บทที่ 79 เสี่ยวฉุน พวกเราเชื่อแล้ว
ป๋ายเสี่ยวฉุนตาเหลือก ในสมองมีแต่หินวิเศษสามพันก้อน…มองโหวเสี่ยวเม่ย ดวงตาของเขาเปล่งประกายวิบวับ เวลานี้เขาอยากจะพุ่งเข้าไปกอดโหวเสี่ยวเม่ย ยกนิ้วโป้งให้นางสักสามพันครั้งเสียเหลือเกิน…
บอกนางว่า เจ้าทำดีมาก!
ทุกคนที่อยู่ในงานประมูลพากันฮือฮาขึ้นมากับราคาที่พุ่งขึ้นสูงเช่นนี้ หลังจากที่เสียงของโหวเสี่ยวเม่ยดังออกมา ทุกคนล้วนอึ้งตะลึง หันไปมองโหวเสี่ยวเม่ยอย่างพร้อมเพรียง มองเห็นสาวน้อยคนหนึ่งยืนเท้าเอว ยืดอกตั้ง ผิวพรรณขาวนวลเนียน ตัวเล็กน่ารัก สีหน้าภาคภูมิใจ ดูแสบสันราวพริกขี้หนู
นางเชิดหน้าขึ้นมองโจวซินฉีด้วยท่าทางที่ว่าข้าเป็นคนตระกูลผู้บำเพ็ญเพียร ข้าไม่กลัวอยู่แล้ว ข้ามีเงินถุงเงินถัง ท่าทางของนางไม่เพียงไม่มีใครรู้สึกไม่ชอบใจ กลับยิ่งรู้สึกว่าโหวเสี่ยวเม่ยผู้นี้น่ารักนักหนา
นัยน์ตาของคนไม่น้อยเผยแววขบขัน และยังมีคนบางส่วนที่ยิ่งตื่นตะลึงในความงามของนาง
“สามพันหนึ่งร้อยหินวิเศษ!” โจวซินฉีเอ่ยปากราบเรียบ สีหน้าเย็นชาลงแล้ว
“เจ้าเต่าน้อยสำคัญกับข้ามาก ยาใดก็ตามที่เป็นของเจ้าเต่าน้อย ไม่ว่าข้าโหวเสี่ยวเม่ยต้องจ่ายเท่าไหร่ก็จะเหมาซื้อให้หมด หึๆ ข้าให้ราคาสี่พันหินวิเศษ ข้าเป็นคนตระกูลผู้บำเพ็ญเพียร สิ่งที่มีก็คือหินวิเศษ!” นางเน้นย้ำประโยคสุดท้ายอีกครั้ง โหวอวิ๋นเฟยที่อยู่ข้างกันเวลานี้ก้มหน้า สีหน้ากระอักกระอ่วน ในใจก็กลัดกลุ้ม น้องสาวของเขาผู้นี้ไม่รู้ว่าไปเลื่อมใสเจ้าเต่าน้อยนั่นตั้งแต่เมื่อใด หลายปีมานี้เรียกว่าอยู่ในขั้นคลั่งไคล้เลยทีเดียว…
รอบด้านมีผู้ที่เลื่อมใสโจวซินฉีอยู่ บางคนเริ่มรู้สึกขัดหูขัดตา คนไม่น้อยพากันเอ่ยปากพูดว่าเพื่อยาวิเศษระดับสองเม็ดหนึ่งแล้ว โหวเสี่ยวเม่ยถึงขั้นให้ราคาสูงเพียงนี้ ช่างเป็นลูกล้างลูกผลาญเสียจริง
“ข้าร่ำรวยหินวิเศษแล้วจะทำไม เจ้าจะกัดข้างั้นรึ?” โหวเสี่ยวเม่ยได้ยินคำพูดพวกนี้ก็ไม่สบอารมณ์ทันที ยืดอกเล็กๆ ขึ้น มือเท้าเอวฉับ โต้กลับเสียงแจ๋ว
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่บนระเบียงมองเห็นภาพนี้ ก็ยิ่งรู้สึกว่าที่ตนชักจูงโหวเสี่ยวเม่ยซึ่งหลงผิดในตอนแรกให้กลับมาเดินถูกทางนั้น ช่างเป็นเรื่องที่ถูกต้องยิ่งนัก
โจวซินฉีขมวดคิ้ว นางไม่มีหินวิเศษมากมายขนาดนั้น เวลานี้เงียบงันไปเนิ่นนานแล้วจึงถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที ทำได้เพียงยอมแพ้
โหวเสี่ยวเม่ยเห็นว่าโจวซินฉีไม่ให้ราคาอีกแล้วจึงตะลึงระคนดีใจขึ้นมาโดยพลัน ในความเป็นจริงแล้วนางเองก็แสร้งวางมาดใหญ่โตไปอย่างนั้นเอง หินวิเศษมากมายขนาดนี้นางย่อมไม่มีอยู่แล้ว เพียงแต่จงใจพูดไปเช่นนั้นต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ ดังนั้นผู้อาวุโสของตระกูลก็จำเป็นต้องยอมให้นางแล้วล่ะ
