บทที่ 88 ชายฝั่งทิศเหนือผู้แข็งแกร่ง
แทบจะทันทีที่คำพูดของเจิ้งหย่วนตงดังออกมา ลูกศิษย์สองฝั่งที่อยู่ทางเหนือและใต้ของเวทีล้วนแตกตื่น เงยหน้าขึ้นไปมองแท่นยกด้านบนอย่างไม่รู้ตัว
ชั่วขณะที่พวกเขาหันไปมองก็พลันสัมผัสได้ถึงพลังจิตอันน่าตื่นตะลึงสี่สายกวาดผ่านทุกคนไป โดยปรากฎออกมาจากเขตต้องห้ามบนยอดเขาจ้งเต้าซึ่งหิมะปกคลุมขาวโพลน
ถูกพลังจิตสี่สายนี้กวาดผ่าน ลูกศิษย์ฝ่ายนอกทุกคนซึ่งรวมป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยล้วนร่างกายสั่นสะท้าน ความรู้สึกเช่นนั้นคือความกดดันอย่างถึงที่สุด ดั่งว่าแววตาเดียวก็สามารถทำให้ทุกคนกายใจแหลกสลายเป็นผุยผงได้
ไม่เพียงแต่ป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้นที่รู้สึกเช่นนี้ แม้แต่ซ่างกวานเทียนโย่ว และศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของชายฝั่งทิศเหนือเหล่านั้นก็ยังร่างสั่นเยือกกันไปครู่หนึ่ง แต่ไม่นานนัยน์ตาของคนเหล่านี้ก็เผยความฮึกเหิมและห้าวหาญออกมา
ผู้อาวุโสไท่ซ่างจับตามองการประลองครั้งนี้ เรื่องแบบนี้ทำให้เหล่าลูกศิษย์ที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมรบหายใจถี่กระชั้นกันขึ้นมาทันควัน ดวงตาฉายประกายแสงดุเดือด
‘หากสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้อาวุโสไท่ซ่าง และถูกรับเข้าเป็นศิษย์…’
‘ศึกนี้ต้องทุ่มพลังสุดความสามารถ!’ ชั่วขณะนี้ไอดุร้ายพลันระเบิดออกมาจากตัวของลูกศิษย์ฝ่ายนอกชายฝั่งเหนือใต้ที่เข้าร่วมรบครั้งนี้
มีเพียงป๋ายเสี่ยวฉุนผู้เดียวที่กะพริบตาปริบๆ
‘ผู้อาวุโสไท่ซ่างที่อยู่ระดับเดียวกับอาจารย์ของข้า? งั้นก็ต้องเป็นอาจารย์อาของข้าน่ะสิ…’ ป๋ายเสี่ยวฉุนภาคภูมิใจขึ้นมาโดยพลัน รู้สึกว่าฐานะของตัวเองช่างสูงส่งนัก เขาคิดว่ารอให้ศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจครั้งนี้สิ้นสุดลงแล้วตนจะไปเยี่ยมเยียนอาจารย์อาทั้งสี่ท่านนี้สักหน่อย
และในเวลานี้เจ้าสำนักเจิ้งหย่วนตงที่อยู่บนเวทีก็สะบัดแขนเสื้อหนึ่งครั้ง แสงกลมลูกหนึ่งปรากฏออกมากลางอากาศ บินพรวดมายังเวทีประลอง เปล่งประกายพริบพราวอยู่บนเวที ก่อนจะแบ่งร่างออกเป็นยี่สิบสองส่วน บินแยกกันไปทางกลุ่มคนทิศเหนือใต้ หลังจากพวกป๋ายเสี่ยวฉุนรับกันไว้คนละลูกแล้ว พลันต่างฝ่ายต่างก้มหน้าลงมอง
“สิบเอ็ด?” ป๋ายเสี่ยวฉุนเหล่มองหนึ่งที คิดจะแอบมองของคนอื่น แต่กลับพบว่าพวกซ่างกวานเทียนโย่วล้วนซ่อนไว้อย่างมิดชิด ไม่ให้คนอื่นเห็น
“การประลองครั้งแรก ผู้ที่ได้ลูกกลมหนึ่งสอง ขึ้นมาบนเวที!” บนแท่นยกกว้างมีเสียงเย็นเยียบเสียงหนึ่งดังลอยมา ไม่ใช่เสียงของเจิ้งหย่วนตง แต่เป็นเสียงของโอวหยางเจี๋ยแห่งศาลาพิพากษ์
