Skip to content

A Will Eternal 855

บทที่ 855 กลุ่มสามคน

เห็นสภาพน่าสลดใจของเสินซ่วนจื่อ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ให้รู้สึกเห็นใจอย่างยิ่งยวด ในใจอดเอาสตรีธุลีแดงมาเปรียบเทียบกับชนพื้นเมืองหญิงในชนเผ่าที่ใช้ระบบผู้หญิงเป็นใหญ่แห่งนี้ไม่ได้

พอลองเอามาเปรียบเทียบกันดูเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันรู้สึกว่า…ตนโชคดีมาก

แต่ภายนอกเขาย่อมไม่แสดงออก เพียงแต่สายตาที่ใช้มองเสินซ่วนจื่อกลับยิ่งเห็นอกเห็นใจมากกว่าเดิม จากนั้นเขาและซ่งเชวียก็พาเสินซ่วนจื่อไปจากชนเผ่าแห่งนั้น

พอออกมาจากชนเผ่าที่มีสตรีปกครอง มียาของป๋ายเสี่ยวฉุน ตราผนึกรวมไปถึงอาการบาดเจ็บบนร่างของเสินซ่วนจื่อจึงค่อยๆ ฟื้นตัวกลับมา สีหน้าของเขาก็ไม่ได้ซีดขาวอีกต่อไป เริ่มมีสีเลือดปรากฏขึ้นมาบ้าง ที่สำคัญที่สุดคืออารมณ์ของเขาที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและปิติยินดีที่รอดพ้นเคราะห์ภัยมาได้

เขาเหมือนคนที่เพิ่งเกิดใหม่ อารมณ์สดใสงดงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เขารู้สึกว่าท้องฟ้าเป็นสีครามกระจ่างตา แสงแดดก็ช่างเจิดจ้าแจ่มใส ทุกอย่างล้วนพัฒนาไปในทิศทางที่ดี เพียงแต่ว่า…อารมณ์เช่นนี้ดำรงอยู่ได้แค่หนึ่งชั่วยาม…หลังจากที่คนทั้งสามไปจากชนเผ่าที่มีสตรีปกครองได้ไม่นาน ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ข้างกายเขากลับเอาแต่พูดจ้อไม่หยุดปาก

“เสินซ่วนจื่อเอ๋ย เจ้าช่างมีชีวิตที่อเนจอนาถเสียจริง”

“เฮ้อ ก่อนหน้านี้ข้านึกว่าเชวียเอ๋อร์อนาถที่สุดแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้า…”

การปลงอนิจจังของป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้ซ่งเชวียหัวเราะเสียงเย็นอยู่ในใจ เขามองออกแล้วว่าป๋ายเสี่ยวฉุนต้องการโอ้อวดเสินซ่วนจื่อ

และในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนี้ เพราะป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นรอมาหนึ่งชั่วยามเต็มๆ แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ยินเสินซ่วนจื่อถามเสียทีว่าตนอยู่ในแดนทุรกันดารเป็นอย่างไรบ้าง

นี่จึงทำให้ในใจลึกๆ ของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่สบอารมณ์ ความรู้สึกสวมแพรอาภรณ์เดินยามค่ำคืนเช่นนี้ทำให้ใจของเขาคันยิบๆ คาดหวังเป็นอย่างยิ่งให้เสินซ่วนจื่อเอ่ยถามตน เสินซ่วนจื่อสีหน้าเหยเก แม้ว่าไม่ได้เจอป๋ายเสี่ยวฉุนมาหลายปีแต่เขาก็รู้จักป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นอย่างดี ยิ่งตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนและซ่งเชวีย ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้สังเกตอย่างละเอียด พอตอนนี้หันไปมอง ในใจเขาก็ให้สั่นสะท้าน มองปราดเดียวก็รู้ถึงความคิดของป๋ายเสี่ยวฉุน นั่นจึงทำให้เขาอดนึกถึงภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราและกำแพงเมืองไม่ได้ แอบตัดสินใจแล้วว่าจะไม่มีทางอ้าปากถามเด็ดขาด ดังนั้นจึงจงใจเปลี่ยนเรื่อง

“ยังไม่พูดถึงเรื่องนี้ อาการบาดเจ็บของข้ายังไม่หายดี รอให้ข้าฝึกตนสักครู่นะ” เสินซ่วนจื่อหัวเราะฮ่าๆ ขณะที่เดินทางก็โคจรตบะไปอย่างตั้งใจ