ท้ายที่สุดแล้วท่ามกลางความลำพองใจของโหวเสี่ยวเม่ย ยาที่ผ่านการหลอมพลังจิตมาสามครั้งเม็ดนี้ก็ถูกนางซื้อไปได้สำเร็จ
ป๋ายเสี่ยวฉุนพึงพอใจ มองโหวเสี่ยวเม่ยหนึ่งทีด้วยความชื่นชม กระแอมเบาๆ หนึ่งครั้ง ครุ่นคิดว่าในเมื่อโหวเสี่ยวเม่ยเลื่อมใสตนถึงเพียงนี้ หากตนยังไม่ยอมบอกตัวตนที่แท้จริงให้อีกฝ่ายรู้ก็ดูจะไม่ถูกไม่ควรยิ่งนัก
ดังนั้นจึงตั้งมั่นว่าจะทำตามความคิดนี้ มองเห็นว่างานประมูลวันแรกใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว เขาจึงรีบออกไปเตรียมตัวเปิดเผยฐานะของตัวเองต่อหน้าทุกคน
หลังเวทีประมูล ผู้อาวุโสของตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรหลายคนก็อยู่ที่นี่ด้วย คอยรับผิดชอบพิทักษ์สถานที่แห่งนี้ ชายวัยกลางคนหนึ่งในนั้นกระแอมไอแห้งๆ หนึ่งที ยิ้มเจื่อนให้กับสหายรอบด้าน
“คือว่า…หลานสาวของข้านิสัยดื้อรั้นไปหน่อย ทำให้ทุกท่านขบขันกันแล้ว” ระหว่างที่พูดเขาก็ยิ้มเจื่อน หยิบเอาหินวิเศษตามจำนวนออกมาวางไว้ด้านข้าง
“ช่างมีจิตใจที่ใสซื่อยิ่งนัก” ทุกคนหัวเราะครืน
งานประมูลวันแรกสิ้นสุดลง โดยทั่วไปแล้วงานประมูลนี้จะจัดติดต่อกันหลายวัน ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่คิดจะมาอีก ยาของเขาขายออกไปหมดแล้ว เวลานี้รีบเดินออกมาด้วยจิตใจฮึกเหิม เมื่อมาถึงหน้าประตู เขายืนอยู่ตรงนั้น มองไกลไปยังกลุ่มฝูงชนที่เบียดเสียดกันออกมาจากสนามประมูล
คนเหล่านี้ล้วนเป็นศิษย์ในสำนัก แต่ละคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์ถึงยาลมปราณม่วงเพิ่มพลังเมื่อครู่นี้กันอย่างตื่นเต้น
ไม่นานป๋ายเสี่ยวฉุนก็มองเห็นโจวซินฉี นัยน์ตาเขาเผยแววให้กำลังใจชื่นชม เหมือนกำลังโน้มน้าวอีกฝ่ายว่าอย่าได้ท้อถอย ขณะที่เขากำลังก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า สายตาของเขาทำให้โจวซินฉีอึ้งตะลึง รีบเดินหนี ไม่ทันรอให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้ามาใกล้ก็กลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาวบินออกไป
ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังขัดอกขัดใจอยู่นั้น เบื้องหลังก็มีเสียงตื่นเต้นดีใจดังลอยมา
“พี่เสี่ยวฉุน!” ใบหน้าโหวเสี่ยวเม่ยเต็มไปด้วยความปิติยินดี กระโดดโลดเต้นเบียดออกมาจากกลุ่มคน บิดเอวเดินมาอยู่ข้างป๋ายเสี่ยวฉุน โหวอวิ๋นเฟยอยู่ด้านหลังโหวเสี่ยวเม่ย พอมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็เผยรอยยิ้มออกมาเช่นกัน
ป๋ายเสี่ยวฉุนดึงสายตากลับมาจากร่างของโจวซินฉี นัยน์ตามองโหวเสี่ยวเม่ยด้วยความชื่นชม ลูบหัวโหวเสี่ยวเม่ยด้วยท่าทางอย่างผู้อาวุโส
“น้องหญิงเสี่ยวฉุน ไม่เลว ต่อไปเวลาซื้อของต้องเด็ดขาดแบบนี้นี่แหละ!”