พริบตาที่เสียงของเขาดังสะท้อนนั้นเอง ฝ่ายชายฝั่งทิศเหนือมีคนผู้หนึ่งบินออกมา คนผู้นี้รูปร่างสูงผอม สีหน้าเย็นชาอวดดี เพิ่งจะลงสนามก็ได้รับเสียงไชโยโห่ร้องส่งมาจากชายฝั่งทิศเหนือไม่น้อย แม้ว่าจะไม่ใช่ห้าศิษย์แห่งความภาคภูมิใจผู้ยิ่งใหญ่ของชายฝั่งทิศเหนือ แต่ฟังจากเสียงโห่ร้องของลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือก็รู้ว่าคนผู้นี้ย่อมเป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจเช่นกัน
“ชายฝั่งทิศเหนือ หลิวอวิ๋น!” ชายหนุ่มผอมสูงผู้นี้ขึ้นมาบนเวที ขณะที่เอ่ยปากอย่างหยิ่งผยอง ทางฝ่ายชายฝั่งทิศใต้ ซ่างกวานเทียนโย่วสะบัดร่าง พริบตาเดียวก็มายืนอยู่บนเวทีประลอง
“ชายฝั่งทิศใต้ ซ่างกวานเทียนโย่ว!” เขายืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเย็นชา ร่างตั้งตรงประดุจกระบี่แหลมคมเล่มหนึ่ง เพิ่งจะเปล่งคำพูดออกไปก็คล้ายว่าอุณหภูมิรอบด้านลดลงมาทันที
พริบตาที่ซ่างกวานเทียนโย่วลงสนามประลองนั้นเอง ลูกศิษย์ฝ่ายนอกทุกคนของชายฝั่งทิศใต้พลันระเบิดเสียงไชโยโห่ร้องอันน่าตกตะลึงออกมา ช่วยสร้างความน่าเกรงขามให้กับซ่างกวานเทียนโย่ว
ชายหนุ่มผอมสูงหน้าเปลี่ยนสี เขาคิดไม่ถึงว่าตนเองเพิ่งจะลงสนามก็ได้เจอกับศิษย์แห่งความภาคภูมิใจผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือของชายฝั่งทิศใต้เสียแล้ว เวลานี้สีหน้าจึงบิดเบี้ยว หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งเขาก็โบกมือ ทันใดนั้นความว่างเปล่ารอบด้านพลันบิดเบี้ยว งูเหลือมขนาดมโหฬารตัวหนึ่งปรากฏร่างออกมาพร้อมกับกลิ่นคาว ขดตัวล้อมเป็นค่ายงู สูงพอหนึ่งจั้งกว่า
แต่หลังจากที่ชายหนุ่มผอมสูงเรียกให้สัตว์ร้ายของเขาออกมานั้นเอง ยังไม่ทันได้ทำอะไรต่อ ซ่างกวานเทียนโย่วที่สีหน้าไร้อารมณ์เดินออกไปหนึ่งก้าว พริบตาเดียวร่างก็หายวับไป มาโผล่พรวดอีกครั้งตรงด้านหลังชายหนุ่มผอมสูง มือขวาโบกหนึ่งที กระบี่บินเล่มหนึ่งปรากฏอยู่บนลำคอของชายหนุ่มผอมสูง
“เจ้าแพ้แล้ว”
ชายหนุ่มผอมสูงเย็นวาบไปทั้งร่าง สีหน้าตะลึงพรึงเพริด เขาหันไปมองซ่างกวานเทียนโย่วด้วยความยากลำบาก นัยน์ตาแฝงไว้ด้วยความไม่อยากเชื่อ เขารู้ว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย แต่กลับไม่คิดเลยว่าจะพ่ายแพ้รวดเร็วขนาดนี้ เนิ่นนานเขาถึงได้ก้มหน้าอย่างขมขื่น เก็บงูเหลือมยักษ์กลับมาและเดินลงเวทีไป
“สนามแรกก็ชนะแล้ว ฮ่าๆ คราวนี้ชายฝั่งทิศใต้ของพวกเราต้องชนะแน่นอน!”
“ศิษย์พี่ซ่างกวานคือบุคคลที่สามารถช่วงชิงอันดับหนึ่งมาได้!”
