บทที่ 859 ภาพวาดและบทอมตะ
ในห้องเรือมีบันไดเส้นหนึ่งที่ทอดยาวลงไปยังชั้นล่าง ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้ามาก็มองไม่เห็นซ่งเชวียแล้ว เห็นเพียงเงาแผ่นหลังของเสินซ่วนจื่อที่แวบผ่านไปตรงปลายสุดของบันได
ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบก้าวเท้าเหยียบลงไปบนบันไดที่ทอดยาวสู่ด้านล่างอย่างระมัดระวัง ไม่นานก็มองเห็นปลายทาง และมาถึงชั้นแรกของเรือผีลำนี้!
ชั่วขณะที่เขาเหยียบลงไปยังชั้นที่หนึ่ง มองปราดเดียวเขาก็เห็นว่าซ่งเชวียและเสินซ่วนจื่อเบิกตากว้าง กำลังมองประเมินไปรอบด้านด้วยความใคร่รู้
ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าคนทั้งสองไม่เป็นอะไรก็คลายใจลงได้ รีบเดินเร็วๆ ไปหยุดอยู่ข้างกายของคนทั้งสองพร้อมกวาดตามองพื้นที่รอบด้านไปด้วย
พื้นที่ของชั้นที่หนึ่งนี้ไม่เล็ก แต่กลับกว้างขวางอย่างน่าแปลกใจ แทบจะไม่ต่างอะไรไปจากดาดฟ้าเรือแม้แต่น้อย อีกทั้งจุดที่ห่างไปไม่ไกลยังมีบันไดอีกเส้นหนึ่งที่ทอดยาวลงไปข้างล่าง นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรอีก
มีเพียงบนผนังเท่านั้นที่แขวนภาพวาดขนาดใหญ่ยักษ์ทรงกลมแขวนไว้ภาพหนึ่ง!
ในภาพวาดมีท้องฟ้า ทว่าท้องฟ้านั้นไม่ใช่สีครามสดใส แต่เป็นเหมือนพื้นผิวน้ำทะเลที่มีลูกคลื่นเป็นชั้นๆ หากไม่เพราะมีเมฆลอยเป็นกลุ่มเป็นก้อน ป๋ายเสี่ยวฉุนคงไม่สามารถมองออกได้ทันทีว่านั่นคือท้องฟ้า
และที่น่าตะลึงที่สุดก็คือท่ามกลางภาพวาดใหญ่ยักษ์นี้ กลางท้องฟ้ามีมือขนาดมหึมาข้างหนึ่ง มือนี้ใหญ่เกินไป กินพื้นที่ไปเกือบครึ่งหนึ่งของท้องฟ้า ซึ่งคล้ายกำลังดิ่งจากฟ้า ตบลงมายังพื้นดิน!
ลำพังเห็นเพียงแค่ภาพวาด ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังรู้สึกจิตใจสะท้านไหวราวกับร่างทั้งร่างหลุดเข้าไปอยู่ในภาพนั้น สัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาลยากจะบรรยายที่พุ่งเข้ามาปะทะใบหน้า
ความรู้สึกนี้นำมาซึ่งความสิ้นหวัง ราวกับว่าเพียงแค่พลังของมือข้างนั้นก็มากพอที่จะ…ดับทำลายโลกใบนี้!!
บนพื้นคือแผ่นดินแห้งแล้งที่เต็มไปด้วยรอยแตกระแหงนับไม่ถ้วน และบนพื้นดินก็มียักษ์น่าครั่นคร้ามสามตนยืนอยู่ สีหน้าของยักษ์สามตนนี้เหมือนมองเห็นความตายเป็นเรื่องธรรมดาดั่งคืนสู่มาตุภูมิ ยักษ์ทุกตนต่างก็ยกมือขึ้นข้างหนึ่งคล้ายต้องการจะต้านทานมือที่ตบลงมาจากท้องฟ้า!
