Skip to content

A Will Eternal 923

บทที่ 923 ยังเหมือนวันวาน

วินาทีที่ประโยคของตู้หลิงเฟยดังเข้าหูของป๋ายเสี่ยวฉุน

ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็แข็งค้างน้อยๆ ด้วยความตะลึงงัน เขาเงยหน้ามองไปยังทิศไกลทันใด ด้วยตบะของป๋ายเสี่ยวฉุน ต่อให้ตู้หลิงเฟยอาศัยพลังของเกาะทงเทียนจากไป ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังเห็นร่องรอยของนางอยู่ดี

ใจเขาอยากไล่ตามไปถามให้รู้ดำรู้แดง ทว่าเงาร่างของตู้หลิงเฟยได้หายไปจากสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุน หายเข้าไปในจุดลึกของเกาะทงเทียนแล้ว

“นางพูดประโยคนี้หมายความว่าไง…ให้ข้าระวังโหวเสี่ยวเม่ย?” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติ ทั้งยังถึงขั้นแยกแยะไม่ออกแล้วว่าประโยคนี้ของตู้หลิงเฟยเป็นจริงหรือเป็นเท็จกันแน่

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินครั้งแรกว่าโหวเสี่ยวเม่ยถูกเลือกให้มาเป็นผู้พิทักษ์ที่เกาะทงเทียน เขาก็รู้สึกกระวนกระวายใจอยู่แล้ว ตอนนี้ยังมาได้ยินประโยคนี้ของตู้หลิงเฟยจึงยิ่งร้อนใจขึ้นมาทันที

“ทำไมต้องให้ข้าระวังโหวเสี่ยวเม่ยด้วย?” ป๋ายเสี่ยวฉุนนิ่งคิด ย้อนนึกถึงลักษณะของโหวเสี่ยวเม่ยที่เพิ่งพบเจอเมื่อตอนกลางวันซึ่งไม่แตกต่างไปจากในความทรงจำของเขา สายตาตะลึงระคนยินดีจากดวงตาของอีกฝ่ายยามที่เห็นตนดูเหมือนไม่ใช่การเสแสร้ง

เพียงแต่ว่าคำพูดประโยคนั้นของตู้หลิงเฟยยังคงดังก้องอยู่ข้างหูของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่จางหาย เขาจึงจำต้องใคร่ครวญอย่างละเอียด นั่นจึงยิ่งทำให้เขาร้อนใจไม่เป็นสุข เพราะนับตั้งแต่ที่เขามาที่เกาะทงเทียนแห่งนี้ก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ตลอดเวลา

ผ่านไปพักใหญ่ ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงถอนหายใจออกมายาวเหยียด ครุ่นคิดว่าคงต้องหาโอกาสไปพบโหวเสี่ยวเม่ยดูสักครั้ง ทว่าเวลานี้เอง ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันนิ่วหน้า เงยหน้ามองทิศไกล

ไม่นานนัก ท่ามกลางม่านรัตติกาลก็มีรุ้งยาวเส้นหนึ่งห้อตะบึงมายังที่พักของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างระมัดระวัง

แผล็บเดียวก็มาถึงที่พักของเขา พอสะบัดกายหนึ่งครั้งก็เยื้องย่างเข้ามาข้างใน คนยังไม่ทันเผยกาย น้ำเสียงที่หวานเลี่ยนกลับชิงมาถึงก่อนแล้ว

“พี่เสี่ยวฉุน!”

คนที่มาก็คือโหวเสี่ยวเม่ย นางยังคงสวมกระโปรงยาวสีแดงอย่างเมื่อตอนกลางวัน ตลอดทั้งร่างมองดูแล้วให้ความสวยงามเป็นอย่างมาก เดิมทีดวงหน้าของนางก็ขาวนวลเนียนอยู่แล้ว มาตอนนี้ด้วยความปิติยินดีที่ได้เจอป๋ายเสี่ยวฉุนจึงทำให้แก้มของนางแดงปลั่ง ดวงตาทั้งคู่ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวามีประกายแสงสดใสอบอวล

แม้ในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนจะเกิดความกังขาเพราะประโยคนั้นของตู้หลิงเฟย ทว่าตอนนี้พอได้เห็นโหวเสี่ยวเม่ย ความกังขานั้นจึงถูกเขาฝังกลบไปในใจทันที

โหวเสี่ยวเม่ยที่อยู่เบื้องหน้านี้เหมือนกับคนในความทรงจำของเขาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน นางยังคงเป็นเสี่ยวเม่ยที่เหมือนน้องสาวข้างบ้าน ซึ่งนับตั้งแต่เห็นตนครั้งแรก…ก็ชอบมาคลอเคลียใกล้ชิดอยู่ข้างกายตน