ชายฝั่งทิศใต้พลันโห่ร้องดีใจกันขึ้นมา ขณะที่คนนับไม่ถ้วนฮึกเหิมอยู่นั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง เขามองวิชากายของซ่างกวานเทียนโย่วได้ไม่ชัด รู้สึกแค่ว่าการกระทำเมื่อครู่ของซ่างกวานเทียนโย่วช่างร้ายกาจไม่ธรรมดาซะจริง
ถึงขั้นที่ว่ายังมีพลังจิตของผู้อาวุโสไท่ซ่างสองคนให้ความสนใจซ่างกวานเทียนโย่วเป็นพิเศษ
เวลาเดียวกันนั้นฝูงชนของชายฝั่งทิศเหนือก็พากันฮือฮา
“หายตัว? เป็นไปไม่ได้!! ตบะเขาเพิ่งจะเท่าไหร่เอง ไม่มีทางหายตัวได้แน่!”
“นี่คือวิชาความว่างเปล่า คนผู้นี้…คนผู้นี้ไม่เสียแรงที่เป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจอันดับหนึ่งของชายฝั่งทิศใต้ ไม่คิดว่าจะใช้วิชาอภินิหารอย่างความว่างเปล่านี้ได้!”
ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่ลงสนามประลองของชายฝั่งทิศเหนือเวลานี้เองก็พากันหน้าเปลี่ยนสี ดวงตาเป่ยหันเลี่ยเปล่งประกายวาบ สีหน้าเคร่งขรึม พี่น้องกงซุนก็เป็นเช่นเดียวกัน สวีซงเองก็ใจร่วงหล่นไปด้วย
มีเพียงชายหนุ่มนามว่ากุ่ยหยาที่สวมชุดคลุมดำผู้นั้นคนเดียวที่ยังคงหลับตา ไม่ได้ลืมตามาสนใจ
“สนามที่สอง!” ขณะที่เสียงฮือฮาและโห่ร้องของกลุ่มคนยิ่งดังดุเดือดนั้นเอง เสียงเย็นยะเยียบของโอวหยางเจี๋ยดังออกมาจากแท่นยก หยุดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของฝูงชนลง
ในกลุ่มศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของชายฝั่งทิศเหนือ ชายหนุ่มรูปร่างเจ้าเนื้อ ตัวไม่สูงมากผู้หนึ่ง ได้ยินคำพูดนั้นก็ขยับร่างเดินขึ้นมาบนเวทีด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม เหมือนคนที่ไม่มีพิษมีภัยอะไร
“ชายฝั่งทิศเหนือ สวีซง” เขาอมยิ้มหันไปเอ่ยปากอย่างสุภาพกับลูกศิษย์คนหนึ่งของชายฝั่งทิศใต้ที่เดินออกมา
คนที่เดินออกมาของชายฝั่งทิศใต้ไม่ใช่พวกหลู่เทียนเหล่ย แต่เป็นชายหนุ่มที่ก่อนหน้านี้ปกปิดตบะของตัวเองเอาไว้ แล้วมาระเบิดในศึกคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติ ชายผู้นี้หน้ายาว เวลานี้สีหน้าบิดเบี้ยว มองออกว่าอีกฝ่ายคือหนึ่งในห้าศิษย์แห่งความภาคภูมิใจผู้ยิ่งใหญ่
“ชายฝั่งทิศใต้ โจวเฟิง!” ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก ตบะตลอดร่างหมุนวน หลังจากเอ่ยปากเสียงหนัก ขณะที่ทำมุทรากระบี่บินเล่มหนึ่งปรากฏออกมา แต่ยังไม่ทันได้ชี้ไปทางสวีซง นัยน์ตาสวีซงปรากฏประกายเยาะเย้ย มือขวายกขึ้นชี้ลงไปบนพื้นดิน
เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง กลางอากาศบนศีรษะของโจวเฟิงปรากฏรอยปริแตกออกมาหนึ่งเส้น เสียงเปรี๊ยะลั่นหนึ่งครั้ง สัตว์ร่างยักษ์ราวกับวาฬหนึ่งตัวปรากฏออกมา อ้าปากเขมือบทั้งร่างของโจวเฟิงเข้าไปในคำเดียวด้วยความรวดเร็วดุจสายฟ้าฟาด
กระบี่บินเล่มนั้นถูกตัดพลังวิญญาณจึงร่วงลงพื้นดังเคร้ง
