บทที่ 838 เจ้ามีสิทธิ์อะไรไม่ยอมรับ
ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังหน้านิ่วคิ้วขมวด เทียนจุนที่อยู่บนท้องฟ้าก็มองมายังคนเฝ้าสุสานแล้วเอ่ยเนิบช้า
“มองออกอย่างชัดเจนแล้วอย่างไร แผนการนี้คือการที่ข้าล่อให้เจ้าปรากฏตัว หรือไม่ก็เป็นเจ้าเองที่ล่อข้าออกมา สุดท้ายแล้วทุกอย่างล้วนต้องดูกันที่…พลังในการต่อสู้!” ระหว่างที่พูด เจตจำนงแห่งความเผด็จการไร้เทียมทานขุมหนึ่งก็พลันแผ่ออกมาจากร่างของเขา ทำให้เขากลายเป็นเหมือนผู้สูงศักดิ์หนึ่งเดียวของใต้แผ่นฟ้าเหนือแผ่นดินแห่งนี้!
แทบจะขณะเดียวกันกับที่เขากล่าวออกมา เด็กหญิงที่อยู่ข้างกายก็หัวเราะเสียงแปร่งหูหนึ่งที ทันใดนั้นร่างของนางพลันพร่าเลือน ก่อนจะกลายมาเป็นหลุมดำที่มีเสียงของคนมากมายรวมอยู่ด้วยกันซึ่งเปล่งเสียงดังออกมารอบทิศ
“มหาเวทมายากลืนกิน!!”
เวลานี้เรือนกายของเด็กหญิงที่กลายมาเป็นหลุมดำได้แผ่แสงสีนิลออกมา แสงนี้แผ่ออกไปปกคลุมรัศมีมากพอหมื่นจั้ง เมื่อดูดสวบหนึ่งที ทุกสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่ในรัศมีหมื่นจั้ง พืชหญ้าก็ดี ภูเขาหินก็ช่าง ทั้งหมดล้วนตรงดิ่งเข้ามาหาเด็กหญิง
เวลาเดียวกันกับที่เด็กหญิงลงมือ เทียนจุนก็เดินออกมาหนึ่งก้าว เขารู้ดีว่าศึกนี้จำเป็นต้องรีบสู้รีบจบ และตอนนี้แผ่นดินใต้ฝ่าเท้าของเขากำลังสั่นสะเทือน ส่วนมือขวาของเขาก็ยกขึ้นไปยังท้องฟ้าแล้วคว้าจับ
“มหาสมุทรทงเทียน!” เทียนจุนเอ่ยเนิบช้า มือที่คว้าจับไปทำให้นภากาศเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ก่อนที่ลูกคลื่นสีทองจะแผ่ออกมาราวกับว่าท้องฟ้าได้กลายมาเป็นมหาสมุทรใหญ่ยักษ์!
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองตาค้าง ในสมองมีเสียงดังอึงอล มองปราดเดียวเขาก็จำได้ว่ามหาสมุทรที่จำแลงออกมาบนท้องฟ้าก็คือ…มหาสมุทรทงเทียน!
“พวกเขาใช้เวทคาถาอะไรกัน ขนาดมหาสมุทรทงเทียนก็เรียกออกมาได้ด้วยหรือ?!” ป๋ายเสี่ยวฉุนใจเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง เขาค้นพบว่าเวทคาถาของคนเหล่านี้ต่างหากถึงจะเรียกได้ว่าวิชาอภินิหารอย่างแท้จริง แล้วพอมาย้อนนึกดูคาถาของตัวเอง เขาก็ให้รู้สึกขายหน้าไม่น้อย แต่พอนึกถึงเขตแดนธาราและหมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญ ความมั่นใจของเขาถึงได้ฟื้นคืนกลับมาได้บ้าง ครุ่นคิดว่าขอแค่ตนฝึกบำเพ็ญตบะต่อไป วิชาเขตแดนธาราที่ร่ายออกมาก็ต้องสามารถบุกทำลายศัตรูจนราบเป็นหน้ากลองได้แน่นอน
“เฮ้อ ตบะของข้ายังอ่อนด้อยเกินไป” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้านิ่วคิ้วขมวด ถอนหายใจเฮือกๆ ติดต่อกันพลางก้าวถอยหลังเร็วจี๋ พวกต้าเทียนซือที่อยู่ข้างๆ ก็มีสีหน้าเคร่งเครียด พวกเขามองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเทียนจุนผู้นี้ถึงกับใช้พลังคาถาที่สูงส่งไร้ทัดเทียมซึ่งสามารถเปลี่ยนฟ้าปรับดินโดยฉายภาพสะท้อนของมหาสมุทรทงเทียนเข้ามาแทนที่ท้องฟ้าแห่งนี้ได้!