โหวเสี่ยวเม่ยหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที จากนั้นเหมือนคิดอะไรได้ จึงหยิบเอายาลมปราณม่วงเพิ่มพลังเม็ดนั้นออกมาด้วยความดีใจ
“พี่เสี่ยวฉุนท่านรีบดูนี่สิ นี่คือยาที่เจ้าเต่าน้อยหลอมออกมานะ ข้าซื้อมาได้ ท่านต้องการหรือไม่ เดี๋ยวข้ายกให้ เมื่อก่อนท่านบอกไม่ใช่เหรอว่าท่านเลื่อมใสเจ้าเต่าน้อยมากที่สุด ข้าตั้งใจซื้อมาให้ท่านโดยเฉพาะเลยนะ” นัยน์ตาของนางเผยประกายที่ทำให้คนหัวใจหวั่นไหว เอายาวางไว้ตรงหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน ใบหน้าเล็กๆ เต็มไปด้วยความรอคอย ราวกับว่าในโลกของนางยามนี้มีแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้เดียวเท่านั้น
โหวอวิ๋นเฟยที่อยู่ด้านข้างมองเห็นภาพนี้เช่นกัน สายตาของเขาอ่อนโยน อมยิ้มไม่พูดไม่จา
ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งไป คิดไม่ถึงว่าจุดประสงค์ที่อีกฝ่ายซื้อยาเอาไว้แท้จริงแล้วก็เพื่อตนเอง เขาซาบซึ้งใจขึ้นมาทันที มองเห็นว่ารอบด้านมีคนอยู่ไม่น้อย ดังนั้นจึงสูดลมหายใจเข้าลึก เผยสีหน้าจริงจัง
“เสี่ยวเม่ย ข้าจะบอกความลับยิ่งใหญ่เรื่องหนึ่งกับเจ้า!” นัยน์ตาป๋ายเสี่ยวฉุนเผยความเด็ดเดี่ยว ขณะที่กำลังเอ่ยปาก ท่าทีของยอดฝีมือผู้เบื่อหน่ายก็ปรากฏออกมา
เขามีความสามารถในการเปลี่ยนท่าทางให้ออกมาเป็นเช่นนี้ได้ทุกเวลาที่ต้องการแล้ว
โหวเสี่ยวเม่ยงุนงง โหวอวิ๋นเฟยที่อยู่ด้านข้างก็แปลกใจเช่นกัน มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน
“ความลับอะไรเหรอ?” โหวเสี่ยวเม่ยแสดงสีหน้าตั้งใจฟัง ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ป๋ายเสี่ยวฉุนพยายามกระแอมไอดังสุดแรง เชิดหน้าขึ้น สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งที
“ข้าป๋ายเสี่ยวฉุน ก็คือผู้ที่มีชื่อเสียงเขย่าใต้หล้า ลึกลับเกินคาดเดา สะเทือนฟ้าสะเทือนดินแม้แต่พญายมยังหวาดกลัว…ข้าคือท่านเต่า…ผู้ยิ่งใหญ่!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะเสียงดัง หลังจากที่เขาพูดประโยคนี้ออกไปหมด ในใจก็ให้โล่งโปร่งสบาย ประโยคนี้เขาเก็บกลั้นเอาไว้ในปากมาหลายปีแล้ว ยามนี้ในที่สุดก็ได้พูดออกมา อีกทั้งยังได้พูดต่อหน้าโหวเสี่ยวเม่ยที่เลื่อมใสบูชาตัวเองมากที่สุดด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอบด้านยังมีคนอยู่ไม่น้อย นี่แหละที่เรียกว่าสายตาของคนนับหมื่น
ที่สำคัญที่สุดคือเขาคิดว่าจะปล่อยให้ผู้ที่เลื่อมใสตัวเองไม่รู้อย่างนี้ต่อไปไม่ได้ ว่าที่แท้ผู้ที่ตนเทิดทูนก็อยู่ข้างกาย! ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้ามองก้อนเมฆสีขาวบนท้องฟ้าด้วยท่าทางโอหังและถือดี แต่หูกลับตั้งขึ้นมา รอฟังเสียงร้องอย่างตกตะลึงจากโหวเสี่ยวเม่ยและคนรอบกาย
ในใจเขาคิดมาเรียบร้อยแล้วว่าเดี๋ยวพอเกิดเสียงร้องอย่างตกตะลึง ตัวเองควรจะพูดอะไรบ้าง