“ประมือกับลูกศิษย์เขาฉงติ่งอย่างข้ากลับไม่สังเกตกลางอากาศ ทั้งน่าดีใจและน่าผิดหวังเสียจริง” สวีซงหัวเราะ หมุนตัวเดินลงจากเวทีไป มือขวายกขึ้นโบกไปทางด้านหลังหนึ่งครั้ง สัตว์ยักษ์ตัวนั้นก็อ้าปากขย้อนเอาร่างของโจวเฟิงที่สลบไสลออกมากองต่อหน้ากลุ่มคนของชายฝั่งทิศใต้
แต่ละคนของชายฝั่งทิศใต้สีหน้าดูไม่ได้ และยิ่งมีคนไม่น้อยสำลักลมหายใจ แม้แต่พวกหลู่เทียนเหล่ยเองก็ยังใจสะท้าน
เมื่อเทียบกันแล้ว เสียงไชโยโห่ร้องของชายฝั่งทิศเหนือเวลานี้ดังขึ้นราวกับต้องการให้สะเทือนไปทั้งฟากฟ้า
ป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่น เขารู้สึกว่าคนจากชายฝั่งทิศเหนือพวกนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว ควบคุมสัตว์ร้ายได้ถึงระดับที่น่าหวาดผวาเพียงนี้
ไม่นานการต่อสู้สนามที่สามก็เริ่มต้นขึ้น ผู้ลงแข่งของคือห้าศิษย์แห่งความภาคภูมิใจผู้ยิ่งใหญ่ของชายฝั่งทิศเหนือเช่นเดิม กงซุนหว่านเอ๋อร์ เมื่อนางเห็นว่าคนจากชายฝั่งทิศใต้ไม่ใช่โจวซินฉี แต่เป็นอีกคนหนึ่ง สีหน้าก็ดูผิดหวังเล็กน้อย หมดซึ่งความสนใจ เมื่อโบกมือนกฟ่งเหนี่ยวเจ็ดสีที่อยู่ข้างกายนางตัวนั้นก็พ่นหมอกเจ็ดสีออกมา
ลูกศิษย์ของชายฝั่งทิศใต้ถูกหมอกเจ็ดสีพุ่งปะทะเข้าหน้าไปก็เหมือนกลายเป็นคนบ้า คำรามเสียงโกรธแค้นอยู่บนเวทีเพียงลำพัง ทำท่าเหมือนกำลังเข่นฆ่าศัตรูที่คนภายนอกมองไม่เห็น ไม่นานก็หมดแรงสิ้นสติไป
ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบการประลอง กงซุนหว่านเอ๋อร์แค่โบกมือทีเดียวเท่านั้นก็คว้าเอาชัยชนะไปอย่างง่ายดาย ตอนที่นางลอยละลิ่วลงมาจากเวที ฝูงชนของชายฝั่งทิศใต้เงียบงันกันไปอีกครั้ง เมื่อมองไปยังชายฝั่งทิศเหนือก็ล้วนมีความเกรงกลัวซ่อนอยู่ลึกล้ำ ในใจก็ยิ่งรู้สึกหมดเรี่ยวแรง
“ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจมีเพียงศิษย์แห่งความภาคภูมิใจด้วยกันเท่านั้นถึงจะประมือด้วยได้!” ลูกศิษย์ฝ่ายนอกของชายฝั่งทิศใต้มองไปยังพวกซ่างกวานเทียนโย่วด้วยความคาดหวัง และก็มีคนไม่น้อยที่มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบยืดอกทันที ทั้งที่จริงๆ แล้วในใจก็สะดุ้งผวาเพราะกงซุนหว่านเอ๋อร์อยู่ไม่น้อย
‘แม่นางน้อยผู้นี้ดูเหมือนร้ายกาจยิ่งกว่าโจวซินฉีเสียอีก’ ป๋ายเสี่ยวฉุนกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก
ไม่นานการต่อสู้สนามที่สี่ก็เริ่มขึ้น ขณะที่สายฟ้าตลอดร่างของหลู่เทียนเหล่ยเปล่งประกายแสง พุ่งร่างขึ้นไปบนเวทีนั้นเอง ชายหนุ่มชุดคลุมสีดำของชายฝั่งทิศเหนือที่หลับตาอยู่ตลอดเวลาค่อยๆ ลืมตาขึ้น สีหน้าเรียบเฉย เดินขึ้นไปบนเวทีประลองทีละก้าว
ที่น่าแปลกก็คือพอเขาปรากฏตัว ชายฝั่งทิศเหนือกลับไม่มีใครส่งเสียงไชโยขึ้นมาสักแอะ แต่กลายเป็นว่าทุกคนหน้าเปลี่ยนสี แม้แต่พวกเป่ยหันเลี่ยที่เป็นห้าศิษย์แห่งความภาคภูมิใจผู้ยิ่งใหญ่ด้วยกันเองก็ยังสูดลมหายใจเข้าลึก
