Skip to content

A Will Eternal 850

บทที่ 850 เชวียเอ๋อร์เจ้าอย่าเพิ่งวู่วาม

ซ่งเชวียไม่ได้ยินอีกแล้วว่าตัวเองพูดอะไรออกไป เขายืนเหม่อมองป๋ายเสี่ยวฉุน ร่างสั่นเทิ้มราวตะแกรงร่อน ยิ่งนานยิ่งสั่นแรงขึ้นเรื่อยๆ ลมหายใจติดๆ ขัดๆ ใบหน้าเลื่อนลอย

“ไม่ถูกสิ ต้องเข้าใจผิดอะไรกันแน่นอน…” ซ่งเชวียตะลึงลานไปอย่างสิ้นเชิง เขายืนอยู่ตรงนั้นด้วยความรู้สึกเหมือนฟ้าดินพลิกคว่ำคะมำหงาย รู้สึกว่าทุกอย่างนี้ทะลุขีดกำจัดของความน่าเหลือเชื่อไปแล้ว

เขายังถึงขั้นไม่อยากจะคิดไล่เรียงความสัมพันธ์ของคนทั้งสามที่อยู่ข้างกายอีกต่อไป แต่ความคิดของเขาก็ดัน…แล่นโคจรอย่างมิอาจควบคุม ขุดเอาความสัมพันธ์ที่ไม่ซับซ้อนของคนทั้งสามให้ลอยขึ้นมาในสมอง

คนที่ทำให้โจวอีซิงเรียกว่านายท่านได้ มีเพียงป๋ายฮ่าว

และป๋ายฮ่าวก็เรียกป๋ายเสี่ยวฉุนว่าอาจารย์ นี่ก็ง่ายเลย…ป๋ายเสี่ยวฉุนคืออาจารย์ของป๋ายฮ่าว ซึ่งก็คืออาจารย์ของเจ้านายโจวอีซิง

ซ่งเชวียรู้สึกเพียงว่าในสมองได้กลายมาเป็นบ่อสายฟ้าที่เสียงฟ้าผ่าดังกึกก้อง เมื่อเห็นว่าซ่งเชวียตกใจจนสติหลุดออกจากร่างไปแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ให้สงสาร ข่มใจไม่ไหวอีกต่อไป จึงรีบปรี่เดินขึ้นหน้าไปอธิบาย

“เชวียเอ๋อร์ เจ้าอย่าเพิ่งวู่วาม ฟังข้าพูดก่อน…”

“เจ้า…เจ้า…” ซ่งเชวียยกมือขึ้นชี้หน้าป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างร้าวราน ดวงตาแดงฉานราวสีเลือด ไม่ทันรอให้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้อธิบาย เขาก็ตะโกนขึ้นมาดังลั่น

“ป๋ายเสี่ยวฉุน!!”

“เจ้าบอกข้ามานะ ก่อนหน้านี้เจ้าปลอมตัวเป็นป๋ายฮ่าวใช่หรือไม่!!” ซ่งเชวียใกล้บ้าเต็มทีแล้ว อันที่จริงสิ่งที่เขาให้ความสนใจมากที่สุดก็คือตัวตนของป๋ายฮ่าว เขากลัวว่าข่าวลือที่ตัวเองได้ยินมาก่อนหน้านี้จะกลายเป็นจริง หากป๋ายฮ่าวคือป๋ายเสี่ยวฉุน แล้วพอนึกถึงว่าตัวเองดันกลายมาเป็นสัตว์เลี้ยงของป๋ายเสี่ยวฉุน ทั้งยังเป็นฝ่ายยื่นหัวไปให้อีกฝ่ายลูบได้สะดวก ถ้าเช่นนั้นจิตใจของเขาคงแหลกสลายจริงๆ

“ไม่มีทางใช่เลยสักนิด!” ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหัวรัวเหมือนกลองป๋องแป๋งอย่างไม่ลังเล แล้วเหมือนกลัวว่าซ่งเชวียจะยังไม่เชื่อเลยชี้ไปที่ป๋ายฮ่าวกับโจวอีซิงด้วย

