Skip to content

A Will Eternal 87

บทที่ 87 ศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจฝ่ายนอกเหนือใต้

เวลาผ่านไปทีละวัน ป๋ายเสี่ยวฉุนปิดด่านอยู่ในที่พักไม่ย่างกรายออกมาแม้แต่ก้าวเดียว จนกระทั่งสิบวันให้หลัง เสียงระฆังอันน่าเกรงขามดังก้องไปทั่วสำนัก แผ่นหยกของเขาก็ปล่อยคลื่นสะท้อนออกมา

ศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจฝ่ายนอกสองชายฝั่งเหนือใต้ สิบวันหลังจากการประลองคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติของชายฝั่งทิศใต้ ได้จัดขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว!

ศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจฝ่ายนอกที่จัดขึ้นสามสิบปีครั้งล้วนจัดขึ้นบนเขาจ้งเต้า วันนี้เมื่อเสียงระฆังของเขาจ้งเต้าดังก้องไปทั่วสำนักธาราเทพ ลูกศิษย์ฝ่ายนอกจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนพากันดิ่งทะยานไปที่นั่น

ในยามปกติน้อยครั้งนักที่ชายฝั่งเหนือใต้จะไปมาหาสู่กัน มีเพียงลูกศิษย์ฝ่ายในเท่านั้นถึงจะเข้าไปอยู่ในเขตของแต่ละฝ่ายได้ ส่วนลูกศิษย์ฝ่ายนอกนั้นไม่มีสิทธิ์ และก็มีเพียงวันนี้เท่านั้นที่เขาจ้งเต้าเปิดรับลูกศิษย์ทุกคน ทำให้ลูกศิษย์ฝ่ายนอกสามารถเข้าชมศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจได้ ไม่ว่าจะเป็นชายฝั่งทิศใต้หรือชายฝั่งทิศเหนือเวลานี้ก็ล้วนตื่นเต้นฮึกเหิม ร่างแต่ละร่างบินทะยานเป็นภาพที่สามารถมองเห็นได้ทั่วทุกจุดในสำนักธาราเทพ

“ครั้งนี้ชายฝั่งทิศใต้ของพวกเราต้องล้างความอัปยศให้ได้!”

“ให้ชายฝั่งทิศเหนือได้รู้ว่า ชายฝั่งทิศใต้ของเราเหนือล้ำกว่าที่ผ่านมา เหยียบย่างเข้าสู่ความรุ่งโรจน์โชติช่วง!”

ขณะที่ลูกศิษย์ฝ่ายนอกทั้งหมดของชายฝั่งทิศใต้ฮึกเหิมกันอยู่นั้นเอง ลูกศิษย์ฝ่ายนอกจากทั้งสี่เขาของชายฝั่งทิศเหนือก็ห้อทะยานตรงมายังเขาจ้งเต้าเช่นกัน ระหว่างทางมีเสียงยโสถือดีดังขึ้นๆ ลงๆ

“ชายฝั่งทิศใต้อ่อนแอ แพ้ให้ชายฝั่งทิศเหนือของพวกเรามาพันกว่าปีแล้ว ครั้งนี้ก็ย่อมไม่แตกต่าง!”

“ชายฝั่งทิศเหนือต้องชนะ ชายฝั่งทิศใต้ต้องแพ้ สำนักธาราเทพเดิมก็มีชายฝั่งทิศเหนือของเราเป็นผู้นำ ชายฝั่งทิศใต้ก็แค่ตัวประกอบเท่านั้น!!”

ขณะที่เสียงฮือฮาของทั้งสองชายฝั่งยิ่งดังดุเดือดนั้นเอง ชั่วขณะที่ลูกศิษย์ฝ่ายนอกจำนวนนับไม่ถ้วนตรงดิ่งไปยังเขาจ้งเต้าอย่างพร้อมเพรียง บนเขาชิงเฟิง สีหน้าของซ่างกวานเทียนโย่วเย็นชา นัยน์ตาเปล่งประกายคมกริบ สะบัดร่างหนึ่งครั้งแล้วบินออกไป