ท้องฟ้ากลายมาเป็นมหาสมุทรใหญ่ที่น้ำทะเลกลิ้งซัดหลุนๆ ท่ามกลางลูกคลื่นที่โหมซัดสาด มหาสมุทรผืนนี้ก็เปลี่ยนแปลงลักษณะมาเป็นมือใหญ่สีทองข้างหนึ่งที่เกิดจากการรวมตัวกันของน้ำทะเล แล้วเงื้อขึ้นตบผลัวะไปยังคนเฝ้าสุสาน!
พลังอำนาจยิ่งใหญ่เกรียงไกร เปลี่ยนแปลงท้องฟ้ามาเป็นมหาสมุทร รวบรวมมหาสมุทรขึ้นเป็นมือยักษ์ ทั้งยังมีมหาเวทมายากลืนกินของเด็กหญิงที่ปกคลุมไปหมื่นจั้งกักกันร่างของคนเฝ้าสุสานเอาไว้ ทำให้มือใหญ่ซึ่งคล้ายน้ำท่วมมิดศีรษะขยับเข้ามาใกล้คนเฝ้าสุสานมากขึ้นทุกขณะ
เมื่อเห็นวิกฤตมาเยือน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกเหมือนใจเต้นกระดอนมาจุกอยู่ที่ลำคอ และเวลานี้เอง คนเฝ้าสุสานพลันเงยหน้า ดวงตายิ่งดำมืดล้ำลึก ก่อนที่เขาจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นแล้วโบกสะบัดไปรอบด้านพร้อมเปล่งเสียงแหบเครือออกมาจากลำคอ
“แม่น้ำอเวจี!”
แทบจะขณะเดียวกันกับที่เขาเอ่ยจบ รอบกายของคนเฝ้าสุสานก็มีกลิ่นอายแห่งความตายเข้มข้นอบอวลขึ้นมา ตามมาด้วยแม่น้ำสีดำที่ผุดออกมาจากความว่างเปล่าด้วยจำนวนที่มากขึ้นเรื่อยๆ และเวลาแค่ชั่วพริบตาก็ปกคลุมไปทั่วแผ่นดินโดยมีคนเฝ้าสุสานเป็นจุดศูนย์กลาง ทันใดนั้นคนเฝ้าสุสานก็เดินออกมาหนึ่งก้าว ชั่วขณะที่เขาเดินออกมา ด้านหลังของเขาก็มีน้ำพุเชี่ยวกรากพวยพุ่งประหนึ่งมังกรสีดำตัวหนึ่งที่ทะยานตัวโบยบินขึ้นสู่ท้องฟ้า!
นั่นคือ…น้ำของแม่น้ำอเวจี!
ส่วนคนเฝ้าสุสานก็เป็นเหมือนต้นกำเนิดของแม่น้ำอเวจี เมื่อเขาเดินออกมา แม่น้ำอเวจีที่พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าก็ยิ่งเพิ่มปริมาณมากมหาศาลขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็รวมตัวกันกลายมาเป็นแม่น้ำสายใหญ่เส้นหนึ่ง มองมาไกลๆ แม่น้ำใหญ่สายนี้กว้างขวางไร้ที่สิ้นสุด น้ำของแม่น้ำไหลบ่าทะลักทลาย ทั้งยังไหลเชี่ยวกรากไปปะทะมือใหญ่ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของมหาสมุทรทงเทียนพร้อมการก้าวย่างของคนเฝ้าสุสาน!