“จริงๆ นะ ไม่เชื่อเจ้าถามพวกเขาดู ข้าไม่ได้ปลอมตัวเป็นป๋ายฮ่าว ข้าเพิ่งมาเจอเจ้าวันนี้เป็นครั้งแรก จริงๆ นะ ข้าไม่โกหกเจ้าหรอก” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดโกหกได้หน้าตาเฉย น้ำเสียงก็ยิ่งเต็มไปด้วยความจริงใจ

ซ่งเชวียหอบหายใจถี่รัว จ้องป๋ายเสี่ยวฉุนเขม็งอยู่พักใหญ่ ก่อนจะหันขวับไปมองป๋ายฮ่าว

ป๋ายฮ่าวกะพริบตาปริบๆ รู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนคืออาเขยน้อยของซ่งเชวีย แล้วก็ไม่กล้าให้เขารู้ความจริง จึงรีบพยักหน้ารับ การพยักหน้ารับของเขาทำให้ซ่งเชวียที่โมโหจนเลือดขึ้นหน้าคลายใจลงได้ในที่สุด แต่ก็ยังไม่วางใจนัก จึงหันไปมองโจวอีซิงอีกคน

อันที่จริงเวลานี้ โจวอีซิงเองก็ใจสั่นรัวเหมือนกัน แม้อาจจะเทียบกับซ่งเชวียไม่ได้ แต่อาการของเขาก็ไม่ได้ดีไปกว่าอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก ที่เขาใจสั่นก็เพราะประโยคที่ป๋ายฮ่าวตอบรับว่ารับคำสั่งท่านอาจารย์เมื่อครู่นี้

ประโยคนี้ ป๋ายฮ่าวไม่ได้รู้สึกอะไร ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่รู้สึกว่ามีปัญหาตรงไหน ก่อนหน้านี้เวลาที่เขาคุยกับป๋ายฮ่าวก็พูดคุยกันในลักษณะนี้อยู่แล้ว แต่โจวอีซิงที่ได้ยินกลับมีคลื่นยักษ์โถมตัวขึ้นมาในใจ คลื่นนั้นใหญ่มหึมาราวกับจะกลบทับตัวเขาเอาไว้จนมิด

เขายังถึงขั้นรู้สึกว่าตัวเองฟังผิดไป…ต้องรู้ว่าป๋ายฮ่าวคือจักรพรรดิหมิงเชียวนะ ในความเข้าใจของโจวอีซิง ต่อให้ป๋ายฮ่าวจะเห็นด้วย เขาก็สามารถพูดว่า “ตกลง” หรือไม่แค่พยักหน้าก็ได้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรโจวอีซิงก็คิดไม่ถึงว่าประโยคที่ป๋ายฮ่าวพูดจะเป็นคำว่าน้อมรับคำสั่ง!!

การพูดเช่นนี้ หากมีใครรู้เขา เกรงว่าทั้งแดนทุรกันดารคงสั่นคลอนหรือไม่ก็อาจเกิดความครึกโครมขึ้นมาเลยก็เป็นได้ นี่จึงทำให้โจวอีซิงเข้าใจทันทีว่าผู้บงการลับแห่งแดนทุรกันดาร แท้จริงแล้ว…ก็คือป๋ายเสี่ยวฉุน!

ขณะที่จิตใจของโจวอีซิงสั่นรัวจนมิอาจสงบลงได้นั้น สายตาของซ่งเชวียก็หันมองมาพอดี พอเห็นว่าโจวอีซิงยืนอึ้งไม่พูดอะไร จิตใจที่เปราะบางของซ่งเชวียก็สั่นสะท้านขึ้นมาอีกครั้ง ร่างของเขายิ่งสั่นเทิ้มรุนแรงมากกว่าเดิม ทั้งยังมีไอสีขาวลอยกรุ่นขึ้นมาเหนือศีรษะด้วย

นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นตระหนกอย่างยิ่ง เขากังวลอย่างมากว่าเชวียเอ๋อร์จะรับความจริงไม่ได้ หากอีกฝ่ายโมโหจนตายไป แบบนั้นเขาคงมีบาปใหญ่หลวงติดตัวไปชั่วชีวิต คิดมาถึงตรงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบหันไปถลึงตาใส่โจวอีซิงทันที

“โจวอีซิง เจ้ามัวทำอะไรอยู่น่ะ ข้าบอกว่าข้าไม่ได้ปลอมตัวเป็นป๋ายฮ่าว วันนี้เพิ่งเจอกับเชวียเอ๋อร์เป็นครั้งแรก เจ้าเป็นพยานให้ข้าเข้าสิ!”

