Skip to content

A Will Eternal 851

บทที่ 851 ซ่งเชวีย เจ้ามีสิทธิ์อะไรไม่ยอมแพ้

“คนฟ้าแค่เอื้อมมือคว้าก็ถึง!” พอนึกได้ว่าอีกไม่นานตัวเองก็จะกลายมาเป็นคนฟ้า ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันรู้สึกว่าโลกใบนี้เต็มไปด้วยความงดงามไร้ที่สิ้นสุด ยิ่งย้อนนึกถึงสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา นึกถึงว่าสำนักต้นน้ำอันยิ่งใหญ่กลับมีคนฟ้าแค่ห้าคนเท่านั้น อีกทั้งตำแหน่งของคนฟ้าทั้งห้านี้ก็ยังแทบจะใกล้เคียงได้กับคำว่าสูงส่งไร้ทัดเทียม

“นั่นคือบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้อยู่บนรุ้งสีครามเชียวนะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งคิดยิ่งฮึกเหิม ทั้งยังไพล่นึกไปถึงภาพเหตุการณ์ต่างๆ ตอนอยู่กำแพงเมืองที่เฉินเห้อเทียนผู้เป็นคนฟ้าเล่นงานตนอย่างอาจหาญโจ่งแจ้ง

“รอข้ากลับไปเมื่อไหร่ เกรงว่าอีกไม่นานเท่าไหร่คงกลายมาเป็นคนฟ้าได้ เมื่อถึงเวลานั้น…หึหึ เฉินเห้อเทียน หากข้าป๋ายเสี่ยวฉุนคิดจะแก้แค้น ต่อให้ผ่านไปหลายสิบปีก็ยังไม่สายเกินไป!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเหิมห้าวในอารมณ์ รู้สึกเพียงว่าตนมาอยู่ในแดนทุรกันดารก็เรียกว่าได้เดินมาสู่จุดสูงสุดของชีวิตแล้ว ยามนี้จึงยืดอกเชิดหน้า รู้สึกว่าฟ้าดินกว้างใหญ่ ทว่าศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่ล้ำโลกเช่นตนช่างมีน้อยยิ่งนัก

“เปลี่ยวเหงาเสียจริง” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอามือไพล่หลัง โคลงศีรษะปลงอนิจจังอย่างชื่นมื่น จากนั้นถึงได้เดินอาดๆ ออกจากในถ้ำ มาหยุดอยู่ด้านหน้าซ่งเชวียที่ยังหมดสติ

มองซ่งเชวีย ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ให้ปวดหัว ขบคิดเล็กน้อยก็ยกมือขวาขึ้นชี้ไป ทันใดนั้นปราณวิญญาณเส้นหนึ่งก็ผสานรวมเข้าสู่ร่างของซ่งเชวีย ซ่งเชวียสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ก่อนจะลืมตาขึ้นช้าๆ เขามองรอบด้านอย่างเหม่อลอย นัยน์ตาเคว้งคว้าง แต่พอมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน เขากลับเหมือนได้รับแรงกระตุ้น ลมหายใจพลันหอบรัว ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ ในสมองก็ยิ่งมีเสียงดังอื้ออึงไม่หยุด ภาพเหตุการณ์ก่อนที่ตัวเองจะหมดสติไปลอยขึ้นมาในสมองอีกครั้ง

“เชวียเอ๋อร์ เจ้าฟังข้าอธิบายก่อน” ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นท่าทางเช่นนี้ของซ่งเชวียก็ยิ่งปวดหัวเข้าไปอีก เขารีบพูดรัวเร็ว แต่ยังไม่ทันพูดจบ ซ่งเชวียกลับคำรามดังลั่นขัดจังหวะเสียก่อน

“เจ้า…เจ้า…” ซ่งเชวียเจ็บแค้นร้าวรานดั่งจะขาดใจตาย พอนึกว่าตัวเองดันกลายมาเป็นสัตว์เลี้ยงของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาก็รู้สึกว่านี่คือความอัปยศที่มิอาจชำระล้างได้ชั่วชีวิต ขณะที่ร้องตะโกน ในใจก็ให้อึดอัดคับแค้นถึงขีดสุด ดูท่าอารมณ์คงใกล้ระเบิดเต็มที

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ปวดหัวมากเหมือนกัน พอเห็นซ่งเชวียกำลังจะระเบิดอารมณ์ สมองของเขาก็แล่นเร็วจี๋ พริบตานั้นสีหน้าเขาพลันเปลี่ยนไป ไม่ได้มีท่าทางอยากจะอธิบายดังเก่า แต่เปลี่ยนมามีสีหน้าเคร่งขรึม จริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งในดวงตาทั้งคู่ยังฉายความเจ็บปวด ชิงแผดเสียงตัดหน้าซ่งเชวีย กำราบความบ้าคลั่งของซ่งเชวียเอาไว้ก่อน