ขยับเข้าไปใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ชั่วพริบตาเดียวแม่น้ำอเวจีก็ชนโครมเข้ากับมือใหญ่ ประหนึ่งภูเขาพังทลาย ดุจฟ้าดินยุบถล่ม มือใหญ่สีทองมีลูกคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วนกระเพื่อมขึ้นมาพร้อมเสียงดังตูมตาม ทำให้แก้วหูของทุกคนสั่นสะเทือนจนแทบหูดับ การโจมตีระหว่างคนเฝ้าสุสานและเทียนจุนครั้งนี้คือการต้านทานกันระหว่างแม่น้ำอเวจีกับมหาสมุทรทงเทียน คือการปะทะกันระหว่างมังกรดำและมือใหญ่
เสียงกัมปนาทกึกก้อง มือใหญ่สีทองข้างนั้นเป็นฝ่ายที่แบกรับไม่ไหวก่อน สายตาของทุกคนที่จ้องมองไปเห็นว่าท้องฟ้าปริแตกออกทีละชั้น แล้วพลันระเบิดตูม เศษเสี้ยวกระจัดกระจาย เผยให้เห็นเรือนกายมืดทะมึนของเทียนจุนที่อยู่ข้างใน!
ส่วนแม่น้ำเส้นนั้นกลับยังทรงพลังแกร่งกร้าวดังเดิม หลังจากที่โจมตีให้มือใหญ่สีทองแตกสลายได้แล้ว
ก็มองเห็นได้ว่าเงาร่างของคนเฝ้าสุสานที่อยู่กลางแม่น้ำอเวจีเป็นเหมือนสายฟ้าสีดำเส้นหนึ่งที่พุ่งพรวดมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าเทียนจุนแล้วกระแทกชนอย่างแรงหนึ่งที!
เสียงตูมดังลั่น เทียนจุนรีบถอยกรูดไปข้างหลัง ทว่าวินาทีที่เขาก้าวถอยนั้น คนเฝ้าสุสานกลับหมุนตัวเบี่ยงไปอีกทาง ไม่ได้พาแม่น้ำอเวจีไล่ตามเทียนจุนไป แต่สะบัดร่างตรงดิ่งเข้าหาเด็กหญิง!
เด็กหญิงหน้าเปลี่ยนสีทันใด รีบถอยร่นออกห่าง แม้ว่าความเร็วของนางจะน่าตะลึง ทว่ากลับยังคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนเฝ้าสุสาน พริบตาเดียวคนเฝ้าสุสานก็ไล่ตามมาทัน เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง แม่น้ำอเวจีที่กว้างใหญ่ไพศาลกระแทกลงบนร่างวิญญาณไม่ดับสลายของเด็กหญิง
เด็กหญิงหวีดร้องเสียงแหลมด้วยความเจ็บปวด พอถูกแม่น้ำอเวจีกระแทกเข้าใส่ ร่างวิญญาณไม่ดับสลายของนางก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ กลายมาเป็นจุดแสงกลาดเกลื่อนที่ไปรวมตัวกันอีกครั้งในจุดที่ห่างไปไกล ทว่าต่อให้จะก่อตัวขึ้นมาเป็นเงาวิญญาณของนางได้อีกครั้ง แต่เงานั้นก็พร่าเลือนอย่างมาก ราวกับว่าต่อให้นางจะบอกว่าตัวเองไม่ดับสลาย ทว่าเมื่อถูกคนเฝ้าสุสานจู่โจมก็ยังบาดเจ็บสาหัสอย่างถึงที่สุดอยู่ดี!
สามารถจินตนาการได้ว่าหากเจอการโจมตีแบบนี้อีกไม่กี่ครั้ง นางต้องตายแน่นอน!