ภาพนี้ทำให้กลุ่มคนจากชายฝั่งทิศใต้แปลกใจ สายตาของหลู่เทียนเหล่ยจ้องเขม็งไปยังชายหนุ่มชุดดำผู้นั้น สีหน้าเอาจริงเอาจัง
“ชายฝั่งทิศเหนือ กุ่ยหยา” ชายหนุ่มชุดดำยืนอยู่บนเวที เอ่ยปากราบเรียบ สีหน้าไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลง แม้แต่น้ำเสียงก็แทบจะฟังไม่ออกถึงอารมณ์ใดๆ
“ชายฝั่งทิศใต้ หลู่เทียนเหล่ย!” หลู่เทียนเหล่ยสูดลมหายใจเข้าลึก เขารู้ว่าอีกฝ่ายคือศิษย์แห่งความภาคภูมิใจอันดับหนึ่งของชายฝั่งทิศเหนือ เวลานี้นัยน์ตาจึงค่อยๆ เผยแววปรารถนาในการสู้รบรุนแรง
‘เอาชนะคนผู้นี้โดยไม่เสียดายค่าตอบแทน ต่อให้พลังข้าเผาผลาญไปเยอะจนไม่อาจสู้ต่อได้ ก็ยังถือว่าได้ที่หนึ่งเหมือนกัน!’ ความปรารถนาต่อการสู้รบในดวงตาของหลู่เทียนเหล่ยดุเดือด คำรามเสียงต่ำหนึ่งทีสายฟ้าตลอดร่างก็ส่งเสียงดังครั่นครืน สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนฟาดลงพื้นดังตูมตาม รัศมีสิบจั้งรอบด้านกลายเป็นบ่อสายฟ้าโดยมีเขาเป็นจุดศูนย์กลาง
แต่เวลานี้เอง กุ่ยหยายกมือขวาขึ้นด้วยสีหน้านิ่งเฉย ชี้ขึ้นไปบนฟ้าหนึ่งที การชี้ครั้งนี้ทำให้ก้อนเมฆบนท้องฟ้าพลันพลิกตลบ ปรากฏเมฆดำทะมึนจำนวนมาก พริบตาเดียวก็มารวมตัวอยู่ด้วยกัน ทำให้คนมากมายเงยหน้าขึ้นไปมอง แต่ละคนของชายฝั่งทิศเหนือหน้าถอดสี ทั้งยังเผยความตะลึงระคนหวาดผวาออกมาอีกไม่น้อย
หลู่เทียนเหล่ยคำรามเสียงต่ำหนึ่งครั้ง เรือนกายพร้อมด้วยสายฟ้ารอบด้านพุ่งพรวดเข้าหากุ่ยหยา
กุ่ยหยายังคงสีหน้าไร้อารมณ์เช่นเดิม แถมยังหลับตายืนเฉยอยู่ตรงนั้นด้วย
“รนหาที่ตาย!” หลู่เทียนเหล่ยรู้สึกถูกหมิ่นเกียรติอย่างรุนแรง เขาเป็นถึงศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ มีความภาคภูมิใจในตัวเองอย่างสูงสุด เวลานี้จึงคำรามอย่างโกรธแค้น สายฟ้ารอบกายขยายเป็นวงใหญ่ขึ้นมาอีกวง พลังอำนาจยิ่งเข้มข้น
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้เข้าใกล้กุ่ยหยา ตลอดทั้งแผ่นฟ้าพลันส่งเสียงตูมขึ้นมาหนึ่งครั้ง เมฆทะมึนคล้ายถูกฉีกกระชากออก กรงเล็บปีศาจสีดำมโหฬารเกินจะเปรียบข้างหนึ่งพลันยื่นออกมาจากกลุ่มเมฆราวเสาค้ำแผ่นฟ้า ตรงดิ่งลงมายังพื้นดินอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็เข้ามาใกล้ กดทับลงไปบนร่างของหลู่เทียนเหล่ยเสียงดังลั่น
ยังไม่ทันได้โดนตัวเขา ร่างทั้งร่างของหลู่เทียนเหล่ยก็สั่นสะท้านและกระอักเลือดออกมา สายฟ้ารอบกายเปล่งเสียงกัมปนาทพยายามดิ้นรน ทว่ากลับพังทลายลงอย่างรวดเร็ว พริบตานั้นแม้แต่พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของเขาก็ยังส่งเสียงลั่นเปรี๊ยะๆ ปรากฏรอยปริแตกเป็นวง
เลือดสดๆ ตลอดร่างของเขาทะลักออกมาอย่างต่อเนื่อง เขาเปล่งเสียงคำรามแหบแห้ง เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด พยายามขัดขืนดิ้นรน แต่ความสิ้นหวังสายหนึ่งก็ทำให้โลกของหลู่เทียนเหล่ยกลายเป็นสีดำสนิทในพริบตา
“ไม่!!”