“ซ่งเชวีย ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ยอมแพ้ แต่เจ้ามีสิทธิ์อะไรไม่ยอมแพ้?” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะโกนเดือดดาล

“ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนเดินมาจนถึงวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นสำนักธาราโลหิต สำนักสยบธาร สำนักอันตมรรคาฟ้าดารา หรือจะเป็นกำแพงเมือง สุดท้ายมาจบที่แดนทุรกันดารแห่งนี้ ที่เจ้าเห็นมีเพียงช่วงเวลาที่ข้ามีหน้ามีตาที่สุด แต่เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าทุกอย่างนี้ข้าได้มาเปล่าๆ โดยไม่ต้องลงแรง? บัดซบเอ๊ย รู้ไว้ซะเถอะว่าที่ข้าผู้อาวุโสมีอำนาจมีหน้ามีตาได้ขนาดนี้ก็เพราะข้าแลกมันมาด้วยชีวิต!” เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่มระดับขึ้นทุกขณะ ดังเขย่าคลอนสี่ทิศ ทำให้ซ่งเชวียที่เตรียมจะระเบิดอารมณ์มองตาค้าง เขาไม่เคยเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นอย่างนี้มาก่อน

“ตอนอยู่สำนักอันตมรรคาฟ้าดารา พวกเจ้าล้วนทิ้งข้าไป ข้าอาศัยความสามารถของตัวเองค่อยๆ สร้างโรงเตี๊ยมขึ้นมาทีละขั้นทีละตอน ทั้งยังส่งเจ้าขึ้นไปบนสายรุ้ง ข้าไม่ติดค้างเจ้า!”

“ตอนอยู่กำแพงเมือง ข้าก็ใช้พรสวรรค์ในการหลอมยาของตัวเองกลายมาเป็นผู้บังคับกองหมื่น เจ้าคิดว่าคนใต้หล้าตาบอดกันหมด สำนักโง่เง่ากันนักหรือไร? ถึงได้ยอมให้ข้ากลายเป็นผู้บังคับกองหมื่นได้ง่ายๆ? นั่นเป็นเพราะข้าผู้อาวุโสแลกมาด้วยคุณความชอบในการรบต่างหาก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง เมื่อน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวของเขาดังเข้าหูซ่งเชวีย ต่อให้ก่อนหน้านี้ซ่งเชวียจะบ้าคลั่งมากแค่ไหน แต่พอได้ยินมาถึงตรงนี้ หัวใจของเขาก็ยังสั่นรัวอย่างห้ามไม่ได้

“ในแดนทุรกันดาร เจ้าก็ได้เห็นกับตาตัวเองแล้วว่ามีคนมากมายแค่ไหนที่อยากสังหารข้า? กี่ครั้งที่ข้าต้องผ่านวิกฤตความเป็นความตาย? ขุนนางทั้งราชสำนักล้วนเกลียดข้าเข้ากระดูกดำ แต่ข้าก็ยังช่วยเจ้าโดยไม่สนใจว่าตัวตนอาจถูกเปิดโปง!”

“แต่เจ้าล่ะ ข้าก็แค่ลูบหัวเจ้าเท่านั้นไม่ใช่หรือ ทำไม หัวของเจ้าข้าลูบไม่ได้งั้นรึ? ข้าไม่มีสิทธิ์ลูบงั้นรึ? ข้าผู้อาวุโสไม่เพียงแต่เป็นอาเขยน้อยของเจ้า ข้ายังมีพ่อตาเป็นครึ่งเทพ ข้ายังเป็นอาจารย์ของจักรพรรดิหมิง คือผู้บงการแดนทุรกันดารอยู่ลับๆ หากพูดกันถึงด้านฐานะ ข้ากับเทียนจุนก็มีตำแหน่งฐานะเท่าเทียมกัน ใครกล้ามาพูดว่าข้าไม่มีสิทธิ์!” สุดท้ายเสียงที่ดังจนแทบจะเป็นคำรามของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ทำเอาซ่งเชวียหน้าซีดเผือด ความคับแค้นใจ ความร้าวรานใจ อารมณ์ทั้งหมดที่จะระเบิดออกกลับถูกถ้อยคำที่เป็นดั่งพายุกระหน่ำของป๋ายเสี่ยวฉุนพัดกวาดจนแตกทลายและจางหายไปอย่างต่อเนื่อง ร่างของเขาถอยกรูดออกไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว แม้ดวงตาจะแดงก่ำ แต่เสียงอึงอลในใจกลับดังเกินฟ้าคำรณ