ภาพนี้ทำให้พวกต้าเทียนซือฮึกเหิมกันขึ้นมาทันใด และนาทีนี้ความแข็งแกร่งของคนเฝ้าสุสานก็ได้แสดงออกมาอย่างเต็มรูปแบบแล้ว อันที่จริงหากไม่เป็นเพราะมีสาเหตุอย่างอื่น คิดจะฆ่าเด็กหญิง เขาก็ทำได้ตั้งแต่ก่อนที่เทียนจุนจะเผยกายแล้ว
เมื่อเห็นว่าแม่น้ำอเวจีที่คนเฝ้าสุสานจำแลงออกมาบุกเข้าไปโจมตีเด็กหญิงที่เพิ่งจะปรากฏกายขึ้นใหม่อีกครั้ง เทียนจุนที่อยู่บนท้องฟ้าก็มีสีหน้าหนักอึ้งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เขามิอาจมองเห็นเด็กหญิงตายไปต่อหน้าต่อตาตัวเองได้ คนทั้งสองไม่เพียงแต่เป็นพันธมิตรกัน ยังมีคำสาบานผูกรั้งพวกเขาเอาไว้อีกด้วย
ที่สำคัญที่สุดก็คือเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนเฝ้าสุสานเพียงลำพัง เขาก็ไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายได้ เขาจำเป็นต้องมีคนช่วย!
ยามนี้ดวงตาของเขาจึงฉายแววเด็ดเดี่ยวอย่างไม่ลังเล
“มหาสมุทรทงเทียนกำราบเจ้าไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น…แผ่นดินใหญ่ทงเทียนล่ะเป็นยังไง!” มือทั้งคู่ของเทียนจุนทำมุทราแล้วชี้ไปยังแผ่นฟ้าอีกครั้ง ท้องฟ้าประหนึ่งเกล็ดปลาที่มีลูกคลื่นกระเพื่อมขึ้นเป็นชั้นๆ ลูกคลื่นนี้เป็นเหมือนผ้าคลุมหน้าที่พอกระจายตัวออกไป นภากาศก็เปลี่ยนแปลงทันที!
มหาสมุทรทงเทียน…เผยกายอีกครั้ง!!
คราวนี้มหาสมุทรทงเทียนมีขนาดกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งกว่าเดิม และท่ามกลางแสงสีทองอร่ามพร่างพราวไร้ที่สิ้นสุดก็พอจะมองเห็นได้รำไรว่าตรงกลางมหาสมุทรมีเกาะสีดำแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ และมหาสมุทรที่ห้อมล้อมเกาะเอาไว้ก็ได้กลายมาเป็นแม่น้ำใหญ่สี่สาย อีกทั้งแม่น้ำใหญ่ทั้งสี่เส้นนี้ต่างก็มีชายฝั่งขนาบอยู่ทั้งสองข้าง ซึ่งบัดนี้พวกมันได้เชื่อมโยงกันจำแลงออกมาเป็นเทือกเขามากมาย พื้นที่ราบหลายแห่ง และมีต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจี!!
หากตั้งใจมองจะเห็นสำนักใหญ่ต้นแม่น้ำทั้งสี่ด้วย ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำตอนกลาง แม่น้ำตอนล่าง หรือพื้นที่ของแม่น้ำตอนปลายก็ล้วนมองเห็นได้อย่างละเอียดและชัดเจนอย่างถึงที่สุด!
ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งงันไปอีกครั้ง เขายังถึงขั้นมองเห็นสำนักสยบธารของตัวเองด้วยซ้ำ เวลานี้จิตใจจึงพลันบังเกิดคลื่นลูกยักษ์ ภาพสะท้อนที่ปรากฎอยู่บนนภากาศยามนี้ก็คือ…แผ่นดินทงเทียนที่ไม่มีแดนทุรกันดาร!!
“คนเฝ้าสุสาน ปีนั้นเจ้าบอกว่าตัวข้าไม่ได้สืบสันตติวงศ์ที่แท้จริง จึงไม่เปิดประตูโลกให้แก่ตัวข้า!”