ในภาพวาดมีเพียงแค่สิ่งเหล่านี้ และตลอดทั้งชั้นหนึ่งก็มีแค่ภาพยักษ์ภาพเดียวนี้เท่านั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไม่เข้าใจ ซ่งเชวียและเสินซ่วนจื่อก็ไม่ออก ทว่าคนทั้งสองกลับถูกภาพวาดนี้ดึงดูดไว้อย่างอยู่หมัด ในใจมีคลื่นลูกยักษ์ถาโถม
ผ่านไปพักใหญ่ ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นคนแรกที่ฟื้นคืนสติ เขาหน้าซีดขาว ถอยหลังไปหลายก้าวพร้อมลมหายใจที่หอบรัว รู้สึกเพียงในสมองมีเสียงดังอึงอลไม่หยด ทั้งยังปวดหัวราวกับหัวจะแตก นัยน์ตาฉายความหวาดกลัว
“ไม่นึกเลยว่าภาพวาดนี้จะมีพลังน่าตะลึงเขย่าคลอนจิตวิญญาณผู้คนได้ถึงเพียงนี้!!” ขณะที่ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับคืนมาเป็นปกติเขาก็สังเกตเห็นว่าซ่งเชวียและเสินซ่วนจื่อกำลังตัวสั่น ในดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย สีหน้าที่ดิ้นรนฉายชัดถึงความสิ้นหวัง เขาจึงรีบสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ซัดพละกำลังขุมใหญ่ลงไปบนร่างของคนทั้งสอง
ซ่งเชวียพลันตัวสั่นสะท้าน ฟื้นคืนสติในบัดดล มุมปากมีเลือดสดไหลซึม เซถอยไปหลายก้าว นัยน์ตาฉายความตะลึงพรึงเพริด เสินซ่วนจื่อที่อยู่ข้างกันตบะเทียบกับซ่งเชวียไม่ได้ เขาจึงกระอักเลือดสดออกมาอย่างบ้าคลั่ง หน้าขาวซีดจนแทบไร้สีเลือด ตลอดทั้งร่างอ่อนระโหยโรยแรง หวาดกลัวอย่างลึกล้ำ
“นี่มันคือภาพอะไรกันแน่!!” เสินซ่วนจื่อหอบหายใจถี่รัว ไม่กล้าหันไปมองอีกเป็นครั้งที่สอง
“ที่นี่พิลึกพิลั่นเกินไปแล้ว พวกเราออกไปกันเถอะ ขึ้นไปบนดาดฟ้า หาวิธีออกไปจากที่นี่ ข้ามีความรู้สึกว่ายิ่งเดินลงไปข้างล่างมากเท่าไหร่ก็ยิ่งน่าพรั่นพรึงมากเท่านั้น!” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองประเมินซ่งเชวียและเสินซ่วนจื่อแวบหนึ่ง ซ่งเชวียห่างจากเขาช่วงระยะหนึ่ง แต่เสินซ่วนจื่อกลับอยู่ไม่ไกลนัก ดังนั้นขณะที่เขาเอ่ยขึ้นก็ได้ค่อยๆ ขยับไปใกล้เสินซ่วนจื่อด้วย
ทว่าเขาเพิ่งจะพูดขาดคำ ซ่งเชวียที่ห่างออกไปไม่ไกลเท่าไหร่กลับสะบัดร่างห้อทะยานไปยังบันไดที่ทอดยาวสู่ชั้นที่สอง ความเร็วนั้นมีมากจนเพียงแค่พริบตาก็หายลงไปตามบันไดนั้น
เสินซ่วนจื่อเองก็พุ่งถลาดิ่งเข้าหาบันไดเช่นเดียวกับซ่งเชวีย ไม่แม้แต่จะเหลือบแลป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าเป็นเช่นนี้ดวงตาก็เปล่งประกายวาบ เอื้อมมือคว้าร่างเสินซ่วนจื่อ ทว่าวินาทีที่เขาจับตัวเสินซ่วนจื่อ เสินซ่วนจื่อกลับหันขวับมามองเขาด้วยสีหน้าดุร้ายแล้วคำรามไร้เสียงใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน
ชั่วขณะที่เขาร้องคำราม ใบหน้าของเขากลับมีใบหน้าผีลอยขึ้นมา
ใบหน้าผีนี้แยกเขี้ยวดุดัน เสียงคำรามตรงเข้ามาระเบิดอยู่ในจิตวิญญาณของป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสี รู้สึกเหมือนมีพละกำลังมหาศาลขุมหนึ่งพุ่งออกมาจากมือตัวเอง ทำให้เสินซ่วนจื่อสลัดหลุดแล้วหายวับไปตามบันได!
ภาพนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่นเยือก สีหน้าไม่น่ามองอย่างยิ่ง ขณะเดียวกันก็ใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม ก่อนหน้านี้ที่เขาพูดออกไปก็เพื่อหยั่งเชิงดูเท่านั้น!
ตอนที่อยู่บนดาดฟ้า เขาก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติแล้ว ตอนนี้พอมาลองหยั่งเชิงก็มองออกทันทีว่าสติปัญญาของซ่งเชวียและเสินซ่วนจื่อถูกเรือลำนี้ควบคุมไว้ทั้งหมด!!