เวลาเดียวกันนี้หลู่เทียนเหล่ยที่อยู่บนเขาจื่อติ่งเงยหน้าขึ้นฟ้าคำรามเสียงต่ำหนึ่งที สายฟ้าตลอดร่างเปล่งแสง ห้อทะยานออกไปไกลท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องของลูกศิษย์จำนวนมากรอบด้าน

โจวซินฉีเองก็บินออกไปในเวลานี้เช่นกัน ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจผู้ยิ่งใหญ่สามคนของชายฝั่งทิศใต้ เวลานี้ทุกคนล้วนเคร่งขรึมเกินจะเปรียบ

และก็ตอนนี้เอง ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในที่พักเงยหน้าขึ้น ดวงตาทั้งคู่มีเส้นเลือดฝอยปรากฏให้เห็น เขาสูดลมหายใจเข้าลึก สีหน้าเอาจริงเอาจัง

“ถึงเวลาแล้ว…ทหารกล้าออกรบ ต้องมีชุดประจัญบาน!” เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืน มือขวายกขึ้นตบลงไปบนถุงเก็บของ เสื้อหนังเจ็ดแปดตัวปรากฏออกมาทันควัน การสู้รบกับตระกูลลั่วเฉินในปีนั้น เสื้อหนังของเขาฉีกขาดไปหมดแล้ว เสื้อพวกนี้ได้จัดเตรียมเอาไว้ใหม่อีกครั้ง คุณภาพดียิ่งกว่าเดิม ทนทานยิ่งกว่าเดิม

เวลานี้สีหน้าของเขาเคร่งขรึม หลังจากสวมเสื้อหนังแต่ละชิ้นลงไปบนร่างแล้วก็สะบัดแขนเสื้อหนึ่งที

“ทหารกล้าออกรบ ต้องมีเกราะหลัง!” จากการที่ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดแขนเสื้อ ในถุงเก็บของจึงมีหม้อใบใหญ่ใบหนึ่งลอยออกมาทันที หม้อของจางต้าพั่งแตกไปแล้วตอนที่สู้กับตระกูลลั่วเฉินในปีนั้น นี่เป็นหม้อใบใหม่ซึ่งป๋ายเสี่ยวฉุนเตรียมไว้หลังจากกลับมาถึงสำนัก เวลานี้นัยน์ตาแฝงด้วยความขึงขัง เขาแบกหม้อใบใหญ่ไว้บนหลัง

“ทหารกล้าออกรบ ต้องมีอาวุธวิเศษ!” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดอยู่กับตัวเองอย่างเย่อหยิ่งก็โบกมืออีกครั้ง กระบี่ไม้เล่มเล็กลอยออกมา ถูกเขาเอาเหน็บไว้ที่เอว กระบี่วิหคทองลอยออกมา เอาแขวนไว้ด้านข้าง และกระบี่บินอีกสามเล่มก็เอามาแขวนไว้บนร่างทั้งหมด จากนั้นก็หยิบเอาโล่กระสาเทพออกมาวางไว้ตรงตำแหน่งที่หยิบจับได้ง่ายที่สุด

ยังรู้สึกไม่วางใจจึงสวมกำไลที่หลี่ชิงโหวมอบให้เขาไปอีกชิ้น ถึงได้เชิดคางขึ้น ตลอดทั้งร่างแผ่ไอฮึกเหิมคละเคล้าไปด้วยความเศร้า เดินก้าวหนักๆ ออกมาจากประตูบ้านไม้เสียงดังตึงตัง

ยืนอยู่หน้าประตู หูของเขาได้ยินเสียงระฆังของสำนักที่ดังก้องไปทั่ว กำลังจะเดินหน้าต่อไปพลันรู้สึกเหมือนยังขาดอะไรบางอย่าง ดังนั้นจึงตบถุงเก็บของ หยิบเอาทวนยาวเล่มหนึ่งออกมาถือไว้ในมือ

ยืนรับลมที่โชยมา ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เดินออกมาจากลานบ้าน