ทั้งยังไม่เหมือนตอนที่เผชิญหน้ากับตู้หลิงเฟย พอได้เห็นโหวเสี่ยวเม่ย ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ดีใจมากเหมือนกัน เขาลุกขึ้นยืนแล้วอ้าแขนทั้งสองข้างออก ขยิบตา หัวเราะชั่วร้าย

“เสี่ยวเม่ย ไม่เจอกันนานเลยนะ มาๆๆ มาให้พี่เสี่ยวฉุนกอดหน่อยสิ”

ใบหน้าที่แต่เดิมก็แดงก่ำเพราะความดีใจของโหวเสี่ยวเม่ย พอมาได้ยินประโยคนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุน หน้าของนางก็แดงแปร๊ดทันที มองค้อนป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างกระเง้ากระงอดหนึ่งที แต่ก็ยังเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเขาแล้วก้มหน้าลงซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของเขาแต่โดยดี

ตอนแรกนางยังกอดไม่แรงเท่าไหร่ แต่พอได้กอดเขาแล้ว ความคิดในใจตลอดหลายปีที่ผ่านมารวมไปถึงความโดดเดี่ยวที่ต้องอยู่เพียงลำพังบนเกาะทงเทียนก็พลันเอ่อท้นขึ้นมาจากส่วนลึกของจิตใจ ทำให้นางกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นเรื่อยๆ ราวกับต้องการกอดป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่อย่างนี้ไปตลอดกาล ไม่อยากให้เขาไปจากตนอีกแล้ว

สัมผัสได้ถึงน้ำหนักจากแขนของโหวเสี่ยวเม่ยที่โอบกอดตน รอยยิ้มชั่วร้ายบนใบหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถูกเก็บลงไปช้าๆ แทนที่มาด้วยความสงสาร เขาเอามือลูบเส้นผมของโหวเสี่ยวเม่ยที่อยู่ในอ้อมกอดเบาๆ ได้กลิ่นกายที่ต่างจากตู้หลิงเฟยซึ่งแผ่ออกมาจากตัวของนาง ใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ค่อยๆ คลายลงในที่สุด

ตอนนี้ในสมองเขามีภาพเหตุการณ์ที่ได้พบเจอโหวเสี่ยวเม่ยเป็นครั้งแรกลอยขึ้นมา สามารถพูดได้ว่าโหวเสี่ยวเม่ยต่างหากถึงจะเป็นผู้หญิงคนแรกที่ป๋ายเสี่ยวฉุนให้ความสนใจ นั่นเป็นเพราะหน้าตาขาวนิ่มนวลทั้งยังไร้เดียงสาของอีกฝ่าย ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยังเยาว์วัยเกิดความชื่นชอบอีกฝ่ายโดยที่ตอนนั้นเขาเองก็ยังไม่รู้ตัว

และภายหลังที่เขาได้เห็นนิสัยเหมือนพริกขี้หนูเผ็ดร้อนยามโหวเสี่ยวเม่ยปฏิบัติกับทุกตน แต่พอกับตนนางกลับเป็นเด็กดีว่าง่าย นี่จึงยิ่งทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง

ยามนี้โอบกอดโหวเสี่ยวเม่ยเอาไว้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าโหวเสี่ยวเม่ยที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่มีปัญหาอะไร และไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ยังคงเป็นนางเหมือนอย่างที่เคยเป็น

“พี่เสี่ยวฉุน ท่านจากไปทีก็ไปนานหลายปีเลย…” โหวเสี่ยวเม่ยที่อยู่ในอ้อมกอดของป๋ายเสี่ยวฉุน พูดไปพูดมาอารมณ์ก็เริ่มเศร้าสร้อย

ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบดึงโหวเสี่ยวเม่ยมานั่งข้างๆ กันแล้วเอ่ยปลอบใจ อีกทั้งเขายังพูดถึงเรื่องของตัวเองในแดนทุรกันดารให้นางฟังด้วย

แม้ว่าจะไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็ยกเอาเรื่องสนุกๆ บางอย่างมาเล่าให้นาง ไม่นานอารมณ์ของโหวเสี่ยวเม่ยก็ดีขึ้นไม่น้อย เสียงหัวเราะใสกังวานราวระฆังแก้วของนางดังออกมาอย่างต่อเนื่อง

“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าตอนอยู่แดนทุรกันดาร คนฟ้ายังต้องมองสีหน้าท่าน” โหวเสี่ยวเม่ยปิดปากหัวเราะ

