากกว่าทุกคน ร่างของเขาในเวลานี้จึงสั่นราวตะแกรงร่อนแป้ง ดูท่าแล้วคงจะยืนหยัดได้อีกไม่นานนัก

“เจ้าสงบสติอารมณ์หน่อย! สภาพของเจ้าในตอนนี้ เข้าไปก็มีแต่พาตัวไปตายเท่านั้น!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหันมาตวาดใส่นางด้วยดวงตาแดงก่ำ

“ป๋ายฮ่าว บุญคุณที่บิดาข้ามีต่อเจ้ายิ่งใหญ่ดุจขุนเขา เจ้าไม่ช่วยก็ยังพอทำเนา แต่นี่ยังขัดขวางข้า เจ้ามัน…” สตรีธุลีแดงน้ำตาคลอหน่วย นางที่อ่อนกำลังเต็มทีหมดสิ้นซึ่งท่าทางองอาจของคนฟ้าผู้สูงส่ง และดูเหมือนว่าสภาพจิตใจของนางก็ย่ำแย่อย่างยิ่ง เวลานี้จึงถลึงตาใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างเดือดดาล ทั้งยังดิ้นรนขัดขืนต่อไป

“เจ้าหุบปาก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามเสียงดังลั่น ดวงตาที่แดงก่ำนั้นปกปิดความร้อนใจของเขาเอาไว้ไม่มิด เขาเองก็ร้อนใจเหมือนกัน ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นที่อยู่ที่นี่ ลำพังแค่ราชาผียักษ์ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่มีทางที่จะเมินเฉยได้แล้ว เขาจ้องมองไปยังบ่อเสียงพันลี้นั้นเขม็ง ในสมองก็หมุนเร็วจี๋ ทว่ากลับยังคิดวิธีดีๆ อะไรไม่ออก และตอนนี้ราชาผียักษ์ที่ตัวสั่นก็กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ร่างโงนเงนจะล้มมิล้มเหล่

สตรีธุลีแดงที่เห็นเช่นนั้นก็ยิ่งดิ้นรนรุนแรงมากขึ้น น้ำตาไหลลงมาเป็นสาย

“เสด็จพ่อ!!”

ในบ่อเสียงพันลี้ ราชาผียักษ์ที่เหมือนจะได้ยินเสียงนางฝืนลืมตาขึ้นอย่างเหนื่อยล้า เขาหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนและสตรีธุลีแดง ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา ขยับปากหมายจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าคลื่นเสียงรอบตัวเขาน่ากลัวเกินไป เขาได้แต่ต้านทานอย่างเต็มกำลัง มิอาจเอื้อนเอ่ยสิ่งใดได้

สตรีธุลีแดงคลุ้มคลั่งใกล้จะเสียสติเต็มทน ทว่าเวลานี้เอง ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ข้างกายนางกลับแหงนหน้าแผดเสียงคำรามดังลั่น พอสลัดสตรีธุลีแดงออกไปอยู่ข้างๆ ได้ เขาก็หอบหายใจดังฟืดฟาด ครั้นจึงพุ่งกระโจนเข้าไปในบ่อเสียงพันลี้พร้อมเสียงคำรามเดือดดาล

เขาไม่อาจนิ่งดูดายไม่ให้ความช่วยเหลือ ราชาผียักษ์ดีต่อเขา เขาจำเป็นต้องตอบแทนอีกฝ่าย เขาไม่สามารถมองดูอีกฝ่ายที่พละกำลังค่อยๆ ถดถอยแล้วเดินไปสู่ความตายต่อหน้าต่อตาตัวเองได้ อีกทั้งเขาเองก็มองออกแล้วว่าตอนนี้เด็กหญิงคนนั้นเหมือนจะขยับตัวไม่ได้แล้ว

“สู้ตายๆ!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะเบ็งเสียงดังลั่น ขยับเข้าไปใกล้บ่อเสียงพันลี้มากขึ้นเรื่อยๆ พอราชาผียักษ์เห็นภาพนี้ก็ให้ซาบซึ้งใจ แต่ที่มากไปกว่านั้นคือความร้อนใจ เขาจึงรีบฝืนรวบรวมกำลังพูดรัวเร็วอย่างไม่เสียดายค่าตอบแทน

“ป๋ายฮ่าว กลับไปซะ!! ผีผู้หญิงคนนี้ร่ายใช้คาถาจากนอกโลก พวกเราขยับตัวไม่ได้ นางเองก็ขยับไม่ได้เช่นกัน พวกเจ้ารีบหนีไปซะ!! ไปที่พื้นที่ต้องห้ามแม่น้ำอเวจี!!”