ชั่วขณะที่กรงเล็บปีศาจปรากฏออกมานั้นเอง ชายฝั่งทิศเหนือก็ดี ชายฝั่งทิศใต้ก็ช่าง ลูกศิษย์ทุกคนล้วนควบคุมสีหน้าหวาดกลัวที่ปรากฎขึ้นไม่อยู่ ถึงขั้นที่ว่าพลังวิญญาณในร่างประหนึ่งถูกกดทับด้วยความน่าสะพรึงกลัวนี้ เกิดเป็นความรู้สึกหลอนเหมือนถูกกระชากวิญญาณออกมา
บนแท่นยก พวกเจ้าสำนักหน้าเปลี่ยนสีกันไปหมด
“ขบวนภูตรัตติกาล หลายพันปีไร้คนฝึกได้สำเร็จ เด็กผู้นี้กลับฝึกได้ถึงระดับนี้!”
“แย่แล้ว!” สวีเหม่ยเซียงจากเขาจื่อติ่งหน้าเปลี่ยนสี ลอยพรวดออกไปยังเวทีประลอง แค่เวลาชั่วพริบตาก็มาถึง ยกมือขวาขึ้นโบกไปทางกรงเล็บปีศาจนั้น เสียงกัมปนาทดังสะเทือนเลื่อนลั่น แม้ว่ากรงเล็บปีศาจจะถูกตวัดออก แต่กลับไม่ได้สลายไป
หลู่เทียนเหล่ยกระอักเลือดออกมาเป็นจำนวนมาก สลบไสลสิ้นสติไปทันที หากสวีเหม่ยเซียงมาช้ากว่านี้อีกสักนิด เวลานี้เขาคงกลายเป็นก้อนเนื้อเละๆ ร่างกายและจิตวิญญาณแตกสลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว
ใจสวีเหม่ยเซียงหนักอึ้ง มองกุ่ยหยาด้วยดวงตาเย็นชา
“อายุแค่นี้ แม้ว่าจะมีพรสวรรค์ แต่กลับเหี้ยมโหดยิ่งนัก คิดจะสังหารเพื่อนร่วมสำนักต่อหน้าพวกข้า เจ้าอยากตายใช่ไหม!”
กุ่ยหยาเงียบงัน เผยสีหน้าแปลกใจ เขาเหมือนไม่รู้ว่าเวลานี้ตนเองควรจะแสดงอารมณ์เช่นไรออกมาทางสีหน้า
“ข้าไม่คิดว่าเขาจะอ่อนแอถึงเพียงนี้” กุ่ยหยาเงยหน้ามองสวีเหม่ยเซียง ความนิ่งสงบนั้นทำให้คนมองสัมผัสได้ถึงความจริงใจ พูดจบเขาก็หมุนกายเดินลงไปจากเวที
สวีเหม่ยเซียงขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้นมองแท่นยกคล้ายพะว้าพะวงกับอะไรบางอย่าง ทำเสียงหึหนึ่งทีก็อุ้มหลู่เทียนเหล่ยจากไป หลู่เทียนเหล่ยไม่สามารถร่วมรบต่อได้แล้ว อีกทั้งเขาบาดเจ็บหนักขนาดนี้ เกรงว่าคงจะฟื้นตัวกลับมาในเวลาสั้นๆ ได้ยาก
ชายฝั่งทิศเหนือเงียบงัน ชายฝั่งทิศใต้ก็เงียบงันเช่นกัน
มีเพียงเงาร่างของกุ่ยหยาผู้เดียวที่แฝงไว้ด้วยความโดดเดี่ยวไร้ที่สิ้นสุด เดินกลับเข้าไปอยู่ตำแหน่งเดิมเงียบๆ แล้วหลับตาต่อไป
เนิ่นนาน ชายฝั่งทิศเหนือคืนสติได้ก่อน พวกเขาแต่ละคนไชโยโห่ร้องขึ้นมา
“ชายฝั่งทิศใต้ไม่เหลือคนแล้ว ขนาดศิษย์แห่งความภาคภูมิใจยังสู้ไม่ได้ คราวนี้พวกเจ้าแพ้แน่!”