“ใบหน้าผีร้ายนั่น…คือใบหน้าเดียวกับบนผืนธง!” ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนมีภาพธงตรงกลางระหว่างธงสามผืนที่อยู่บนเสากระโดงเรือลอยขึ้นมาทันที
เขาจึงหันขวับหมายจะเดินขึ้นบันไดกลับไปยังดาดฟ้าเรือ ทว่าวินาทีที่เขาหันกลับไปนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันชะงักฝีเท้า เพราะบันไดที่ทอดยาวสู่ด้านบนได้…หายวับไปแล้ว!
นี่ทำให้ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนดังอื้ออึง หน้าซีดขาวไปในฉับพลัน ขณะเดียวกันขนทั้งร่างของเขาก็ลุกตั้งชัน รู้สึกเพียงว่ารอบด้านยิ่งเปลี่ยนมาเป็นเย็นอึมครึม ความรู้สึกเช่นนั้นทำให้หัวใจของเขาเต้น “ตุบๆๆ” กระหน่ำรัวราวลั่นกลองศึก
“ทำยังไงดี จะทำยังไงดี!” ป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนใจเสียแล้ว ทำได้เพียงกุมป้ายคำสั่งที่คนเฝ้าสุสานมอบให้เอาไว้แน่นๆ ฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่มัน
“ข้าคืออาจารย์ของจักรพรรดิหมิงเชียวนะ พวกภูตผีที่อยู่ในโลกใบนี้ ใครมันกล้ามาแหยมกับข้า!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าบูดบึ้ง พูดให้กำลังใจตัวเอง ขณะเดียวกันก็หยิบไฟหลายสีออกมากองหนึ่ง ลังเลอยู่พักใหญ่เขาก็กัดฟันกรอด คำรามกร้าวแล้ววิ่งไปยังบันไดที่ทอดยาวสู่ด้านล่าง
นั่นเป็นเพราะเขาอยู่ที่นี่คนเดียวเป็นเรื่องที่น่าหวาดกลัวเกินไป อีกทั้งไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็ไม่สามารถทนมองซ่งเชวียและเสินซ่วนจื่อถูกควบคุมแบบนี้ได้
“สมควรตายนัก หากรู้แต่แรกข้ากลับสำนักสยบธารคนเดียวก็คงดี!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่น หงุดหงิดงุ่นง่าน ขณะเดียวกันก็ค่อยๆ ก้าวลงบันไดช้าๆ อย่างระมัดระวัง หลังจากเดินไปถึงปลายทางเขาก็มองเห็น…ชั้นที่สองของเรือผีลำนี้!!
วินาทีที่ก้าวเดินเข้าไปในชั้นที่สอง ความระแวดระวังของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันระเบิดออก ตบะทั้งร่างถูกโคจรรวดเร็ว อำนาจจิตก็แผ่ออกไปคลุมทั้งชั้นสอง หากมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เขาต้องรับสัมผัสได้ทันที ทั้งยังตัดสินใจไว้แล้วว่าจะไม่มีทางมองไปยังรูปภาพที่อยู่บนกำแพงเด็ดขาด
ทว่าชั้นที่สองนี้ไม่เหมือนกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดเอาไว้ ที่นี่ไม่มีอันตรายที่เห็นได้อย่างเด่นชัด อีกทั้งพื้นที่ของชั้นที่สองยังกว้างกว่าชั้นแรกเล็กน้อย
บนผนังรอบด้านก็ไม่มีภาพวาด มีเพียงแสงเทียนสีเหลืองอ่อนจางที่ส่องแสงขมุกขมัวอยู่ในชั้นที่สอง
ส่วนพื้นที่ตรงกลางนั้นมีเก้าอี้โยกตัวหนึ่งวางอยู่!
เก้าอี้โยกตัวนี้วางนิ่งๆ อยู่ตรงนั้น มองดูแล้วไม่สะดุดตาแม้แต่น้อย ทว่าด้านหน้าเก้าอี้โยกกลับมีโครงกระดูกอยู่สองโครงที่เลือดเนื้อเน่าเปื่อยไปนานแล้ว หลงเหลือเพียงแค่โครงกระดูกเปล่าๆ อย่างเดียวเท่านั้น!!
โครงกระดูกทั้งสองโครงนี้นั่งคุกเข่าหันหน้าเข้าหากัน สามารถมองออกว่าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่คือเพศชายสองคน ร่างของพวกเขาหนึ่งเป็นสีทองอร่าม อีกหนึ่งใสแวววาวราวผลึก แม้จะหันหน้าเข้าหากัน แต่กลับอยู่ใกล้กันมาก ราวกับว่ากำลังกอดกันอยู่อย่างไรอย่างนั้น
เดิมทีนี่ไม่ใช่ภาพที่น่ากลัวอะไร แต่ที่แปลกประหลาดก็คือ…โครงกระดูกสองร่างที่กอดกันอยู่นี้ ศีรษะของพวกมัน…กลับผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่เห็นได้ชัดว่ายังไม่ผสานรวมได้เต็มที่ ทว่าหลอมรวมเข้าด้วยกันได้แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งน่าตกใจ เพราะสภาพของพวกมันเหมือนตัวประหลาด!!
