บทที่ 78 พวกเขาพูดถึงข้าอยู่เหรอ
ทุกคนที่อยู่ในงานประมูลหลังจากได้ยินคำพูดของเฉียนซ่ง แต่ละคนล้วนเผยสีหน้าสนอกสนใจ เบียดกันเข้าไปดู
มีเพียงลูกศิษย์ฝ่ายในที่มีตบะเกินรวมลมปราณขั้นแปดเท่านั้นที่ไม่ให้ความสนใจ บางคนก็พูดคุยกันเอง บางคนก็หลับตาทำสมาธิ
“ยาเม็ดนี้ ทุกคนมาดูกันก่อน จากนั้นข้าผู้แซ่เฉียนค่อยบอกราคาก็แล้วกัน” สีหน้าเฉียนซ่งยิ่งแปลกประหลาด พอกระแอมแห้งๆ ไปหนึ่งครั้ง หญิงสาวอายุน้อยนางหนึ่งก็ถือกล่องไม้เดินออกมาจากในประตูแสงข้างกายของเขาทันที
ความสนใจของทุกคนรอบด้านยิ่งเพิ่มมากขึ้น พากันชะเง้อคอมอง อยากรู้ว่านั่นเป็นยาลมปราณม่วงเพิ่มพลังแบบใดกันแน่ ถึงทำให้เฉียนซ่งมีสีหน้าเช่นนี้ได้
ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยลมหายใจถี่กระชั้น มองไปที่เวทีประมูล ดรุณีน้อยนางนั้นค่อยๆ ยกกล่องขึ้น หยิบเอายาลมปราณม่วงเพิ่มพลังสีม่วงเข้มหนึ่งเม็ดออกมา
มือทั้งคู่ของนางขาวนวลเนียน ทำให้ยาเม็ดนี้ยิ่งดูโดดเด่น ถึงขั้นที่ว่าเมื่อกระทบกับแสงยังสามารถมองเห็นเส้นสีเงินสามเส้นเปล่งประกายได้อย่างชัดเจน รวมไปถึงข้างลายเส้นพลังจิตที่มี…เต่าน้อยตัวหนึ่งสลักเอาไว้
เวลานี้คนจำนวนนับไม่ถ้วนจ้องเป๋งไปที่ยาเม็ดนั้น รอบด้านค่อยๆ เงียบเสียงลง แต่ไม่นานเสียงฮือฮาก็ดังกรูเกรียวขึ้นมาอีก
“หลอมพลังจิตสามครั้ง! สวรรค์ ข้ามองไม่ผิดใช่ไหม!”
“สติฟั่นเฟือนไปแล้วรึ ถึงได้เอายาวิเศษระดับสองเม็ดหนึ่งมาหลอมพลังจิตตั้งสามครั้ง! แถมยังสำเร็จด้วย!!”
“นี่มันบ้าเกินไปหน่อยหรือเปล่า เอายาลมปราณม่วงเพิ่มพลังมาหลอมพลังจิตเนี่ยนะ!!”
ความดังของเสียงแพร่ขยายไปทั่วบริเวณอย่างดุเดือดในชั่วพริบตา ลูกศิษย์ฝ่ายนอกทุกคนล้วนตะลึงพรึงเพริดกันไปหมด วินาทีนั้นเสียงฮือฮาก็ดังไปทั่วงานประมูล
“แม่งเอ้ย ใครมันเป็นคนทำวะ สิ้นคิดอะไรอย่างนี้!”
“หลอมพลังจิตสามครั้ง นี่ต้องว่างขนาดไหนกันถึงได้มีความคิดวิปริตเช่นนี้!!”