“แพ้ติดกันมาสามรอบแล้ว รอบแรกก็แค่โชคดีเลยชนะไปได้ รอบต่อไปพวกเจ้าก็ยังต้องแพ้ต่อไป”
เผชิญหน้ากับคำเสียดสีของชายฝั่งทิศเหนือ ใบหน้าของคนชายฝั่งทิศใต้แต่ละคนล้วนเผยความขมขื่น ชายฝั่งทิศเหนือ…แข็งแกร่งเกินไปแล้ว
มีเพียงสนามแรกเท่านั้นที่ชายฝั่งทิศใต้ชนะ หลังจากนั้นก็แพ้ติดต่อกันถึงสามสนาม ภาพที่หลู่เทียนเหล่ยศิษย์แห่งความภาคภูมิใจเกือบตายในการประลอง ก็ยิ่งทำให้ความคิดที่ต้องการล้างอายของชายฝั่งทิศใต้ก่อนหน้านี้สูญสิ้นไปหมด
ซ่างกวานเทียนโย่วจ้องเขม็งไปที่กุ่ยหยา ใจของเขาสะท้านดังโครมครามอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ชั่วขณะเมื่อครู่นี้ เขาพบว่าตัวเองถึงกับตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
ไม่เพียงแต่เขาที่เป็นเช่นนี้ ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของชายฝั่งทิศใต้ทั้งหมด ซึ่งรวมโจวซินฉีอยู่ด้วย เวลานี้ล้วนสะท้านสะเทือน ชายฝั่งทิศเหนือ…ครั้งนี้เกรงว่าต่อให้มีแค่กุ่ยหยาผู้เดียว ก็เหมือนเพียงพอที่จะกวาดล้างเพื่อนร่วมสำนักจากชายฝั่งทิศใต้ได้แล้ว
“นี่ไม่ใช่รวมลมปราณแล้ว…ขนาดการโจมตีจากท่านผู้นำก็ยังไม่สามารถทำลายมือปีศาจของเขาลงได้ นี่ก็คือ…วิชาหนึ่งในสองที่ถูกกล่าวขานว่าฝึกได้ยากที่สุดในสิบมหาเวทลึกลับของสำนักธาราเทพ…ขบวนภูตรัตติกาล?”