แต่รออยู่นานมากกลับไม่ได้ยินเสียงใดลอยมา รอบด้านพลันเงียบสนิท ป๋ายเสี่ยวฉุนแปลกใจ ดึงสายตาที่มองเมฆขาวบนฟ้ากลับมา แล้วเหล่ตามองโหวอวิ๋นเฟยและโหวเสี่ยวเม่ยแทนอย่างอดไม่ได้
โหวเสี่ยวเม่ยยืนอึ้ง โหวอวิ๋นเฟยก็อึ้งไปเช่นกัน พวกเขายืนเซ่อมองป๋ายเสี่ยวฉุน ลูกศิษย์รอบด้านที่ออกมาจากสนามประมูลเหล่านั้นก็ล้วนมีสีหน้าแปลกประหลาด
“เจ้าเต่าน้อยคือบุคคลที่ไม่สนใจในชื่อเสียงลาภยศ เป็นดั่งเมฆขาวบนท้องนภา อาจารย์อาป๋ายบอกว่าตัวเองคือเจ้าเต่าน้อยเนี่ยนะ? เหอๆ…ไปเหอะๆ”
ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าบิดเบี้ยวขึ้นมาทันที กำลังจะเอ่ยปากอธิบาย
“เสี่ยวฉุน เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า?” โหวอวิ๋นเฟยเริ่มเป็นกังวล ลูบคลำศีรษะของป๋ายเสี่ยวฉุน
“คือข้าจริงๆ นะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดอย่างร้อนรน
“อ๋า? ได้ๆ เป็นเจ้าๆ…” โหวอวิ๋นเฟยสีหน้าพิกล รีบพยักหน้า
“พี่เสี่ยวฉุน ก่อนหน้านี้ท่านเคยบอกข้าว่าเจ้าเต่าน้อยคือบุคคลที่ราวกับเมฆขาวบนท้องนภา ไม่สนใจลาภยศชื่อเสียง… จริงๆ แล้วในใจของข้า ท่านกับเจ้าเต่าน้อยล้วนสูงส่งอยู่ในระดับเดียวกัน ท่านไม่ต้องสวมรอยเป็นเจ้าเต่าน้อยหรอก…” โหวเสี่ยวเม่ยมองป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างลึกซึ้ง พูดเสียงเบา
“คือข้าจริงๆ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่ทันพูดจบ โหวอวิ๋นเฟยที่อยู่ข้างๆ ก็ทำหน้าจริงจัง ดึงแขนของป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้
“เสี่ยวฉุน พวกเราเชื่อแล้ว!”
“ข้าเป็น…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง กำลังจะเอ่ยปาก โหวอวิ๋นเฟยกลับทำหน้าเคร่งขรึมยิ่งกว่าเดิม
“เสี่ยวฉุน พวกเราเชื่อแล้วจริงๆ!”
“ข้า…” นัยน์ตาป๋ายเสี่ยวฉุนงุนงง รู้สึกแค่ว่าความหวังพังทลายไปสิ้น จะอธิบายอย่างไรก็อธิบายได้ไม่ชัดเจน ความคิดกับความเป็นจริงช่างแตกต่างกันยิ่งนัก ทำให้เขาหมุนตัวกลับหมดแรงใจ เดินโซซัดโซเซออกไปไกล ไม่รู้ว่ากลับมายังสำนักได้ยังไง
ในลานบ้าน เขาเหม่อมองท้องฟ้า สีหน้าเศร้าสลด
“ข้าเป็นท่านเต่าจริงๆ นะ…” เขาอึดอัดคับข้องใจยิ่งนัก รู้สึกว่าความฝันของตัวเอง ความรู้สึกองอาจผึ่งผายที่จะได้บอกตัวตนของตัวเองออกมาท่ามกลางสายตาคนนับหมื่น เวลานี้ล้วนย่อยยับไปสิ้น
แต่จากนั้นเขาก็รู้ว่าปัญหาอยู่ตรงไหน เป็นเพราะว่าหลายปีมานี้ตัวเองคุยโม้ถึงตัวตนของเจ้าเต่าน้อยไว้สูงส่งเกินไป…จนทำให้ภาพลักษณ์ของเจ้าเต่าน้อยในใจของทุกคนถือสันโดษโอหังเกินคนธรรมดา
จะพูดให้ถูกต้องก็คือภายใต้ความพยายามอย่างไม่ย่อท้อระหว่างเขาและโหวเสี่ยวเม่ย เจ้าเต่าน้อยจึงได้กลายเป็นเทพเจ้าไปแล้ว…
ผ่านไปครู่ใหญ่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ ไปหาสวีเป่าไฉ บอกถึงตัวตนของตัวเองอย่างจริงจังต่อหน้าสวีเป่าไฉ สวีเป่าไฉอึ้งงัน…รีบพยักหน้าบอกว่าข้าเชื่อแล้ว
ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าม่อยคอตก กลับมาถึงที่พักก็เหม่อลอยอีกครั้ง