พอได้ยินว่าโหวเสี่ยวเม่ยไม่เชื่อตน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยอมไม่ได้ทันที เขาถลึงตา ตบอกตัวเองเสียงดัง

“นี่ยังไม่เท่าไหร่นะ ขนาดครึ่งเทพยังถึงกับเอาลูกสาวใส่พานมาแต่งงานกับข้า ขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชสำนักขุย มีใครบ้างที่ไม่กลัวข้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกล่าวอย่างลำพองใจ โหวเสี่ยวเม่ยที่อยู่ข้างๆ ถึงกับหัวเราะคิกคัก

“ข้าเชื่อ เชื่อแล้ว พอใจหรือยัง ท่านร้ายกาจที่สุด พี่เสี่ยวฉุนของข้าคือคนที่ร้ายกาจที่สุดใต้หล้านี้”

โหวเสี่ยวเม่ยหัวเราะด้วยดวงตาที่สดใสเป็นประกาย ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนที่ได้เห็นใจเต้นกระหน่ำขึ้นมากะทันหัน เขาพลันค้นพบว่าหาใช่โหวเสี่ยวเม่ยจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเสียเลย ดูเหมือนว่าความอ่อนวัยบนร่างของนางจะถดถอยหายไป และมีเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวค่อยๆ แผ่ออกมา

“นี่ก็เป็นนางมารร้ายคนหนึ่งเหมือนกัน ทำไมปีนั้นข้าถึงมองไม่ออกนะ…”

ป๋ายเสี่ยวฉุนกลืนน้ำลายหนึ่งอึก ในใจครุ่นคิดว่าหากเป็นอย่างนี้ต่อไป วันหน้าโหวเสี่ยวเม่ยคงเป็นโฉมสะคราญยิ่งกว่าซ่งจวินหว่านเสียอีก…

พอเห็นว่าตนถูกสายตาของโหวเสี่ยวเม่ยทำให้หัวใจเต้นระรัว

ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกขายหน้าเล็กน้อย ดังนั้นจึงไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง เปลี่ยนหัวข้อมาถามเรื่องที่ว่าเหตุใดโหวเสี่ยวเม่ยถึงถูกเลือกมายังเกาะทงเทียน

พอโหวเสี่ยวเม่ยได้ยินคำถามนี้ก็ทำเสียงขึ้นจมูกอย่างมีอารมณ์ทันที

“ก็ไม่ใช่เพราะซ่งจวินหว่านนั่นหรือไง นังหญิงเฒ่าคนนี้ ไม่เพียงแต่คิดไม่ซื่อกับพี่เสี่ยวฉุน อีกทั้งหลายปีที่ผ่านมาภายนอกมองดูเหมือนนางให้การดูแลข้า แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับใช้ตำแหน่งฐานะของเขาจงเฟิงสายธาราโลหิตมาข่มข้าอยู่หลายครั้ง”

“หา?” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงงัน เขารู้สึกว่าซ่งจวินหว่านไม่น่าจะใช่คนแบบนั้น ใจอยากอธิบาย แต่เขายังไม่ทันเปิดปาก โหวเสี่ยวเม่ยที่เหมือนจะมองท่าทางของเขาออกก็รีบชิงฟ้องเสียก่อน

“พี่เสี่ยวฉุน ท่านไม่รู้อะไร หลายปีมานี้นังหญิงเฒ่าซ่งจวินหว่านผู้นั้นชอบวางตัวโอ้อวดอยู่ในสำนัก ข้าขัดตาเลยตำหนินางไปสองสามคำ แต่นางกลับมองข้าเหมือนเป็นตะปูตำตา!”

“การคัดเลือกครั้งสุดท้ายนั่น ข้ากับนางต้องประลองเวทด้วยกันครั้งหนึ่ง ตบะนางสูงกว่าข้าตั้งขนาดนั้น แถมก่อนหน้านี้ยังชนะมาแล้วหลายครั้ง ต่อให้แพ้นางก็ยังมีโอกาส แต่นั่นมันเป็นครั้งสุดท้ายของข้าเลยนะ หากข้าแพ้ ข้าก็จะไม่มีโอกาสอีก”

“แต่นางกลับไม่ออมมือให้กันแม้แต่น้อย ข้าอุตส่าห์พูดกับนางถึงขนาดนั้นแล้ว แต่นางก็ยังทำให้ข้าแพ้จนได้” โหวเสี่ยวเม่ยพูดมาถึงตรงนี้ก็มีท่าทีเดือดดาลอย่างมาก