ป๋ายเสี่ยวฉุนจนใจไม่น้อย เขารู้สึกว่าเสินซ่วนจื่อไม่มีน้ำใจเอาเสียเลย

ตนก็แค่อยากจะโอ้อวดนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น แค่นี้ก็ให้ความร่วมมือไม่ได้ นี่ทำให้เขาคิดถึงสวีเป่าไฉเป็นอย่างยิ่ง ครุ่นคิดว่าหากสวีเป่าไฉอยู่ที่นี่ต้องให้ความร่วมมือกับตนเป็นอย่างดีแน่นอน

พอเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ดังใจปรารถนา ซ่งเชวียก็สบายอารมณ์ไม่น้อย และท่ามกลางความอึดอัดใจของป๋ายเสี่ยวฉุน คนทั้งสามก็ยิ่งขยับเข้าไปใกล้เขตต้องห้ามแห่งชีวิตเรื่อยๆ

ขณะที่อยู่ห่างจากเขตต้องห้ามแห่งชีวิตอีกประมาณหนึ่งวัน เสินซ่วนจื่อที่เห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนอยากคุยโวแต่ไม่มีโอกาส ในที่สุดก็อดใจเอ่ยถามไม่ไหว

“คือว่า…พวกเราจะไปที่ไหนกันหรือ”

พอเขาถามประโยคนี้ออกมา ซ่งเชวียก็ใจหายวาบ กำลังจะส่งข้อความเสียงไปให้อีกฝ่ายกลับเห็นว่าดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นประกายวาบ กระโดดเหยงออกมา พูดขึ้นเสียงดังด้วยความฮึกเหิม

“พวกเราจะไปที่เขตต้องห้ามแห่งชีวิต เดินทางกลับสำนักสยบธารโดยผ่านที่นั่น เขตต้องห้ามแห่งชีวิตน่ะ เจ้ารู้จักไหม ที่นั่นเต็มไปด้วยอันตรายอย่างไร้ที่สิ้นสุด อย่าว่าแต่ก่อกำเนิดเลย ต่อให้เป็นคนฟ้าก็ยังไม่กล้าย่างกรายเข้าไปแม้แต่ครึ่งก้าว”

“เขตต้องห้ามแห่งชีวิต?” เสินซ่วนจื่อเบิกตากว้าง

เขาเองก็เคยได้ยินชื่อเขตต้องห้ามแห่งชีวิตนี่เหมือนกัน รู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้พูดปด ทั้งยังไม่ได้พูดเกินจริงแม้แต่น้อย ตามที่เขาเข้าใจ เขตต้องห้ามแห่งชีวิตนั้น ต่อให้เป็นครึ่งเทพก็ยังต้องหยุดชะงักฝีเท้า!

ที่นั่นคือพื้นที่ต้องห้ามสำหรับทุกสรรพชีวิต!

“พวกเราไปทางกำแพงเมืองกันเถอะ…” เสินซ่วนจื่อกลืนน้ำลายดังเอื้อก เขาแค่เคยทำนายได้ว่าจะต้องมีคนมาช่วยตัวเองออกไป แต่กลับไม่เคยทำนายได้ถึงความเป็นความตายหลังจากที่ตัวเองจากมา เมื่อรอดพ้นหายนะมาได้หวุดหวิด เขาก็ให้ความสำคัญกับชีวิตอย่างยิ่งยวด ยามนี้จึงรีบพูดเสนอความเห็น

ซ่งเชวียที่อยู่ข้างกันได้ยินประโยคนั้นก็ถอนหายใจยาวเหยียด เขาเข้าใจดีว่ายามนี้…ใครก็ไม่สามารถหยุดยั้งการโอ้อวดและคุยโวของป๋ายเสี่ยวฉุนได้ แล้วก็เป็นดังที่เขาคาดเอาไว้ วินาทีที่เสินซ่วนจื่อเอ่ยออกมา ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เป็นประกายวาววับทันที

“ฮ่าๆ เสินซ่วนจื่อ เรื่องนี้เจ้าไม่รู้ล่ะสิ มาๆๆ ข้าจะบอกเจ้าเอง” ป๋ายเสี่ยวฉุนตบถุงเก็บของหยิบเอาป้ายคำสั่งแผ่นหนึ่งออกมาอย่างลำพองใจ

เสินซ่วนจื่อตะลึงงัน มองป้ายคำสั่งแผ่นนั้นก็แอบรู้สึกว่าดูเหมือนตนจะเพิ่งให้โอกาสกับป๋ายเสี่ยวฉุน…

“เห็นหรือยัง? เมื่อมีป้ายคำสั่งแผ่นนี้ พวกเราก็สามารถผ่านเขตต้องห้ามแห่งชีวิตไปได้อย่างราบรื่น!” ป๋ายเสี่ยวฉุนที่หน้าบานเป็นกระด้งพูดพลางเดินปรี่ไปโอบไหล่เสินซ่วนจื่อ