เมื่อมองไกลๆ ตลอดร่างป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้โป่งพองเหมือนลูกกลมหนึ่งลูก เบื้องหลังแบกหม้อใบใหญ่ ในมือถือทวนยาว เวลาเดินกระบี่บินห้าหกเล่มที่แขวนไว้ทั่วร่างเหวี่ยงกระทบกันไปมา เกิดเป็นเสียงเคร้งคร้าง โดยเฉพาะเส้นผมที่ปลิวไสวไปตามสายลม พลังอำนาจแผ่ซ่านอบอวล

ทุกจุดที่เดินผ่าน ลูกศิษย์ฝ่ายนอกของเขาเซียงอวิ๋นจำนวนนับไม่ถ้วนหลังจากได้เห็นก็พากันใจสั่นไหว สะท้านสะเทือนไปกับการแต่งกายเช่นนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุน

เสียงระฆังดังต่อเนื่องไม่หยุด ยิ่งนานก็ยิ่งดุเดือด สะท้อนไปทั่วทั้งสำนักธาราเทพ ปลุกระดมจิตใจของลูกศิษย์ฝ่ายนอกมากมาย และยิ่งทำให้ลูกศิษย์ฝ่ายในจำนวนไม่น้อยบินไปทางเขาจ้งเต้าเช่นกัน

ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินก้าวยาวๆ เบื้องหลังเขาค่อยๆ มีลูกศิษย์ฝ่ายนอกจำนวนมากมารวมตัวกัน สวีเป่าไฉก็เป็นหนึ่งในนั้น เปล่งเสียงไชโยโห่ร้องออกมาอย่างต่อเนื่อง

“อาจารย์อาป๋ายพลังอำนาจเกรียงไกร องอาจห้าวหาญ!”

“ต้องชนะ ต้องชนะ!” คนเหล่านี้ล้วนเป็นลูกศิษย์ฝ่ายนอกที่เข้าข้างป๋ายเสี่ยวฉุน เวลานี้เดินตามหลังป๋ายเสี่ยวฉุน ให้การสนับสนุนอย่างเต็มกำลัง ในกลุ่มพวกเขายังมีโหวเสี่ยวเม่ยอยู่ด้วย เสียงของนางแหลมปรี๊ด ได้ยินเด่นชัดเป็นพิเศษ

ป๋ายเสี่ยวฉุนหันไปมองกลุ่มคนด้านหลังหนึ่งที ในใจซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง เขาพยักหน้าให้กับพวกเขา รู้สึกว่าทุกคนชื่นชอบตนถึงเพียงนี้ คราวนี้ตนต้องช่วงชิงเกียรติยศมาให้ได้…

ดังนั้นจึงเชิดคางขึ้น เดินหน้าไปทีละก้าวๆ อย่างทะนงองอาจ ไม่นานก็มาถึงเขาจ้งเต้า ตอนที่มาถึงที่นี่ สิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือเวทีประลองขนาดยักษ์แห่งหนึ่ง

รอบๆ เวทีประลองแห่งนี้มีแสงของค่ายกลส่องประกายปกคลุมไปทั่ว มองไกลๆ ยังเห็นหอสูงแห่งหนึ่งอยู่บนยอดเขาจ้งเต้า ด้านในนั้นเวลานี้มีเงาร่างของผู้อาวุโสแห่งสำนักจำนวนไม่น้อยที่ทยอยมาถึงกันทีละคน

ส่วนสองด้านของเวทีประลองด้านล่าง ตอนนี้ก็มีลูกศิษย์ฝ่ายนอกหลายคนมาถึง รวมตัวอยู่ด้วยกันแน่นขนัดไปหมด จำนวนคนของทั้งสองฝ่ายไม่ต่ำกว่าหลายหมื่น

ทางเหนือของเวทีล้วนเป็นลูกศิษย์ที่มาจากชายฝั่งทิศเหนือ แต่ละคนเห็นได้ชัดว่าพลังแข็งแกร่งยิ่งกว่าชายฝั่งทิศใต้ อีกทั้งข้างกายทุกคนจะมีสัตว์ร้ายอยู่ด้วยหนึ่งตัว

สัตว์ร้ายเหล่านั้นรูปร่างแตกต่างกันออกไป แต่มีสายตาดุร้ายแทบจะทุกตัว แค่มองก็รู้ว่าไม่ควรไปแหยมด้วย โดยเฉพาะเจ็ดแปดคนด้านหน้าสุด มีทั้งชายและหญิง แต่ละคนสีหน้าเย็นชา พลังบนร่างแกร่งกล้า