โดยเฉพาะลูกศิษย์ฝ่ายในเหล่านั้นที่เดิมทีไม่สนใจงานประมูล ก็ยังมองไปด้วยความประหลาดใจอย่างพร้อมเพรียงกัน พอเห็นลายเส้นสีเงินสามเส้นที่อยู่บนยา แต่ละคนล้วนเบิกตาถลน สูดลมหายใจเฮือก บางคนยังถึงขั้นลุกขึ้นยืน เบิกตากว้างอ้าปากค้าง
ต้องรู้ว่าอัตราความสำเร็จในการหลอมพลังจิตนั้นมีไม่สูง ครั้งแรกก็ยังพอได้ ครั้งที่สองน้อยลงมาหน่อย ส่วนครั้งที่สาม…นั่นก็อยู่ที่ดวงล้วนๆ ต่อให้เป็นปรมาจารย์ก็ยังไม่กล้าพูดว่าจะหลอมสำเร็จทั้งสามครั้ง
ในสำนักธาราเทพ คนส่วนใหญ่เวลาที่หลอมพลังจิตสามครั้ง พออาวุธวิเศษพังทลายก็เจ็บปวดใจอย่างยิ่ง ทำให้รู้สึกทั้งรักทั้งชังการหลอมพลังจิต หากมีคนข้างกายทำสำเร็จ ย่อมนำไปสู่ความริษยาจากคนจำนวนมากมาย
และอาวุธวิเศษชิ้นหนึ่ง หากผ่านการหลอมพลังจิตสามครั้ง พลานุภาพของอาวุธชิ้นนี้ก็จะเพิ่มขึ้นอีกเยอะมาก มากพอที่จะสะท้านสะเทือนใจของคนที่อยู่ข้างกายได้ ถูกคนจำนวนนับไม่ถ้วนปรารถนาติดตามด้วยความชื่นชม แต่ตอนนี้…พวกเขากลับได้เห็นยาเม็ดหนึ่งที่ถูกหลอมพลังจิตมาถึงสามครั้ง!
แถมยังเป็นแค่ยาระดับสองเม็ดหนึ่งด้วย!
ความรู้สึกเช่นนั้นเหมือนดั่งรูปภาพงดงามภาพหนึ่ง หากอยู่บนตัวของผีเสื้อ นั่นเรียกว่าเป็นความงามที่สบายตาสบายใจ แต่หากมาอยู่บนร่างของหมูตัวหนึ่ง…นั่นเรียกว่าสิ้นเปลืองเปล่าประโยชน์!
สีหน้าพวกเขาซับซ้อน ความคิดในใจตีกันให้วุ่นวาย บางคนยังถึงขั้นกำหมัดแน่น เส้นเอ็นบนใบหน้าปูดโปนขึ้นมา โดยเฉพาะลูกศิษย์ฝ่ายในของเขาจื่อติ่งพวกนั้น สิ่งที่พวกเขาเรียนรู้คือการหลอมพลังจิต เวลานี้จึงยิ่งเคียดแค้นชิงชัง
“โชคดีขนาดนี้ดันเอาไปหลอมยา ทั้งยังกล้าเอามาขายที่นี่ด้วย สมควรตายเอ๊ย หากข้ามีโชคอย่างนี้บ้างจะเอาอาวุธวิเศษชิ้นหนึ่งไปหลอมพลังจิตเสียสามครั้ง!!”
แม้แต่นักพรตขั้นสร้างฐานรากเหล่านั้นที่นั่งอยู่ในหอเรือนก็ยังมีสีหน้าเหยเก และตะลึงกับการลงทุนครั้งใหญ่ของยาเม็ดนี้เช่นกัน
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่บนระเบียง มองเห็นภาพนี้ก็สูดลมหายใจเฮือก หวาดหวั่นเล็กน้อย เขาเหม่อมองกลุ่มคนด้านล่างเหล่านั้นที่มีสีหน้าแค้นเคือง โมโหหน้าดำหน้าแดง รู้สึกเหมือนว่าตัวเอง…ทำเกินไปหน่อย จึงรีบวางท่าแค้นเคือง ชี้ไปยังเม็ดยาบนเวทีประมูล คำรามเสียงต่ำอย่างโกรธแค้น
“กินล้างกินผลาญ ผลาญสมบัติเกินไปแล้ว!”
ซุนเฉินที่อยู่ห่างออกไปยามนี้ยิ้มเจื่อน ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาได้ยาเม็ดนี้มาก็รู้สึกแบบเดียวกัน เวลานี้พอเห็นท่าทางของป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่บนระเบียงห่างไปไกล เขาก็อึ้งไปพักหนึ่ง เหงื่อเย็นๆ ผุดซึมออกมาตรงหน้าผาก…
และในเวลานี้เอง ในกลุ่มคนที่อยู่ด้านหน้าเวทีประมูล มีคนตาดีมองเห็นว่าบนเม็ดยาที่ดรุณีน้อยถือเอาไว้ มีรูปเต่าน้อยตัวหนึ่งอยู่
“เอ๊ะ? เจ้าเต่าน้อยนี่ทำไมถึงได้ดูคุ้นตานัก…” เขาเพิ่งพูดจบ ทุกคนที่อยู่รอบด้านก็พากันหันไปมองอีกครั้ง เมื่อครู่พวกเขาทั้งหมดถูกลายเส้นสีเงินดึงดูดเอาไว้ จึงไม่ได้สนใจจุดอื่น เวลานี้พอมองไปจึงเห็นรูปเต่าน้อยนั่นได้ทันที
“เจ้าเต่าน้อยนี่…ข้านึกออกแล้ว มันไม่ใช่เจ้าเต่าน้อยตัวนั้นที่อยู่อันดับหนึ่งบนป้ายศิลาทั้งสิบที่หอหมื่นโอสถเขาเซียงอวิ๋นหรอกเหรอ!!”