จนกระทั่งหลายวันผ่านไป ซุนเฉินมาเยี่ยมเยียน ป๋ายเสี่ยวฉุนทั้งตกใจและดีใจขึ้นมาทันที รู้สึกว่าตนคว้าความหวังเอาไว้ได้แล้ว เพราะซุนเฉินรู้ว่าตนเป็นผู้เอายานั่นไปส่งให้
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยปาก พอซุนเฉินส่งมอบหินวิเศษตามจำนวนให้เรียบร้อยแล้วก็ประสานมือ โค้งตัวต่ำให้กับป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง
“พี่ป๋าย ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าผู้หลอมยาเม็ดนั้นคือศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของสำนัก เรื่องนี้ตระกูลข้าเองก็ตะลึงไปเช่นกัน ตอนนี้ในสำนักคนที่ติดต่อกับศิษย์แห่งความภาคภูมิใจผู้นั้นได้เกรงว่าก็คงมีแต่พี่ป๋ายแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นท่านก็คงไม่มียาพิเศษเช่นนี้ได้”
“ยังไงก็ขอให้พี่ป๋ายช่วยบอกกับศิษย์แห่งความภาคภูมิใจผู้นั้นด้วย ข้ารู้ว่าคนผู้นี้ไม่สนใจในชื่อเสียงลาภยศ ไม่ชอบความวุ่นวาย ราวกับเมฆบนท้องนภา แสวงหาความประณีตถึงขีดสุดแห่งวิถีโอสถ บุคคลเช่นนี้วันหน้าจะต้องบินถลาขึ้นสูงสู่ฟากฟ้าอย่างแน่นอน ตระกูลซุนของข้ายินดีช่วยเหลือเขาจัดการเรื่องจิปาถะทั่วไป” ซุนเฉินกำมือประสานโค้งคำนับต่ำหนึ่งครั้ง เมื่อเงยหน้าขึ้นมาพบว่านัยน์ตาป๋ายเสี่ยวฉุนเคว้งคว้าง เขารออยู่สักพักไม่เห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะมีสติกลับมา ก็ลังเลอยู่ชั่วครู่ถึงได้ประสานมือคารวะอีกครั้ง บอกลาแล้วจากไป
ในใจของเขาเองก็ให้ปลดปลงยิ่งนัก ตำแหน่งของป๋ายเสี่ยวฉุนในสำนักธาราเทพไม่ธรรมดาจริงๆ เสียด้วย ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นผู้ใดคนนั้นถึงขนาดมาคบค้าสมาคมกับเขา
ในสมองของเขาไม่เคยคิดสักนิดว่าป๋ายเสี่ยวฉุนก็คือเจ้าเต่าน้อย ด้วยนิสัยแตกต่างกันเกินไป สำหรับเรื่องราวของเจ้าเต่าน้อย ไม่เพียงแต่ลูกศิษย์ในสำนักธาราเทพเท่านั้นที่รู้ ตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ด้านนอกก็รู้มานานแล้วเช่นกัน หลังจากที่ทุกคนสืบหา ก็ได้ข้อสรุปของนิสัยคนผู้นี้ออกมาใกล้เคียงกับสิ่งที่โจวซินฉีคิดเอาไว้
จนกระทั่งดวงจันทร์ลอยสูงกลางท้องฟ้า ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้คืนสติกลับมา ถอนหายใจหนึ่งครั้ง ร่างกระโดดผลุงขึ้นไปยืนอยู่บนต้นไผ่ของลานบ้าน มือเล็กทั้งสองข้างไพล่หลัง มองท้องฟ้าด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยเหงาหงอย ลมภูเขาพัดโชยมาพาเอาผมสีนิลของเขาปลิวไสว พัดพาอาภรณ์ของเขาให้เกิดเสียงดัง
“นึกไม่ถึงว่าลึกลงไปในตัวข้าจะมีความเมินเฉยต่อชื่อเสียงและลาภยศดำรงอยู่ ดั่งเมฆที่ลอยล่องบนท้องฟ้า เฮ้อ ต้องโทษที่ปกติข้าปกปิดตัวตนไว้ดีเกินไป บางครั้งความยอดเยี่ยมก็เป็นความเหงาอย่างหนึ่งเช่นกัน” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้อ ภายใต้แสงจันทร์ เงาร่างของเขาให้ความรู้สึกเหมือนยอดฝีมือผู้เบื่อหน่ายอย่างแท้จริง
———