เขายอมรับว่าที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดมาล้วนเป็นเรื่องจริงทั้งหมด ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ติดค้างอะไรเขา ทุกอย่างล้วนเป็นโชควาสนาของอีกฝ่าย

ขณะเดียวกันอีกฝ่ายยังเคยช่วยตนไว้หลายครั้ง ยกตัวอย่างในแดนทุรกันดารแห่งนี้ หากไม่มีป๋ายเสี่ยวฉุน ตอนนี้ซ่งเชวียอาจไม่ตาย แต่ก็ต้องมีสภาพอเนจอนาถน่าสังเวชอย่างถึงที่สุดแน่นอน

ความไม่ยอมแพ้ของเขา ส่วนใหญ่ล้วนมาจากความเคารพในตัวเอง เขาไม่ชอบขี้หน้าป๋ายเสี่ยวฉุน ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเพราะความอ่อนแอของตัวเขาเอง!

และคำพูดประโยคสุดท้ายของป๋ายเสี่ยวฉุน คำว่าสิทธิ์ที่เขาพูดถึง

ต่อให้เป็นซ่งเชวียเองก็ยังต้องหุบปากเงียบเสียง เขามิอาจตอกกลับอีกฝ่ายได้แม้แต่น้อย ทำได้เพียงหอบหายใจหนักๆ จนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างแรง

เมื่อเห็นว่าซ่งเชวียตะลึงงันไปกับคำพูดของตน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็คลายใจได้ในที่สุด คำพูดเมื่อครู่นี้เขาเองก็อับจนปัญญาแล้วจริงๆ ถึงได้พูดออกมา พอเห็นว่าใช้ได้ผล ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนก็ให้ลำพองใจไม่น้อย แต่สีหน้ากลับยังคงเย็นชาเย่อหยิ่ง

“ซ่งเชวีย เจ้าจะไม่ชอบหน้าข้าก็ได้ และเจ้าก็สามารถมองข้าเป็นยอดเขาที่เจ้าต้องข้ามผ่านไปให้ได้ ข้าป๋ายเสี่ยวฉุน…รอเจ้าอยู่! แต่…ตอนที่เจ้ายังไม่มีคุณสมบัตินั้น เจ้าก็จงอดทนข่มกลั้นให้ข้าแต่โดยดี!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้อเบาๆ หนึ่งที ประโยคนี้เขาพูดได้อย่างมีพลัง เปี่ยมล้นไปด้วยความเผด็จการไร้ที่สิ้นสุด อีกทั้งเพื่อส่งเสริมให้ประโยคของตัวเองมีอำนาจมากขึ้น ป๋ายเสี่ยวฉุนยังถึงขั้นแอบแผ่ปราณของหมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญออกมา ทำให้พลังอำนาจอันเผด็จการดั่งผู้เป็นมหาจักรพรรดิระเบิดตูมตามออกมาจากร่างของเขาอย่างต่อเนื่อง

พลังอำนาจที่เหมือนจะทำลายทุกอย่างให้พังราบเป็นหน้ากลองนี้พลันโจมตีลงมาบนจิตวิญญาณของซ่งเชวีย ซ่งเชวียเซถอยไปอีกหลายก้าว เขามองป๋ายเสี่ยวทั้งที่ร่างยังสั่นเทิ้ม ขณะเดียวกันเขาก็จำเป็นต้องยอมรับว่า ป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ทำให้ใจของเขาบังเกิดความยำเกรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!

“ตอนนี้ข้าจะไปจากแดนทุรกันดาร จะกลับสำนักสยบธาร เจ้าซ่งเชวีย…เต็มใจก็ตามมา ไม่เต็มใจติดตามข้า ข้าผู้แซ่ป๋ายก็จะไม่บังคับฝืนใจเด็ดขาด!” ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่นเสียงเย็น ก่อนจะขยับตัวทะยานขึ้นไปบนฟ้าโดยไม่เหลือบแลซ่งเชวียแม้แต่หางตา แต่ก็ไม่ได้บินไปเร็วนัก เพราะป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็รอการตัดสินใจจากซ่งเชวียอยู่เหมือนกัน

“คำพูดของข้าก่อนหน้านี้น่าจะพอมีประโยชน์บ้างกระมัง เฮ้อ…ปวดหัวยิ่งนัก จวินหว่านเอ๋ย ข้าทุ่มเทเพื่อหลานคนนี้ของเรามากมายแล้วจริงๆ นะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ เอามือลูบคลำหน้าผากพลางทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง

ซ่งเชวียยืนเงียบอยู่ริมชายฝั่งแม่น้ำอเวจี ดวงตาฉายแววสับสน ขณะเดียวกันก็ถอนหายใจยาวๆ อยู่ในใจตัวเอง เขาหลับตาลง เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง นัยน์ตาก็ฉายความเด็ดเดี่ยว