“เจ้าต้องมีคำถามแน่นอน คงอยากรู้สินะว่านี่คือป้ายคำสั่งอะไร แล้วข้าไปได้มาจากไหน เรื่องนี้พูดแล้วก็ยาว แต่ว่าพวกเรามีเวลา ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังอย่างละเอียดก็แล้วกัน นี่ต้องเริ่มพูดถึงตั้งแต่วันแรกที่ข้าถูกนำส่งมายังแดนทุรกันดารแห่งนี้…”

เวลาหนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เรื่องราวของป๋ายเสี่ยวฉุนถูกถ่ายทอดออกมาเป็นเวลาเกินครึ่งวัน เขาเล่าได้ละเอียดมาก ยิ่งช่วงที่พูดถึงตำแหน่งและตัวตนของตัวเองก็ยิ่งเต็มไปด้วยความลำพองใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

ช่วงแรกเริ่มเสินซ่วนจื่อยังถอนหายใจอยู่ในใจ

แต่ไม่นานเมื่อเขาได้ยินว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจับตัวราชาผียักษ์ที่เป็นครึ่งเทพ ดวงตาของเสินซ่วนจื่อก็เบิกกว้างจนแทบจะถลนออกมาจากเบ้า ลมหายใจของเขาหอบหนักอย่างต่อเนื่อง แต่แปบเดียวเขาก็รู้ว่าเมื่อเทียบกับเรื่องจับตัวราชาผียักษ์แล้ว เรื่องราวที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกระทำลงไปในภายหลังต่างหากถึงจะเรียกว่าสะท้านฟ้าสะเทือนดินอย่างแท้จริง!

“เจ้าบอกว่า…เจ้าจับตัวศิษย์แห่งความภาคภูมิใจทั้งหมดในแดนทุรกันดาร!! ราชาผียักษ์ยกสตรีธุลีแดงให้กับเจ้า?!”

“เจ้า…เจ้าบอกว่าเจ้ากลายเป็นผู้ตรวจการของราชสำนักขุย ค้นบ้านและยึดทรัพย์มาหลายตระกูลจนนับไม่ถ้วน!!”

“เจ้าช่วยต้าเทียนซือผลักดันโองการประทานคุณแด่ประชา? เจ้าคืออาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดินขั้นสูงสุด!!”

“เจ้า…สวรรค์ เจ้าไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม ลูกศิษย์ของเจ้าคือจักรพรรดิหมิง?!!”

ในสมองของเสินซ่วนจื่อเกิดเสียงดังอึงอล ลมหายใจของเขาหอบหนัก สีหน้าเหลือเชื่อ ทั้งยังอ้าปากกว้างอย่างตะลึงพรึงเพริด เรื่องราวเหล่านี้ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดถึงทำให้เขารู้สึกเหมือนได้ฟังนิทานอาหรับราตรี ทุกเรื่องฟังดูเกินจริงจนแทบเชื่อไม่ลง

ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งที หลังจากสังเกตเห็นสายตาของเสินซ่วนจื่อ ในใจของเขาก็ให้ปลอดโปร่งโล่งสบายอย่างถึงที่สุด รู้สึกว่าในที่สุดตนก็ไปจากแดนทุรกันดารได้อย่างไร้ความเสียดายแล้ว

พอดื่มด่ำไปกับสายตาของเสินซ่วนจื่ออยู่พักหนึ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็จำต้องเอ่ยถ่อมตัวอย่างที่หาได้ยาก

“ก็ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจอะไรหรอก ความจริงข้าแค่ใช้กำลังเพียงส่วนน้อยเท่านั้น” ป๋ายเสี่ยวฉุนเชิดคางเอ่ยด้วยเสียงเรียบเรื่อยพลางสะบัดปลายแขนเสื้อเบาๆ

“พวกเจ้าเองก็รู้ว่าไม่ว่าเรื่องใด ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนแค่สะบัดปลายแขนเสื้อ ทุกอย่างก็ต้องสิ้นราบพนาสูร นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกเสียหน่อย”

เสินซ่วนจื่อรู้สึกเพียงว่าข้างหูตัวเองมีเสียงฟ้าผ่าดังสนั่นหวั่นไหวไม่หยุด เดิมทีเขายังไม่เชื่อ ทว่า…ซ่งเชวียที่อยู่ข้างๆ กันกลับไม่เอ่ยโต้แย้ง แถมสีหน้าของอีกฝ่ายก็ดำทะมึนไม่น่ามองอยู่ตลอดเวลา ทั้งหมดนี้ทำให้ในใจของเสินซ่วนจื่อสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง ปานประหนึ่งมีคลื่นยักษ์ถาโถมอยู่ในใจ ความรู้สึกเหลือเชื่อเช่นนั้นยังคงดุเดือดไม่คลาย ยิ่งเรื่องสุดท้ายที่บอกว่าลูกศิษย์ของป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นถึงจักรพรรดิหมิง นี่ก็ยิ่งทำให้เสินซ่วนจื่อใจสั่น ขณะเดียวกันก็ยิ่งเปี่ยมล้นไปด้วยความเศร้ารันทดและปลงอนิจจัง