เสียงคำรามของป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้โจวอีซิงสั่นเทิ้มไปทั้งตัว พอคืนสติกลับมา เขาก็รีบพยักหน้ารับ กลัวว่าซ่งเชวียจะไม่เชื่อ เขายังถึงขั้นตบอกตัวเองดังป้าบๆ แล้วพูดด้วยเสียงอันดัง

“ข้าโจวอีซิงสาบานว่านายท่านไม่เคยปลอมตัวเป็นป๋ายฮ่าวมาก่อน!”

เสียงนี้ดังก้องไปสี่ทิศ ซ่งเชวียฟังมาถึงตรงนี้ก็ผ่อนลมหายใจออกมาได้ในที่สุด ตอนนี้ในหัวสมองของเขาวุ่นวายยิ่งนัก ความคิดก็ฟุ้งซ่านไม่อยู่นิ่ง

เหมือนคนที่ว่ายน้ำไม่เป็นซึ่งปรารถนาจะคว้าฟางเส้นสุดท้ายมากุมไว้ นั่นทำให้เขาไม่อยากจะคิดอะไรอีกแล้ว หวังเพียงว่าความจริงทุกอย่างจะเป็นเช่นนี้

เมื่อเห็นว่าลมหายใจของซ่งเชวียไม่ได้หอบรัวอีกต่อไป และอารมณ์ก็ค่อยๆ นิ่งสงบลง ป๋ายเสี่ยวฉุนที่คลายใจได้จึงรีบปรี่ขึ้นหน้าไปปลอบใจอีกฝ่ายต่อ

“เชวียเอ๋อร์ เจ้าอย่าวู่วามเลย พวกเรามาเจอกันในแดนทุรกันดาร นี่ก็คือบุพเพวาสนาอย่างหนึ่ง เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ปล่อยให้เลือดลมโจมตีหัวใจ เป็นเรื่องต้องห้ามมหันต์เลยนะ ดูสิเนี่ย โกรธจนควันลอยออกจากหัวเลย”

ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดไปพูดมา เห็นว่าไอสีขาวที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของซ่งเชวียจางหายไปบ้างแล้วจึงยกมือขึ้นลูบหัวของซ่งเชวียโดยไม่รู้ตัว

การลูบครั้งนี้เป็นอากัปกิริยาเดียวกับเวลาปกติซึ่งป๋ายเสี่ยวฉุนใช้ลูบหัวซ่งเชวียอย่างไม่มีผิดเพี้ยน แม้แต่น้ำหนักของมือก็ยังเหมือนกัน เป็นเหตุให้ซ่งเชวียยื่นหัวออกไปตามจิตใต้สำนึก คล้ายต้องการให้ป๋ายเสี่ยวฉุนลูบคลำได้สะดวกมือยิ่งกว่าเดิม…

ทว่าชั่วขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนลูบลงมาและซ่งเชวียยื่นหัวออกไปนั้น คนทั้งสองต่างก็ชะงักค้าง…

ป๋ายเสี่ยวฉุนใจหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ยังไม่ทันให้เขาดึงมือกลับมา ซ่งเชวียก็แผดเสียงคำรามที่ดังสะท้านฟ้าสะเทือนดิน เสียงคำรามนี้แฝงไว้ด้วยความเจ็บแค้น ทั้งยังมากด้วยความร้าวรานใจ

“ความรู้สึกนี้…ป๋ายเสี่ยวฉุน!”

“เจ้าหลอกข้า!!”

“เป็นเจ้า!!!”