“เหมือนกันเป๊ะเลย ลักษณะลายเส้นก็เหมือนกัน นี่มันมาจาก…คนวาดคนเดียวกัน!”
“หรือว่าผู้ที่หลอมยาเม็ดนี้อออกมา อีกทั้งยังเอาไปหลอมพลังจิตสามครั้งอย่างคนฟั่นเฟือนก็คือศิษย์แห่งความภาคภูมิใจผู้ลึกลับของเขาเซีงอวิ๋นผู้นั้น เจ้าเต่าน้อย!”
พลันนั้นเสียงฮือฮาของผู้คนรอบด้านก็ยิ่งมากขึ้น สถานที่แห่งนี้ล้วนมีแต่ลูกศิษย์ของสำนักธาราเทพ คนของเขาเซียงอวิ๋นก็มีไม่น้อย เวลานี้พอสังเกตเห็นเจ้าเต่าน้อยแล้วจึงร้องออกมาอย่างตกตะลึง
ไม่นานผู้คนมากขึ้นล้วนมองเห็นเต่าน้อย แต่ละคนสำลักลมหายใจ คนจำนวนมากลุกขึ้นยืนพรวด ต้องรู้ว่าเจ้าเต่าน้อยของเขาเซียงอวิ๋นนั้น แม้ว่าจะหายต๋อมเข้ากลีบเมฆไปนาน แต่ความโด่งดังของชื่อเสียงก็แพร่กระจายไปทั่วสำนักนานแล้ว ถูกคนมากมายพากันคาดเดาว่าอีกฝ่ายเป็นใครกันแน่
เสียดายที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีคำตอบ อีกฝ่ายทำตัวลึกลับเกินไป ลึกลับจนไม่มีใครรู้ ทั้งยังเป็นคนถ่อมตน นิสัยวางเฉย ไม่สนใจใยดีกับเรื่องราวใดๆ ภายนอก
แต่วันนี้กลับมา…ปรากฏตัวอีกครั้ง!
แถมพอปรากฏตัวก็ยังใช้วิธีเช่นนี้มาสั่นคลอนสนามประมูล สะท้านสะเทือนใจทุกคน
โจวซินฉีอยู่ในกลุ่มคน เวลานี้ดวงตาทั้งคู่พลันเผยแววดุดัน จ้องเขม็งไปที่ยาเม็ดนั้น หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง อารมณ์เปลี่ยนแปลงรุนแรง
‘ในที่สุดเจ้าก็ปรากฏตัวแล้ว ศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจเช่นเจ้าไม่สามารถถูกกลืนหายไปในฝูงชนได้ เจ้าถนัดซ่อนตัว ไม่เปิดเผยหน้าตา แต่พรสวรรค์ของเจ้านั้นเป็นที่แน่นอน ไม่ว่าเจ้าจะปิดบังแค่ไหน เจ้าก็ต้องปรากฏตัวออกมา ข้าจะหาเจ้าให้เจอให้ได้!’ โจวซินฉีสูดลมหายใจเข้าลึก นางแอบตามหาเจ้าเต่าน้อยด้วยตัวเองมานานมากแล้ว และก็เคยสงสัยป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ก็ล้มเลิกความคิดนั้นไปอย่างรวดเร็ว ในใจของนางได้วาดภาพของเจ้าเต่าน้อยเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว นั่นต้องเป็นคนสงบเยือกเย็น ยึดมั่นถือมั่น ไม่ใช่คนที่เห็นแก่ชื่อเสียงและลาภยศ
ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่แค่โจวซินฉีผู้เดียวที่คิดเช่นนี้ นี่แทบจะเป็นความเห็นร่วมกันของทุกคน แม้แต่โหวเสี่ยวเม่ยเองก็คิดแบบนี้เช่นกัน จุดที่สำคัญที่สุดในเรื่องนี้เกิดจากการคุยโม้ถึงเจ้าเต่าน้อยเกินความจริงของป๋ายเสี่ยวฉุน
ถึงขั้นที่ทุกคนยังเคยวิเคราะห์ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงวาดรูปเต่า คำตอบที่ได้ก็คือคนผู้นี้มีนิสัยวางตัวเฉย แต่กลับมีปณิธานยิ่งใหญ่ ใช้เต่ามาเปรียบเปรยถึงยาของเขา ก็เพื่อให้ดำรงอยู่ได้เป็นหมื่นปี
โหวเสี่ยวเม่ยอยู่ไม่ห่างออกไป เวลานี้กำลังเบิกตากว้าง พริบตานั้นนัยน์ตาของนางเผยความเคารพเลื่อมใสอย่างสุดประมาณ เพราะการชี้นำของป๋ายเสี่ยวฉุน ในตอนนี้นางได้กลายเป็นคนที่ชื่นชมเจ้าเต่าน้อยที่สุดในสำนักไปเสียแล้ว ถึงขั้นที่ว่านางกับสหายร่วมสำนักจำนวนไม่น้อยยังได้สร้างพันธมิตรเจ้าเต่าน้อยขึ้นมาด้วย