ในนั้นมีอยู่สองคนที่โดดเด่นมากที่สุด คนหนึ่งเป็นผู้หญิงรูปโฉมงามล้ำ สวมชุดคลุมยาวสีม่วง ข้างกายนางมีนกฟ่งเหนี่ยวเจ็ดสีอยู่หนึ่งตัว ดูเหมือนว่านกตัวนี้จะดูสูงศักดิ์ยิ่งกว่านกที่ผู้เฒ่าโจวเลี้ยง นัยน์ตาประดุจสายฟ้า เวลาที่มองไปยังทุกคน ราวกับกำลังมองหยันด้วยความดูหมิ่น

อีกคนหนึ่งคือชายหนุ่ม เขาสวมชุดคลุมยาวสีฟ้า ผมปลิวสะบัดไปตามสายลม รูปโฉมหล่อเหลาไม่ธรรมดา ตรงตำแหน่งหน้าผากที่มีปานแดงรูปพระอาทิตย์อยู่หนึ่งจุด

ตรงเท้าของเขามีสัตว์ขนาดมหึมาตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่ มองไกลๆ เหมือนสุนัขตัวใหญ่หนึ่งตัว ขนสีดำหนาแน่นตลอดร่าง กรงเล็บแหลมคม ยิ่งกว่านั้นในดวงตายังมีแสงสีทองเปล่งประกายออกมา

สัตว์ตัวนี้เขี้ยวโผล่ออกมาด้านนอก มองดูแล้วดุร้ายอย่างถึงที่สุด อีกทั้งร่างกายมโหฬารนั่น แค่นอนหมอบยังสูงเท่าหนึ่งตัวคน เกรงว่าน่าจะสูงพอคนสองคนเลยทีเดียว ให้ความรู้สึกแกร่งกร้าวอย่างหนึ่ง สามารถจินตนาการได้ว่าพละกำลังของสุนัขใหญ่ตัวนี้ต้องทำให้คนตะลึงพรึงเพริดได้อย่างแน่นอน

ผู้ที่มีปานรูปพระอาทิตย์อยู่กลางหน้าผากคนนี้ก็คือหนึ่งในศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของชายฝั่งทิศเหนือ เป่ยหันเลี่ย สุนัขตัวใหญ่ที่อยู่ข้างเขาตัวนั้นก็คือสัตว์ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือของชายฝั่งทิศเหนือ…สัตว์รัตติกาล!

ชายฝั่งทิศเหนือนอกจากสองคนนี้แล้ว ลูกศิษย์คนอื่นที่ยืนอยู่ด้านหน้าก็ล้วนน่าตะลึง ยังมีอีกคนหนึ่งสวมชุดคลุมสีดำ แม้แต่ใบหน้าก็ยังปกปิดเอาไว้ เผยให้เห็นแค่ดวงตาสีน้ำตาลเย็นชาคู่หนึ่ง และหากมองไปอย่างละเอียดจะเห็นได้ว่าในดวงตาของเขามีแมลงพิษมุดลอดไปมา!

แต่ละภาพเหล่านี้ทำให้ลูกศิษย์ชายฝั่งทิศใต้พากันหวาดผวา

เวลานี้ลูกศิษย์ทุกคนของชายฝั่งทิศเหนือล้วนยืนอยู่อีกฝั่งของเวที มองมายังลูกศิษย์ชายฝั่งทิศใต้ที่ยืนอยู่ทิศใต้ของเวทีอย่าง…ดูถูก!

“ชายฝั่งทิศใต้คราวนี้ก็คงต้องแพ้เหมือนเดิม ในนั้นเท่าที่พอจะดูได้หน่อยก็มีแค่ซ่างกวานเทียนโย่ว หลู่เทียนเหล่ยและโจวซินฉี”

“ได้ยินว่าชายฝั่งทิศใต้มีอีกคนหนึ่งแย่งเอาอันดับหนึ่งของศึกคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติไปครองได้ ว่ากันว่าคนผู้นี้คือศิษย์ผู้ทรงเกียรติ ศิษย์น้องของท่านเจ้าสำนัก?”