เสียงคำรามนี้ดังสนั่นหวั่นไหวไปสี่ทิศ ซ่งเชวียเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว ทุกอย่างก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องโกหก ล้วนเพื่อปลอบใจตนเท่านั้น น้ำหนักมือและความรู้สึกเวลาถูกลูบหัวได้เปิดโปงความจริงทุกอย่าง

พอนึกว่าตัวเองดันกลายมาเป็นสัตว์เลี้ยงของป๋ายเสี่ยวฉุน ทั้งยังเป็นฝ่ายยื่นหัวไปให้อีกฝ่ายลูบ เลือดลมระลอกหนึ่งก็ตีขึ้นหัวซ่งเชวีย ในสมองมีเสียงตูมดังลั่น ควันขาวจำนวนมากระเบิดออกมา ทั้งที่ปากยังร้องคำรามเดือดดาล ทว่าร่างกลับหมดสติสลบเหมือดไปในบัดดล

เมื่อเห็นว่าซ่งเชวียเป็นลมไปแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ตะลึงงันก็รีบปรี่ขึ้นหน้าไปตรวจสอบ ก่อนจะเปิดปากซ่งเชวียแล้วป้อนยาลงไปบางส่วน ทำทุกอย่างเสร็จถึงได้หันมามองป๋ายฮ่าวและโจวอีซิงอย่างจนใจ

“เรื่องนี้จะโทษข้าไม่ได้นะ…พวกเจ้าช่วยข้าจัดการเรื่องนี้หน่อยเถอะ”

ป๋ายเสี่ยวฉุนกล่าวอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก รู้สึกปวดหัวเป็นกำลัง

“คือว่า…อาจารย์ ข้าเองก็มานานมากแล้ว ผู้อาวุโสคนเฝ้าสุสานน่าจะยังรอข้าอยู่…ข้าไปก่อนนะขอรับ” ป๋ายฮ่าวอดทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาล่ะนับถืออาจารย์คนนี้ของตัวเองจริงๆ …พอได้ยินอีกฝ่ายพูดประโยคนั้น เขาที่สีหน้าเหยเกเต็มทีก็รีบพูดรัวเร็ว ก่อนจะสะบัดร่างบินเข้าไปในแม่น้ำอเวจี

โจวอีซิงเองก็รีบกุมมือคารวะป๋ายเสี่ยวฉุน หมุนตัวได้ก็ก้าวเร็วๆ ตามป๋ายฮ่าวเข้าไปในแม่น้ำอเวจีติดๆ ขณะที่ร่างของพวกเขากำลังจะหายไป ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตะโกนออกมาอย่างหงุดหงิดใจ

“ฮ่าวเอ๋อร์ อย่าลืมช่วยหาให้ข้าด้วยนะว่าในแดนทุรกันดารยังมีนักพรตที่ปีนั้นถูกส่งมาพร้อมกับข้าอีกหรือไม่”

ป๋ายฮ่าวรับคำหนึ่งเสียงแล้วหายวับไปไม่เหลือร่องรอย

เห็นว่าคนทั้งสองตะลีตะลานจากไป ป๋ายเสี่ยวฉุนที่มีสีหน้าระอาใจก็ก้มหน้าลงมองซ่งเชวียที่หมดสติอยู่บนพื้นแล้วยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเอง ถอนหายใจยาวเหยียด

“ช่างเถอะๆ เด็กคนนี้ถูกกระตุ้นอารมณ์รุนแรงเกินไป เป็นลมแล้วก็เป็นลมไป จะอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกของเขา รอเขาตื่นมาอาการก็น่าจะดีขึ้น” ป๋ายเสี่ยวฉุนปลงอนิจจังอยู่กับตัวเอง ก่อนจะจัดวางค่ายกลคุ้มกันรอบกายซ่งเชวีย ส่วนตัวเองหมุนตัวกลับเข้าไปในถ้ำแล้วนั่งทำสมาธิ ต้องสูดลมหายใจเข้าลึกติดต่อกันหลายครั้งถึงจะพอทำให้อารมณ์ของตัวเองสงบลงได้

“รอเขาตื่นคงต้องใช้เวลาอีกพักหนึ่ง ในเมื่อไฟยี่สิบสีก็หลอมสำเร็จแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็เลื่อนตบะให้ถึงก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบไปเลยก็แล้วกัน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็หยิบหม้อกระดองเต่าออกมาอย่างไม่รีรอ พอทารกก่อกำเนิดบินออกจากร่างไปนั่งขัดสมาธิอยู่ในหม้อกระดองเต่าแล้ว เขาก็หยิบเอาไฟยี่สิบสีในถุงเก็บของออกมา มองเห็นเปลวเพลิงที่สว่างจ้าแจ่มจรัส ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เผยแววรอคอย