นี่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนที่พอมองเห็นใจสั่นรัว หอบหายใจดังเฮือก และเวลานี้เขาก็มองเห็นซ่งเชวียกับเสินซ่วนจื่อแล้ว พบว่าพวกเขาสองคนยืนนิ่งไม่กระดุกกระดิกอยู่ข้างกายโครงกระดูกทั้งสอง
“หรือว่าพวกเขาสองคนจะผสานรวมกัน?!!!” ไม่รู้ทำไมพอจู่ๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดได้ถึงจุดนี้ในสมองก็มีเสียงดังอื้ออึงขึ้นมา รู้สึกเพียงว่าภาพนี้น่ากลัวและพิลึกพิลั่นเกินไป
ทว่าวินาทีที่หัวใจของเขาเต้นรัวเร็ว ทันใดนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันตระหนักได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง สายตาของเขาจึงย้ายจากร่างของซ่งเชวียและเสินซ่วนจื่อไปตกอยู่บนร่างของโครงกระดูกสีทองอีกครั้ง
หลังจากมองอย่างละเอียด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!
“ปราณของวิชาอมตะมิวางวาย!!”
“นี่คือ…บทมิวางวายที่ฝึกสำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบ!!”
ลูกกระเดือกของป๋ายเสี่ยวฉุนขยับขึ้นลงอยู่หลายที ในสมองเกิดคลื่นลูกยักษ์ถาโถม เขาไม่มีทางมองผิดเด็ดขาด เพราะอย่างไรซะเขาเองก็ฝึกบทมิวางวายเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นบรรพบุรุษโลหิตหรือว่าตัวเขาเอง หรือแม้แต่โครงกระดูกสีทองที่อยู่เบื้องหน้านี้ก็ล้วนฝึกบทมิวางวายของวิชาอมตะมิวางวายทั้งสิ้น!
“หากโครงกระดูกสีทองฝึกบทมิวางวายได้เสร็จสมบูรณ์ ถ้าเช่นนั้น…หรือโครงกระดูกผลึกใสนั่นจะเป็น…” ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนเปลี่ยนมาเป็นถี่รัว สายตาพลันมองไปยังโครงกระดูกอีกโครงหนึ่งทันที ครั้งนี้หลังจากที่เขาสังเกตอย่างละเอียดก็รับสัมผัสได้ทันทีว่าบนร่างของโครงกระดูกผลึกใสมีพลังชีวิตที่เข้มข้น ราวกับเป็นเจตจำนงแห่งความเป็นอมตะ!!
“บทอมตะ!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกระจ่างแจ้งโดยพลัน เขารู้มาตั้งนานแล้วว่าวิชาอมตะมิวางวายแบ่งออกเป็นบทมิวางวายกับบทอมตะ และเขาเองก็ยังไม่ได้บทอมตะมาครอบครอง ที่ฝึกอยู่ทุกวันนี้มีเพียงบทมิวางวาย แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คาดไม่ถึงว่ามาอยู่ที่นี่จะได้เห็นโครงกระดูกของคนที่ฝึกบทอมตะ!!
เวลานี้ในสมองของเขามีลูกคลื่นซัดตลบจำนวนนับไม่ถ้วน
ขณะเดียวกันก็เหมือนมีสายฟ้าฟาดผ่าลงมาไม่หยุด ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป และป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งไม่เข้าใจด้วยว่าเหตุใดเมื่อตายไปแล้ว โครงกระดูกของคนสองคนที่ฝึกบทมิวางวายและบทอมตะถึงได้ผสานรวมเข้าด้วยกัน…
นี่ทำให้ในใจเขาพลันบังเกิดความเย็นสะท้าน ขณะเดียวกันก็ยิ่งขนลุกขนพอง ทว่าขณะที่เขากำลังเกิดความหวาดผวา ทันใดนั้น…เก้าอี้โยกที่เดิมทีวางอยู่นิ่งๆ ไม่ขยับกลับ…โยกไหวด้วยตัวเอง!!
ราวกับว่ามีร่างหนึ่งที่มองไม่เห็นกำลังนั่งอยู่บนนั้นแล้วโยกเก้าอี้ไปมา…