“ไม่ว่าจะเป็นใครก็ไร้ประโยชน์ ชายฝั่งทิศเหนือของเราถูกกำหนดมาแล้วว่าแข็งแกร่งที่สุด!”

ขณะที่ลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นั้นเอง ฝั่งทิศใต้ของเวที เวลานี้ลูกศิษย์ฝ่ายนอกแทบจะมากันครบหมดแล้ว เห็นได้ชัดว่าแต่ละคนพอมาเทียบกับลูกศิษย์ฝ่ายเหนือแบบนี้แล้วดูต่างชั้นกันมากนัก

“เจ้าพวกป่าเถื่อนเอาแต่เลี้ยงสัตว์ร้าย คราวนี้ชายฝั่งทิศใต้ของพวกเราต้องล้างความอัปยศให้ได้!”

“แพ้ให้พวกเขา มันช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก!”

เบื้องหน้าลูกศิษย์ฝ่ายนอกของชายฝั่งทิศใต้เหล่านี้มีคนยืนอยู่เก้าคน ซ่างกวานเทียนโย่ว โจวซินฉี หลู่เทียนเหล่ยยืนโดดเด่นอยู่ในนั้น ยังมีอีกหกคน แต่ละคนสีหน้าเคร่งขรึมคล้ายแฝงไว้ด้วยความเยือกเย็น พวกเขาแต่ละคนกำลังใช้สายตาประหัตประหารกับศิษย์แห่งความภาคภูมิใจชายฝั่งทิศเหนือ

ขณะที่กำลังจ้องกันเอาเป็นเอาตายคล้ายสลัดไม่หลุดนั้นเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็มาถึง

แทบจะวินาทีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึง ไม่เพียงแต่พวกซ่างกวานเทียนโย่วเท่านั้นที่หันไปมอง ลูกศิษย์ฝ่ายนอกของชายฝั่งทิศใต้ทุกคนก็หันไปมองเขาอย่างพร้อมเพรียงเช่นกัน นัยน์ตามีอารมณ์แตกต่างหลากหลาย เสียงวิพากษ์วิจารณ์ระหว่างกันเบาลงไปเยอะมาก

ซ่างกวานเทียนโย่วมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาซับซ้อน ในใจเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม นัยน์ตาทอประกายเย็นชา

หลู่เทียนเหล่ยเองก็ไม่ยอมเช่นกัน จ้องป๋ายเสี่ยวฉุนเขม็ง สายฟ้าตลอดร่างลั่นเปรี๊ยะๆ

โจวซินฉีเงียบงัน ตอนที่มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน ดวงตาของนางเผยแววประหลาดใจคล้ายกับกำลังประเมินอย่างละเอียด อยากจะรู้ว่าสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในร่างกายเล็กๆ ขาวๆ นี้คือพลังแบบไหนกันแน่

แม้แต่ฝ่ายชายฝั่งทิศเหนือทุกคนก็ยังอดมองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ สำหรับพวกเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนคือคนแปลกหน้า หลังจากที่แต่ละคนตะลึงงันไปกับการแต่งตัวของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วก็พากันเผยแววเหยียดหยามออกมา

โดยเฉพาะศิษย์แห่งความภาคภูมิใจเหล่านั้นที่ยิ่งเผยความดูถูกออกมาทางดวงตา

พบว่าตัวเองถูกคนมากมายจ้องมองเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย ไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง เชิดหน้าอกตั้ง ถือทวนยาวเดินตัวตรงแน่วไปด้านหน้าฝูงชน หยุดยืนอยู่ข้างกายโจวซินฉี

หลังจากสัมผัสได้ว่ากลุ่มคนของทั้งสองฝ่ายสู้รบกันทางสายตา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ฮึกเหิมขึ้นมาทันควัน

‘สู้กันด้วยสายตา เรื่องนี้ข้าถนัดที่สุด!’ ป๋ายเสี่ยวฉุนอารมณ์เหิมหาญ ทำหน้าโหดเอาจริงเอาจังส่งไปให้พวกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือที่อยู่อีกฝั่งของเวที