“อ๋า คือเจ้าเต่าน้อย!” โหวเสี่ยวเม่ยเกือบจะกระโดดผลุงขึ้นมา ชี้มือไปยังเวทีประมูลอย่างตกตะลึงระคนดีใจ
เสียงฮือฮาที่เกิดขึ้นเพราะการปรากฏตัวของเจ้าเต่าน้อยนั้นดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นมาทันควัน แต่คราวนี้กลับไร้ซึ่งข้อกังขา ไร้ซึ่งเสียงด่าอย่างโกรธแค้น แต่กลายมาเป็นจิตใจที่สะท้านสั่นไหวหลังจากทุกคนครุ่นคิดอะไรบางอย่างได้ขึ้นมา
“นี่คือการแสดงออกว่าเขาแสวงหาความประณีตอย่างถึงขีดสุด!”
“คนผู้นี้คือศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ นิสัยโอหังถือดี เอายามาหลอมพลังจิตไม่ใช่เพื่อการซื้อขาย แต่เพื่อความเลิศล้ำของวิถีโอสถ เพื่อสืบเสาะศึกษา เพื่อความดึงดันยึดมั่น!”
แม้แต่ลูกศิษย์ฝ่ายในที่เคียดแค้นชิงชังก่อนหน้านี้ ยามนี้ก็ยังมองหน้ากัน พากันสูดลมหายใจเข้าลึก จ้องมองไปที่ยาเม็ดนั้นเขม็ง เวลานี้ไม่มีใครคิดอีกแล้วว่าอีกฝ่ายต้องการโอ้อวดการหลอมพลังจิตสามครั้ง
“ที่แท้ก็ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจผู้นี้นี่เอง ข้าเข้าใจแล้ว คนผู้นี้มิได้สติฟั่นเฟือน และไม่ได้ต้องการโอ้อวด คนผู้นี้มีปณิธานยิ่งใหญ่ นี่คือการแสดงออกถึงความตั้งมั่น ตั้งมั่นให้ยาของตัวเองมีระดับสูง บรรลุความประณีตถึงขีดสุด!”
“ร้ายกาจมาก แล้วก็น่าตะลึงมากเช่นกัน ความตั้งมั่นเช่นนี้ ปณิธานเช่นนี้ ความยึดมั่นให้ยาออกมาสมบูรณ์แบบเช่นนี้ ควรค่าให้พวกเราทุกคนทำตามยิ่งนัก!”
“หลอมพลังจิตสามครั้งสามารถเพิ่มคุณภาพได้สามระดับ ซึ่งก็หมายความว่า…ยาเม็ดนี้คือยาระดับกลาง ความรู้ลึกซึ้งด้านการหลอมยาของคนผู้นี้ได้เหนือล้ำเกินพวกเราไปแล้ว ไม่เสียแรงที่เป็นเจ้าเต่าน้อย!”
“ยาเม็ดนี้ควรค่าแก่การครอบครองเอาไว้ ข้าเอาแน่ล่ะ!” ลูกศิษย์ฝ่ายในเหล่านั้นนัยน์ตาแต่ละคนเผยประกายดุเดือด ยานี้ไม่เหมาะสมให้พวกเขากินเข้าไป แต่กลับทำให้พวกเขาสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณที่มีชีวิตชีวาได้
พวกเขามองไปที่ยาเม็ดนั้น เหมือนมองเห็นการละวางในชื่อเสียงและเกียรติยศอย่างหนึ่ง ในใจเกิดความยึดมั่น เสาะแสวงหาการเป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่มีความรู้วิถีโอสถขั้นสูงสุด
มองเห็นว่าหัวข้อที่ทุกคนพูดคุยกันเปลี่ยนไป ป๋ายเสี่ยวฉุนที่เดิมทีกำลังโกรธแค้นไปพร้อมกับฝูงชน เวลานี้จึงยกมือค้าง เบิกตาถลน เหม่อมองกลุ่มคนด้านล่าง ได้ยินคำพูดของพวกเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันหน้าแดงแปร๊ด
‘พวกเขา…พวกเขากำลังพูดถึงข้าอยู่เหรอ…’ ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้นจนตัวสั่น ตัวเขาเองยังไม่รู้เลยว่าที่แท้ตนก็ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ เวลานี้พลันตระหนักรู้ได้โดยพลัน อยากจะคำรามเสียงดังสักหนึ่งที บอกกับทุกคนว่าตัวเองก็คือท่านเต่าผู้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้าคนนั้น!