ไม่มัวชักช้า เขารีบโยนไฟยี่สิบสีไปในหม้อกระดองเต่าทันที

พอหม้อดูดซับเปลวเพลิงแล้วแผ่แสงสีทองออกมา แสงสีทองนี้ก็ปกคลุมร่างทารกก่อกำเนิดของป๋ายเสี่ยวฉุนในเสี้ยววินาที พลังที่ทำให้คนครั่นคร้ามขุมหนึ่งระเบิดพวยพุ่งออกมาจากในแสงสีทองกลางหม้อกระดองเต่าทันใด

ท่ามกลางเสียงอึกทึก เวลาเนิ่นนานล่วงผ่าน แสงสีทองถึงได้ค่อยๆ จางหาย เมื่อคลื่นที่กระเพื่อมไหวอยู่ในหม้อกระดองเต่าสงบลงในที่สุดก็เผยให้เห็นร่างทารกก่อกำเนิดที่อยู่ข้างในซึ่งเวลานี้ทั่วทั้งร่างโปร่งใสแวววาวมีลำแสงไหลวนโอบล้อมไปทั่ว!!

ทารกก่อกำเนิดนี้มองดูแล้วไม่ต่างจากร่างจริงเท่าไหร่นัก ปราณในร่างขุ่นคลั่กเข้มข้น ทั้งยังมีคลื่นวิถีฟ้าแผ่ออกมาจากข้างใน ซึ่งนี่ก็คือก่อกำเนิดวิถีฟ้าขั้นสมบูรณ์แบบ!

ยิ่งเป็นขั้นสมบูรณ์แบบที่เกิดจากการหลอมพลังจิต ทั้งยังเป็นทารกก่อกำเนิดวิถีฟ้า พละกำลังก็ยิ่งแข็งแกร่งเลิศล้ำปฐพี!

ความว่างเปล่าพลันบิดเบือน และบนร่างของทารกก่อกำเนิดก็มีลายเส้นสีทองสิบเส้นปรากฏขึ้นมาอย่างเด่นชัด!

เส้นสีทองทุกเส้นล้วนแผ่คลื่นแห่งเวทอาคมที่เข้มข้น สามารถจินตนาการได้เลยว่าหากหลอมพลังจิตให้กับทารกก่อกำเนิดได้ยี่สิบเอ็ดครั้งเมื่อไหร่ เส้นสีทองเหล่านั้นจะผสานรวมเป็นหนึ่งแล้วกลายมาเป็น…ลายเส้นสีม่วงหนึ่งเส้น!

วินาทีที่เส้นสีม่วงปรากฏ ในตำนานอธิบายไว้ว่าก็คือช่วงเวลาที่ตบะฝ่าทะลุจากก่อกำเนิดกลายมาเป็นคนฟ้าอย่างสมบูรณ์แบบ…ซึ่งนับตั้งแต่ที่มีโลกใบนี้มา นั่นเป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงแค่ในทางทฤษฎี เล่าลือเป็นตำนาน แต่ไม่เคยเกิดขึ้นจริงมาก่อน!

“ในตำนานบอกว่าหากหลอมพลังจิตให้กับทารกก่อกำเนิดยี่สิบเอ็ดครั้งก็จะกลายมาเป็นคนฟ้าได้โดยตรง…ไม่ว่าตำนานนั้นจะเป็นจริงหรือไม่ แต่อย่างไรก็ต้องลองดูสักครั้ง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนลืมตาขึ้น ในใจทั้งตื่นเต้นและวาดหวัง!

“รอให้เชวียเอ๋อร์ตื่นเมื่อไหร่ก็คือเวลาที่ต้องไปจากแดนทุรกันดารแล้ว ในเมื่อไปทางกำแพงเมืองไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ไปทางเขตต้องห้ามแห่งชีวิต!”

“อันดับต่อไปก็คือทำความคุ้นเคยกับตำรับไฟยี่สิบเอ็ดสีอย่างต่อเนื่อง ช่วงชิงเวลาให้ตบะฝ่าทะลุ เลื่อนขั้นเป็นคนฟ้าได้ในเร็ววัน!” คิดมาถึงตรงนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ฮึกเหิมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version