เวลานี้มีลมพัดโชยมาพาให้เส้นผมของป๋ายเสี่ยวฉุนปลิวสะบัด บวกกับทวนยาวในมือ ทำให้ความน่าเกรงขามของเขาปะทุขึ้นมาอีกไม่น้อย

เวลาผันผ่าน ฝูงชนของทั้งสองฝ่ายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่นานก็กลายเป็นคลื่นมหาชนโอบล้อมเวทีประลองที่อยู่ตรงกลาง

ส่วนศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของชายฝั่งทิศเหนือก็ค่อยๆ ทยอยมาจนครบ คนสุดท้ายที่ปรากฏตัวคือชายหนุ่มผู้หนึ่ง ชายหนุ่มผู้นี้สวมชุดคลุมสีดำ หน้าตาธรรมดา เพียงแต่ว่าใบหน้าซีดขาวราวกับไม่มีเลือดหล่อเลี้ยง เขาเดินมาเพียงลำพัง พอมายืนอยู่ด้านหน้าก็หลับตาลง คล้ายว่าไม่สนใจรับรู้เรื่องใดทั้งสิ้น และขณะเดียวกันกับที่เขาปิดตาลง รอบกายของเขาก็ปรากฏเป็นคลื่นบิดเบี้ยวเหมือนมีผีร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนซ่อนตัวอยู่ กำลังจะพุ่งจากนรกภูมิมายังโลกมนุษย์ด้วยความดุร้าย

เวลานี้เอง รุ้งเส้นยาวแต่ละเส้นก็คำรามมาจากทิศเหนือใต้ ตรงดิ่งมายังสถานที่แห่งนี้ ซึ่งนั่นก็คือผู้นำของทั้งเจ็ดเขา รวมไปถึงผู้อาวุโสที่ล้วนพากันมาปรากฏกายอยู่บนเวที

ผู้เฒ่าโจวเองก็เป็นหนึ่งในนั้น นกฟ่งเหนี่ยวที่ใส่ร้ายป๋ายเสี่ยวฉุนตัวนั้นกำลังบินวนอยู่รอบๆ พอมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนดวงตาก็เผยแววหยิ่งผยอง

ร่างของเจ้าสำนักเจิ้งหย่วนตงก็ปรากฏอยู่บนเวทีเช่นกัน หลังจากที่ทุกคนมากันครบแล้ว เขากวาดสายตามองไปยังลูกศิษย์ของทั้งสองชายฝั่ง พลันเอ่ยปาก

“ศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจฝ่ายนอกสองชายฝั่งเหนือใต้ เนื่องจากครั้งที่แล้วชายฝั่งทิศเหนือชนะ ผู้ที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจในครั้งนี้มีสิบสองคน ทั้งหมดล้วนได้ลงแข่ง”

“ชายฝั่งทิศใต้คราวก่อนแพ้ไป ผู้ที่เข้าร่วมรบได้ในครั้งนี้จึงมีเพียงสิบคนตามจำนวนพื้นฐาน”

“ทั้งหมดยี่สิบสองคน ใช้การจับฉลากเลือกคู่ต่อสู้ คัดเลือกจนเหลือลูกศิษย์ฝ่ายนอกผู้เข้ารอบสิบคน คัดเลือก…ลูกศิษย์ฝ่ายนอกที่แข็งแกร่งที่สุด!”

“สหายร่วมสำนักแลกเปลี่ยนวิชากัน ห้ามเจตนาสังหารผู้ใด ทุกรอบจะมีเวลาสามก้านธูปสำหรับฟื้นฟูร่างกาย และหากฝั่งหนึ่งยอมแพ้ อีกฝ่ายห้ามลงมือต่อ การประลองในครั้งนี้มีท่านโอวหยางเจี๋ย ผู้อาวุโสแห่งศาลาพิพากษ์เป็นผู้ควบคุม”

“พวกเจ้าต้องแสดงออกให้ดี ผู้อาวุโสไท่ซ่างทั้งสี่ของสำนักธาราเทพเราก็ใช้พลังจิตจับตามองการประลองครั้งนี้เช่นกัน… ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ ศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจฝ่ายนอกเหนือใต้…เริ่มได้!”

———

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version