และในเวลานี้เอง เฉียนซ่งที่อยู่บนเวทีก็กระแอมแห้งๆ ขึ้นมาหนึ่งครั้ง นัยน์ตาเผยแววขบขัน
“ในเมื่อทุกคนล้วนมองออกแล้ว ถ้าเช่นนั้นยาเม็ดนี้ก็คือยาวิเศษที่มีความหมายในเชิงสัญลักษณ์ ราคาต่ำสุดอยู่ที่ห้าร้อยหินวิเศษ ทุกครั้งที่ให้ราคาต้องไม่ต่ำกว่าห้าสิบหินวิเศษ!”
ราคาเช่นนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดหายใจเฮือก นี่เป็นราคาสูงลิบลิ่วแล้ว ลูกศิษย์ฝ่ายนอกส่วนใหญ่ย่อมซื้อไม่ได้อย่างแน่นอน แต่สิ่งที่ตามมาติดๆ กลับทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตาค้างอ้าปากหวอ
“หกร้อยหินวิเศษ!”
“เจ็ดร้อยหินวิเศษ บนยาเม็ดนี้มีจิตวิญญาณของวิถีโอสถดำรงอยู่ ข้าต้องเอามาครอบครองให้จงได้!”
“แปดร้อย ใครกล้ามาแย่งข้า!” ลูกศิษย์ฝ่ายในเหล่านั้นพากันเปิดราคาขึ้นมาทันควัน เสียงดังไปรอบด้าน พริบตาเดียวสถานที่แห่งนี้ก็เดือดพล่านขึ้นมา
ราคาสูงถูกเปิดออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่นานก็สูงถึงหนึ่งพันห้าร้อยหินวิเศษ ป๋ายเสี่ยวฉุนปากคอแห้งผาก หายใจถี่กระชั้น ไม่อยากเชื่อกับเหตุการณ์ทุกอย่างนี้
“บ้าไปแล้ว บ้ากันไปหมดแล้ว… งั้นก็บ้ากันอีกสักหน่อยเถอะ… สู้ๆ!! พวกเจ้าทำดีมาก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยปากอย่างตื่นเต้น
“หนึ่งพันแปดร้อยหินวิเศษ” โจวซินฉีที่อยู่ในกลุ่มฝูงชนอยู่ๆ ก็เอ่ยปากขึ้นมา เมื่อน้ำเสียงดังออกไป ดึงดูดให้คนจำนวนนับไม่ถ้วนหันไปมอง ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็มองตามไปให้กำลังใจโจวซินฉีติดๆ เช่นกัน
ราคาเช่นนี้สำหรับลูกศิษย์ฝ่ายในถือเป็นขีดจำกัดแล้ว ลูกศิษย์ฝ่ายในหลายคนที่แย่งกันประมูลราคา แม้ว่าแต่ละคนจะไม่อยากยอมแพ้ แต่กลับทำได้เพียงถอนหายใจ เพราะยังไงซะผู้ที่ให้ราคานี้ก็คือโจวซินฉี และเดิมทีนางก็เป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจในวิถีโอสถอยู่แล้ว ในเมื่อนางแสดงออกว่าต้องการซื้อยาเม็ดนี้ ทุกคนล้วนเป็นสหายร่วมสำนัก จึงไม่คิดจะแย่งชิงต่อไป
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็พึงพอใจกับราคานี้มาก เขาแทบอยากจะวิ่งไปเคาะโต๊ะแทนเฉียนซ่งเสียเหลือเกิน แต่ชั่วขณะที่ผู้คนรอบด้านไม่ได้เปิดราคากันต่อนั้นเอง พลันน้ำเสียงของสาวน้อยนางหนึ่งซึ่งแฝงไว้ด้วยความถือดี ความไม่ยินยอม และความดุเดือดก็ดังออกมา
“ข้าโหวเสี่ยวเม่ยคือคนในตระกูลผู้บำเพ็ญเพียร มีหินวิเศษมากมาย ข้าให้สามพันหินวิเศษ!”
———