“ยังดีที่ผู้อาวุโสเกาะทงเทียนที่รับผิดชอบการคัดเลือกครั้งนี้สัมผัสได้ถึงความพิเศษในร่างข้า ซึ่งเหมาะสมกับวิชาอภินิหารอย่างหนึ่งของเกาะทงเทียน ดังนั้นจึงแหกกฎให้ข้าถูกเลือกเพิ่มมาหนึ่งคน ส่วนนังเฒ่านั่นสุดท้ายกลับพ่ายแพ้”

โหวเสี่ยวเม่ยพูดรัวเร็ว คอยฟ้องถึงความร้ายกาจของซ่งจวินหว่านให้ป๋ายเสี่ยวฉุนฟังอย่างต่อเนื่อง ป๋ายเสี่ยวฉุนฟังไปฟังมาก็รู้สึกเหมือนหัวจะเริ่มโต

เขาฟังออกว่าอันที่จริงแล้วเรื่องความขัดแย้งระหว่างซ่งจวินหว่านกับโหวเสี่ยวเม่ย ล้วนมีสาเหตุมาจากการที่คนทั้งสองไม่ชอบขี้หน้ากัน…

และต้นกำเนิดแรกเริ่มสุดของความไม่ลงรอยกันนี้ก็คือช่วงเวลาที่สำนักธาราเทพกับสำนักธาราโลหิตเพิ่งจะปรองดองกันจากศึกสงคราม ช่วงเวลาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพักรักษาตัวอยู่บนภูเขา…

ยิ่งนึกถึงเรื่องราวในปีนั้นที่ซ่งจวินหว่านกับโหวเสี่ยวเม่ยถือยาคนละถ้วยมาส่งให้ตนในเวลาเดียวกัน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ใจสั่นเยือก และเรื่องที่เขาจดจำได้แม่นยำที่สุดก็คือตอนนั้นหญิงสาวทั้งสองถึงขั้นพนันกันว่า เขาจะก้าวเท้าไหนออกมาจากประตูก่อน…

พอคิดมาถึงตรงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบเบี่ยงประเด็นไปพูดเรื่องอื่นทันที เขากังวลมากว่าหากยังพูดเรื่องนี้ต่อไป ไม่แน่ว่าอาจเกิดเรื่องอะไรที่ทำให้ตนปวดหัวก็เป็นได้

เดิมทีโหวเสี่ยวเม่ยก็ดีใจที่ได้พบกับป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่แล้ว พอเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเบี่ยงประเด็นจึงไม่ได้สนใจ นางคอยเจื้อยแจ้วเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่น่าสนใจในช่วงเวลาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่อยู่ให้อีกฝ่ายฟังไม่หยุด

พอถึงท้ายที่สุดนางก็พูดถึงเรื่องจุกจิกของตัวเองยามอยู่บนเกาะทงเทียน

ฟังน้ำเสียงของโหวเสี่ยวเม่ย ใบหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เผยรอยยิ้ม บางครั้งก็จุ๊ปากเอ่ยชื่นชม บางครั้งก็อดไม่ไหวโม้เรื่องของตัวเองไปสองสามคำ จนกระทั่งแสงอรุณสาดส่อง โหวเสี่ยวเม่ยถึงได้จากไปอย่างอาลัยอาวรณ์

นั่นเป็นเพราะวันที่สองนี้นักพรตของสี่สายต้องเข้าพบเทียนจุน นี่คือเรื่องใหญ่ โหวเสี่ยวเม่ยมีภารกิจติดตัวจึงไม่สามารถอยู่ต่อได้

หลังจากมองส่งโหวเสี่ยวเม่ยจากไป ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สูดลมหายใจเข้าลึก เขาแน่ใจมากว่าตั้งแต่ต้นจนจบ โหวเสี่ยวเม่ยไม่มีความผิดปกติใดๆ แม้แต่นิดเดียว

นี่จึงทำให้เขากลับเกิดข้อกังขาประโยคนั้นของตู้หลิงเฟย!

“ทำไมนางถึงต้องบอกให้ข้าระวัง…โหวเสี่ยวเม่ย?” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดเป็นร้อยตลบก็ยังไม่เข้าใจ คิดไปคิดมาก็ยังไม่ได้คำตอบ และไม่นานท้องฟ้าก็เริ่มสว่างโร่

เมื่ออาทิตย์แรกลอยขึ้นมาบนมหาสมุทรทงเทียนสีทอง เสียงระฆังโบราณที่ฟังแล้วเก่าแก่ราวกับผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานก็พลันก้องกังวานอยู่ในเกาะทงเทียนแห่งนี้…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version