ตอนที่ประโยคนี้ดังออกมา พลังต้านทานคลื่นเสียงรอบด้านของราชาผียักษ์ได้ผ่อนลง คลื่นเสียงจึงฉวยโอกาสโจมตีใส่เขา ร่างของเขาพลันสะท้านเยือก กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ

ภาพนี้ทำให้หัวใจของทุกคนที่อยู่รอบด้านบีบรัดตัว โดยเฉพาะสตรีธุลีแดงที่ยิ่งสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง นางที่น้ำตาไหลนองอาบแก้มอ้าปากหมายจะตะโกนอะไรบางอย่าง ทว่ากลับมีแต่เสียงสะอึกสะอื้นอยู่ในลำคอ แต่เวลานี้เอง ป๋ายเสี่ยวฉุนเหมือนไม่ได้ยินเสียงของราชาผียักษ์ พริบตานั้นเขาก็เข้ามาหยุดอยู่ข้างบ่อเสียงพันลี้ แล้วก็ไม่สนใจว่าตัวตนจะเปิดเผย เขาพลันตบหน้าผากหนึ่งที หม้อกระดองเต่าบินพรวดออกมา ก่อนจะถูกป๋ายเสี่ยวฉุนยกขึ้นครอบร่างตัวเองแล้วแข็งใจบุกเข้าไปข้างใน

เพิ่งจะเข้าไปในบ่อเสียง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ก้มตัวลงหมอบทันใด ร่างทั้งร่างถูกปกคลุมอยู่ในหม้อกระดองเต่า วิธีนี้เขาเคยใช้มาก่อนครั้งหนึ่งตอนที่เป็นตัวแทนของสำนักสยบธารไปช่วงชิงการสืบทอดของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารากับสำนักอื่นๆ ของแม่น้ำตอนกลาง

และนี่ก็เป็นวิธีเดียวที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดออกในตอนนี้ แทบจะชั่วขณะเดียวกันกับที่เขามุดเข้าไปในบ่อเสียงพันลี้ ร่างของเขาก็พลันสะท้านเยือก กระอักเลือดสดเพราะโดนแรงโจมตีจากคลื่นเสียงอย่างมิอาจหลบเลี่ยงได้ ทว่าแค่พริบตาเดียว เมื่อหม้อกระดองเต่าครอบปิดทับลงมามิดชิด ทุกเสียงที่อยู่ในโลกภายนอกก็ล้วนถูกสกัดกั้นไว้อย่างสิ้นเชิง!!

“ไม่มีเสียงแล้วรึ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งไปครู่ ก่อนจะคลี่ยิ้มปิติยินดีอย่างบ้าคลั่ง เขารู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย ครั้นจึงขยับหม้อกระดองเต่านี้ไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง ภาพประหลาดที่มีคนแบกหม้อคลานไปบนพื้นเช่นนี้ทำให้พวกราชาผียักษ์ที่มองเห็นตะลึงงัน ส่วนพวกคนที่อยู่ในโลกภายนอกก็ยิ่งตาแข็งค้าง บางคนถึงขั้นลืมหายใจ

สตรีธุลีแดงเม้มปากด้วยความเครียดขึง

ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้รู้สึกว่าตนกำลังจะช่วยเหลือคนอื่น จะอย่างไรก็ต้องแสดงออกให้ดูห้าวหาญสักหน่อย ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ทำให้คนเกิดความสงสัยด้วย ดังนั้นในขณะที่คลานไปข้างหน้า และบางครั้งที่เลิกหม้อกระดองเต่าขึ้นเร็วๆ เพื่อสำรวจทิศทาง เขาจึงเปล่งเสียงร้องโหยหวนที่ทำให้คนฟังยิ่งตึงเครียดและกังวลใจมากกว่าเดิมออกมา

“อ๊าก…อ๊าก…”

“สมควรตายนัก…อ๊าก…ข้าป๋ายฮ่าวยอมสู้ตายเพื่อท่านพ่อตา!!”

“อ๊าก…ท่านพ่อตาผู้ยิ่งใหญ่…อ๊าก ต่อให้ลูกเขยต้องสละชีวิตนี้ ก็ต้องช่วยท่านออกมาให้ได้…อ๊ากๆ …” แล้วก็เป็นเช่นนี้ เมื่อเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนดังออกมาอย่างต่อเนื่อง บรรยากาศในสนามรบที่เดิมทีเศร้าอาลัยและเคร่งเครียดจริงจังก็พลันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขาคลานไปข้างหน้าช้าๆ ราวกับเต่าตัวหนึ่ง จนกระทั่งค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ราชาผียักษ์ ทุกคนที่ไม่ว่าจะอยู่ข้างในหรือข้างนอกบ่อเสียงพันลี้ต่างก็อ้าปากกว้างตาค้าง หัวใจแกว่งไกวอย่างรุนแรง

แม้แต่เด็กหญิงที่อยู่ในกลุ่มเลือดสีม่วงเองก็ยังตะลึงงัน ใช้สายตางงงันมองไปยังหม้อกระดองเต่าที่ขยับเข้ามาใกล้ราชาผียักษ์มากขึ้นเรื่อยๆ …หูก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนเกินจริงที่ดังออกมานอกกระดองเต่าซึ่งทำให้คนฟังตาค้าง เสียงร้องนั้นดังมากถึงขนาดที่ว่าต่อให้คลื่นเสียงจะดังกระหึ่มแค่ไหนก็ยังมิอาจปกปิดเสียงนั้นได้

“จื่อโม่วางใจเถอะ ต่อให้ตาย ข้าก็ต้อง…อ๊าก…ช่วยท่านพ่อของพวกเราออกมาให้ได้!!”

“อ๊าก…อ๊าก…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version