“สักวันหนึ่งข้าต้องเหนือกว่าเขาให้จงได้!” ประโยคนี้แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่มีความมั่นใจว่าจะทำได้ แต่กลับเหมือนว่ามันกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว หากไม่พูดเช่นนี้ เขาจะรู้สึกเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเอง ความรู้สึกท้อถอยพ่ายแพ้ก็จะผุดขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่จึงจำต้องหลอกตัวเอง ซ่งเชวียแค่นเสียงในลำคอหนึ่งที ก่อนจะสะบัดตัวบินตามไปด้านหลังป๋ายเสี่ยวฉุน

เห็นว่าซ่งเชวียขยับเข้ามาใกล้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็คลายใจได้ในที่สุด อันที่จริงเขาก็รู้สึกผิดต่ออีกฝ่ายเล็กน้อย แต่ที่มากกว่านั้นกลับเป็นความบริสุทธิ์ใจ ครุ่นคิดดีแล้วเขาก็รู้สึกว่าตนไม่น่าจะทำผิดตรงไหน ก็แค่ลูบหัวไม่ใช่หรือ…

“ข้าไม่ได้บอกให้เขายื่นหัวออกมาสักหน่อย เขายื่นมาให้ข้าลูบเองแท้ๆ” ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ ประโยคนี้เขาได้แต่พึมพำอยู่ในใจ รู้ว่าหากพูดแบบนี้ต่อหน้าซ่งเชวีย เกรงว่าซ่งเชวียที่กว่าตนจะกำราบให้เชื่อฟังได้ยากเย็นแสนเข็ญคงระเบิดอารมณ์ออกมาอีกรอบ

“เฮ้อ เขาก็อารมณ์เดือดได้ง่ายเสียจริง” ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหัว ห้อตะบึงไปยังทิศไกล ซ่งเชวียติดตามมาเงียบๆ ด้วยสีหน้าไม่น่ามอง ไม่นานคนทั้งสองก็หายวับไปที่ขอบฟ้า ทิศทางที่พวกเขามุ่งหน้าไปก็คือพื้นที่ระหว่างกำแพงเมืองทิศตะวันออกกับทิศเหนือ จุดที่สามารถกลับไปยังสำนักสยบธารได้เร็วที่สุดอย่าง…เขตต้องห้ามแห่งชีวิต!

ตามความเร็วของพวกเขา ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนก็คงไปถึงเขตต้องห้ามแห่งชีวิตนั่น!

เวลาล่วงผ่าน พริบตาเดียวสองเดือนก็ผ่านพ้นไป ตลอดทางมานี้ไม่มีนครใดให้เห็น ทุกพื้นที่มีเพียงผืนป่าเทือกเขาที่รกร้างว่างเปล่าซึ่งทอดยาวเชื่อมต่อกัน ผู้ฝึกวิญญาณมีให้เห็นผ่านตาน้อยนิด มีเพียงชนเผ่าพื้นเมืองที่ฟื้นตัวจากสงครามคราวก่อนซึ่งพอจะมีให้เห็นได้บ้างเป็นระยะ

นี่จึงทำให้ในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเสียดายเล็กน้อย ตนต้องจากไปอย่างเงียบเชียบโดยที่ไม่มีใครถามถึงอย่างนี้น่ะหรือ…

“ช่างเถอะๆ ถ่อมตัวไว้ย่อมดีกว่า” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ มองเห็นว่าห่างไปไกลมีเทือกเขาแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยรอยปริแตก ตามความเข้าใจที่เขามีต่อแผนที่ของแดนทุรกันดารจึงรู้ว่าเมื่อผ่านเทือกเขานี้ไปได้ก็ถือว่าเหยียบเข้าสู่ชายแดนของแดนทุรกันดารแล้ว

ทว่าขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพาซ่งเชวียบินไปยังเทือกเขาแห่งนั้น จู่ๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับชะงักฝีเท้า ซ่งเชวียที่ตามมาข้างหลังของเขามีสีหน้ามืดดำปิดปากเงียบมาตลอดสองเดือน แต่มาตอนนี้ม่านตาของเขากลับหดตัวลง หน้าเปลี่ยนสีน้อยๆ!

ที่พวกเขามองเห็นคือบนยอดเขาแห่งนั้น เวลานี้มีเงาร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งยืนตระหง่านอยู่ เส้นผมยาวสลวยของนางปลิวไสว นางสวมชุดกระโปรงยาวสีแดง รูปร่างผอมบางเล็กน้อยทว่ากลับมีดวงหน้าที่งามเลิศล้ำ ท่วงท่าสวยสง่าประดุจเทพธิดาลงมาจำแลง!

นางก็คือ…สตรีธุลีแดง โจวจื่อโม่!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version