เขาค้นพบว่าการเอาคนมาเปรียบเทียบกัน ช่างเป็นเรื่องที่โหดเหี้ยมเหลือเกิน ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ก็สามารถผงาดขึ้นมาได้อย่างองอาจทุกครั้ง!

ตอนอยู่สำนักอันตมรรคาฟ้าดารา เขาสามารถรวมพลหาพรรคพวกสร้างขุมกำลังที่เป็นของตัวเอง!

ตอนอยู่กำแพงเมือง เขาสามารถอาศัยคุณความชอบในการรบของตัวเองกลายมาเป็นผู้บังคับกองหมื่นซึ่งเป็นที่จับตามองของผู้คนนับหมื่น!

มาอยู่ในแดนทุรกันดาร เจ้าหมอนี่ก็ยิ่งกับราวระเบิดตัวเอง ถึงขั้นกลายมาเป็นอาจารย์ของจักรพรรดิหมิง!

ความคิดมากมายเหล่านี้กลายมาเป็นแรงกระตุ้นอย่างหนึ่งที่ทำให้ครึ่งวันที่เหลืออยู่ เสินซ่วนจื่อตกอยู่ในสภาพมึนๆ งงๆ ไปตลอดทาง ในสมองของเขามีเสียงอื้ออึงดังขึ้นไม่หยุด เสียงเหล่านั้นล้วนเป็นเรื่องราวมากมายที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดถึง ไม่ว่าเรื่องไหนก็สะเทือนเลือนลั่นปฐพี

และก็เป็นอย่างนี้ ขณะที่เสินซ่วนจื่ออึ้งทึ่งมึนงง ในที่สุดยามสนธยาของวันนี้คนทั้งสามก็มาถึงพื้นที่รอยต่อระหว่างแม่น้ำทงเทียนสายตะวันออกกับกำแพงเมืองทิศเหนืออย่าง…เขตต้องห้ามแห่งชีวิต!

ที่นั่นมีเทือกเขาสายหนึ่งที่ตัดสลับกันประหนึ่งมังกรนอนหมอบ และเมื่อเหยียบลงไปในเทือกเขาเส้นนี้ก็เท่ากับเหยียบลงไปใน…

เขตต้องห้ามแห่งชีวิตที่ในตำนานเล่าลือกันว่าไม่มีใครเคยผ่านไปได้!

มองเห็นเทือกเขาเส้นนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ลูบคลำถุงเก็บของ เขาเชื่อว่าคนเฝ้าสุสานไม่ได้โกหกตน ดังนั้นจึงกัดฟันแล้วบินเข้าไปในเทือกเขา!

ซ่งเชวียเองก็สูดลมหายใจเข้าลึก อันที่จริงหากเป็นไปได้ เขาก็ไม่อยากเดินทางผ่านพื้นที่แห่งนี้ แต่เขาเองก็รู้ว่าเมื่อกำแพงเมืองพังถล่ม ตราผนึกที่เทียนจุนร่ายเอาไว้ พวกเขาย่อมไม่สามารถข้ามผ่านไปได้

หากยังรอต่อไปก็ไม่รู้ว่าต้องรอไปอีกเมื่อไหร่ อีกทั้งดูเหมือนป๋ายเสี่ยวฉุนจะมั่นใจอย่างมาก ซ่งเชวียจึงกัดฟันกรอด เดินตามไปด้วยนัยน์ตาที่ฉายแววเด็ดเดี่ยว

เสินซ่วนจื่อเองก็ค่อยๆ สงบอารมณ์ลงได้จากความเลื่อนลอย ตอนที่มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน ในใจของเขาเต็มไปด้วยความกริ่งเกรงอยู่นานแล้ว รู้สึกเพียงว่าป๋ายเสี่ยวฉุนคือเทพเจ้าในร่างคน

การมาที่เขตต้องห้ามแห่งชีวิตนี้ เขามีความมั่นใจในตัวป๋ายเสี่ยวฉุนเหนือเกินกว่าซ่งเชวีย ตอนนี้จึงตามไปอย่างไร้ซึ่งความลังเลใด พริบตานั้นคนทั้งสามจึงข้ามเทือกเขา เหยียบเข้าไปใน…เขตต้องห้ามแห่งชีวิต!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version