“เจ้ามันก็เป็นแค่คนเฝ้าสุสานคนหนึ่งเท่านั้น เป็นแค่ตาเฒ่าที่เฝ้าประตูแห่งโลกใบนี้เท่านั้น แม้ตัวข้าจะไม่ใช่สายเลือดของจักรพรรดิขุย แต่ตอนนี้แม้แต่แผ่นดินทงเทียนก็ยังยอมรับในตัวข้า แล้วเจ้ามีสิทธิ์อะไรไม่ยอมรับ!!”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันนี้…หากเจ้าไม่เปิดประตู เจ้าก็ต้องตาย!!” เทียนจุนขยับร่าง พริบตาเดียวก็ผสานรวมเป็นหนึ่งในภาพสะท้อนแผ่นดินทงเทียนที่อยู่บนท้องฟ้า เมื่อเขาผสานรวมเข้าไป ทันใดนั้นแผ่นดินที่อยู่ในภาพสะท้อนนี้ก็บังเกิดความมีชีวิตชีวาเหมือนมีจิตวิญญาณเป็นของตัวเอง!
พลังอำนาจสะท้านสะเทือนฟ้าดิน ขณะเดียวกันวินาทีนี้เทียนจุนก็ได้อาศัยแผ่นดินทงเทียนแผ่เจตจำนงของตัวเองไปทั่วทั้งโลกใบนี้!
และเวลานี้เอง นัยน์ตาของเด็กหญิงก็ฉายความบ้าคลั่งราวกับพร้อมสู้สุดชีวิต ท่ามกลางเสียงกรีดร้อง เรือนกายของนางบิดเบือน ก่อนจะกลายมาเป็นนกกระเรียนกระดาษตัวหนึ่ง!
พอนกกระเรียนกระดาษตัวนี้ปรากฏตัว ไอสีดำก็ล้อมวนไปทั่วร่างของนาง มีวิญญาณผีจำนวนนับไม่ร้องคำรามทั้งยังแผ่พลังขุมหนึ่งที่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่านั่นคือพลัง…ที่มาจากนอกโลก!
คำว่าพลังจากนอกโลกก็คือพลังที่ไม่ใช่ของโลกใบนี้ ประหนึ่งหมึกดำที่ดำสนิทซึ่งแต่งแต้มอยู่บนกระดาษขาว มองปราดเดียวก็เห็นได้อย่างชัดเจน!
บัดนี้นกกระเรียนกระดาษที่แผ่พลังนอกโลกให้ตลบอบอวลไปทั่วได้ร่วมมือกับเทียนจุนกระโจนเข้าประหัตประหารคนเฝ้าสุสาน ทั้งยังมีเสียงกรีดร้องแหลมปรี๊ดที่ดังออกมาจากในนกกระเรียนกระดาษ
“ไอ้แก่ เจ้าจะเปิดประตูหรือไม่!!”
เวทอภินิหารเช่นนี้ พลังอำนาจเช่นนี้ทำให้พวกต้าเทียนซือใจสั่น ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องคร่ำครวญอยู่ในใจ เขารู้สึกได้ว่าท่าไม่ดี จึงยิ่งถอยห่างไปเร็วยิ่งกว่าเดิม
คนเฝ้าสุสานเงยหน้าขึ้นมองเทียนจุน สีหน้าที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงของเขามีความเหนื่อยล้าเสี้ยวหนึ่งผุดขึ้นมาอย่างที่หาดูได้ยาก ครั้นจึงถอนหายใจเบาๆ หนึ่งครั้ง
“สุดท้ายแล้วเจ้าก็ยังไม่เข้าใจ การสืบสันตติวงศ์ไม่ใช่สายเลือด ไม่ใช่การยอมรับ แต่เป็น…การสืบทอด”
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังถอยหลังอย่างไม่กระโตกกระตากไม่รู้ว่าตัวเองตาฝาดหรือไม่ถึงได้เห็นว่าตอนที่คนเฝ้าสุสานพูดประโยคนี้ เขาเหมือนจะ…เหลือบมามองตนแวบหนึ่ง