“วิชาที่สามารถเทียบเคียงกับภูตรัตติกาลได้มีแค่…เขตแดนธารา!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าเคร่งขรึม การประลองครั้งนี้ทำให้จิตใจเขาสั่นสะเทือนรุนแรง ความแข็งแกร่งของกุ่ยหยาทำให้เขาอกสั่นขวัญหายไปหมด
ไม่นานการประลองคู่ที่ห้าก็เริ่มต้นขึ้น คนของชายฝั่งทิศเหนือที่เดินออกมา ทำให้กลุ่มคนของชายฝั่งทิศใต้ขมขื่นเช่นเดิม อีกฝ่ายก็คือหนึ่งในห้าศิษย์แห่งความภาคภูมิใจผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้คนไม่น้อยรู้สึกตื่นตะลึง…กงซุนอวิ๋น
เขาสวมชุดคลุมสีดำ เผยให้เห็นแค่ดวงตาสีน้ำตาลซึ่งในเวลานี้มีแมลงพิษมุดลอดไปมาอย่างเห็นได้ชัด ผ่านไปครู่ใหญ่ ลูกศิษย์คนหนึ่งของชายฝั่งทิศใต้ถึงได้ฝืนเกร็งหน้าเดินขึ้นมาบนเวที เพิ่งจะขึ้นไปถึง ยังไม่ทันที่แต่ละฝ่ายจะแนะนำตัว ดวงตากงซุนอวิ๋นเผยความเย็นชา สะบัดแขนเสื้อหนึ่งครั้ง พริบตานั้นก็มีเสียงหึ่งๆ ดังออกมาจากในแขนเสื้อของเขา แมลงสีดำยั้วเยี้ยบินออกมา พุ่งดิ่งเข้าหาลูกศิษย์ชายฝั่งทิศใต้ที่เป็นคู่ต่อสู้โดยตรง
ไม่ว่าลูกศิษย์ผู้นี้จะตอบโต้อย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ไม่นานตลอดทั้งร่างของเขาก็ถูกปกคลุมไปด้วยแมลงสีดำจำนวนนับไม่ถ้วน การคุ้มกันใดๆ ก็ล้วนไร้ผล คล้ายว่าพวกมันจะพากันมุดเข้าไปในตำแหน่งใดก็ตามที่มีรู ทำให้ทุกคนที่มองดูอยู่สยดสยอง ต่อให้เป็นคนของชายฝั่งทิศเหนือเองก็ไม่อาจส่งเสียงไชโยโห่ร้องให้ภาพนี้ได้
“ยอมแพ้!!” ลูกศิษย์ชายฝั่งทิศใต้ที่ลงแข่งรีบเอ่ยเสียงสั่นอย่างร้อนรน เขาสัมผัสได้ว่าแมลงที่อยู่บนร่างตัวเองพวกนี้ ราวกับว่าแค่อีกฝ่ายเอ่ยคำสั่ง พวกมันแต่ละตัวก็จะกลืนกินตนในทันที
ดวงตากงซุนอวิ๋นเผยแววเยาะหยัน ขณะที่หมุนตัวเดินลงจากเวที แมลงสีดำเหล่านั้นก็ไหลทะลักลงสู่พื้นด้วยความรวดเร็วราวกับน้ำลง แล้วจึงไต่ขึ้นไปตามตัวกงซุนอวิ๋น หายเข้าไปในปลายแขนเสื้อของเขา
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นภาพนี้เข้าก็รู้สึกหนังหัวชาหนึบ ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ โจวซินฉี หรือแม้แต่ซ่างกวานเทียนโย่วก็ยิ่งรู้สึกหนักอึ้งในใจ
ยามนี้ลูกศิษย์ชายฝั่งทิศใต้ทุกคนล้วนสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของชายฝั่งทิศเหนือ ศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจครั้งนี้ ชายฝั่งทิศใต้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาเลยสักนิด จึงพากันถอนหายใจเฮือก
“คราวนี้พวกเราแพ้แล้ว…”
“ชายฝั่งทิศเหนือ…แข็งแกร่งเกินไป!”
เวลาเดียวกันนั้นทางฝ่ายของชายฝั่งทิศเหนือได้รับชัยชนะอีกครั้ง ความฮึกเหิมก็ยิ่งซัดโหม
“ก่อนหน้านี้ก็บอกแล้วไงว่าพวกเจ้าชนะได้แค่รอบแรกเท่านั้น รอบที่เหลือต้องแพ้หมด!”
“ชายฝั่งทิศใต้? ก็แค่ตัวตลกเท่านั้น ต้องถูกชายฝั่งทิศเหนือของพวกเรากดหัวให้อยู่เบื้องล่างไปตลอดกาล!”
“เมื่อสามสิบปีก่อนคนจากชายฝั่งทิศใต้ติดหนึ่งในสิบแค่คนเดียว ครั้งนี้…พวกเจ้าจะไม่ได้เข้าไปแม้แต่คนเดียว!” เสียงจากชายฝั่งทิศเหนือดังไปทั่วสี่ทิศ ชายฝั่งทิศใต้อยากจะตอบโต้กลับ แต่กลับพูดไม่ออกสักคน รู้สึกเพียงความอัปยศอย่างถึงที่สุด
“การประลองครั้งที่หก ผู้ที่ถือลูกกลมสิบเอ็ด สิบสอง ขึ้นมาบนเวที!” เสียงของโอวหยางเจี๋ยดังลอยมาหลังจากที่กงซุนอวิ๋นจากไป
ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก รีบเงยหน้าขึ้นทันที เขาก็คือคนที่ถือลูกกลมสิบเอ็ด
———