Skip to content

A Will Eternal 924

บทที่ 924 ดูดพลังจากผมโลหิตเส้นหนึ่งของพ่อตา

ระฆังดังเจ็ดครั้ง หมายความว่านักพรตของสี่สายสามารถไปเข้าเฝ้าเทียนจุนได้แล้ว

เสียงระฆังนี้ดังกังวานน่าเกรงขามอย่างถึงที่สุด เมื่อคลื่นเสียงแผ่ไปทั่วฟ้าดินก็ทำให้ท้องนภามีแสงระยิบระยับสาดส่องขับดุนกับน้ำสีทองของมหาสมุทรทงเทียน กลายมาเป็นภาพที่งดงามจับตา

ยิ่งในจุดลึกของเกาะทงเทียน บนยอดเขาสูงตระหง่านทั้งสามลูกก็ยิ่งมีแสงสว่างเจิดจ้า ปานประหนึ่งแสงหนึ่งเดียวของโลก ขณะเดียวกันอานุภาพสยบที่อบอวลไปทั่วทั้งเกาะทงเทียน บัดนี้ก็ยิ่งแผ่อำนาจออกไปยิ่งใหญ่ไพศาล

เมื่อได้ยินเสียงระฆัง นักพรตสี่สายทุกคนซึ่งรวมป๋ายเสี่ยวฉุนต่างก็เดินออกมาจากที่พักของใครของมันทันที พอเงยหน้าขึ้นพวกเขาก็เห็นแสงระยิบระยับที่อยู่บนท้องฟ้า สัมผัสได้ถึงพลังอำนาจจากแสงบนยอดเขาทั้งสามที่แผ่กำจายไปหมื่นจั้งอย่างเกรียงไกร

และเวลานี้เอง เหล่าองค์รักษ์ของเกาะที่รับผิดชอบพานักพรตของสี่สายเข้าไปยังจุดลึกของเกาะทงเทียนก็มารวมตัวกันยังจุดที่พักของนักพรตจากแม่น้ำทั้งสี่ ทางฝ่ายป๋ายเสี่ยวฉุน คนรับผิดชอบเป็นนักพรตหญิงหน้าตาแฉล้มงดงามคนหนึ่ง นักพรตหญิงผู้นี้ไม่ใช่คนที่พาป๋ายเสี่ยวฉุนมาเมื่อวาน แต่เปลี่ยนมาเป็นคนใหม่

แม้จะมองไม่ออกว่าอีกฝ่ายมาจากแม่น้ำสายไหน ทว่าเมื่อหญิงสาวผู้นี้เผชิญหน้ากับป๋ายเสี่ยวฉุนที่เป็นคนฟ้าก็ดูกดดันอย่างเห็นได้ชัด แม้ตลอดทางที่เดินมาจะไม่ได้พินอบพิเทากับเขามากเป็นพิเศษ แต่ก็เกรงใจอย่างมาก เพราะอย่างไรซะต่อให้นางใกล้จะได้เป็นองค์รักษ์ตัวจริงของเกาะทงเทียนแล้ว ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าคนฟ้า นางก็ยังไม่กล้าทำตัวโอหังอยู่ดี

และในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนี้ ในฐานะที่นางคือ อนาคตองค์รักษ์ แม้จะมีตบะแค่รวมโอสถ ทว่าต่อให้เป็นก่อกำเนิดก็ยังต้องเกรงใจนางหลายส่วน เพียงแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนฟ้า นางก็ไม่กล้ายกตนข่มท่าน

เพราะสำหรับเทียนจุนแล้ว ระดับความสำคัญของคนฟ้านั้นไม่ใช่สิ่งที่อนาคตองค์รักษ์อย่างนางจะเทียบเคียงได้

และก็เป็นเช่นนี้ ภายใต้การนำทางของหญิงสาว ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงได้เดินขึ้นไปบนเทือกเขาใหญ่ยักษ์ที่เชื่อมโยงกับจุดลึกของเกาะทงเทียน จนกระทั่งข้ามผ่านเทือกเขาเข้ามายังจุดลึกของเกาะ…

สถานที่แห่งนี้อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของมวลบุปผา แว่วเสียงสกุณาขับขาน ปานประหนึ่งดินแดนแห่งเทพเซียน รอบด้านมองไปมีแต่สีเขียวชอุ่มเย็นตา ปราณวิญญาณก็เข้มข้นอย่างถึงที่สุด บางครั้งยังสามารถมองเห็นสัตว์วิเศษมากมายที่วูบผ่านไปท่ามกลางแมกไม้เขียวขจี

นี่ยังเป็นเรื่องรอง ตอนที่เข้ามายังจุดลึกของเกาะทงเทียน ป๋ายเสี่ยวฉุนยังค้นพบว่าแทบจะทั่วทุกแห่งของที่นี่ล้วนสามารถมองเห็นหญ้าวิเศษที่โลกภายนอกหาได้ยากยิ่งอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย!

และตอนนี้หญ้าวิเศษที่หาได้ยากเหล่านั้นกลับกลายมาเป็นแค่ตัวประกอบของแมกไม้เขียวชอุ่มบนเกาะทงเทียน!

ที่ยิ่งทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นตะลึงไปมากกว่านั้นก็คือเขายังได้เห็นสมุนไพรบางอย่างที่ว่ากันว่าสูญพันธ์ไปแล้ว อีกทั้งในบรรดานี้ยังมีไม่น้อยที่มีอายุหลายปี ไม่ว่าต้นใดก็ตามหากเอาออกไปข้างนอกต้องทำให้คนของโลกภายนอกคลุ้มคลั่งกันแน่นอน…

“รวยเกินไปไหมนี่…” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าต่อให้ตนมีความรู้กว้างขวางแค่ไหน แต่พอได้มาเห็นอย่างนี้ก็ยังกลืนน้ำลายดังเอื้อก ข่มกลั้นอารมณ์อยู่นานกว่าจะระงับความวู่วามที่จะเอื้อมมือไปเด็ดมาสักต้นเอาไว้ได้

และขณะที่เดินต่อไปเรื่อยๆ นี้ หัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งสั่นสะท้านไม่หยุด เขาไม่เพียงแต่ได้เห็นหญ้าวิเศษ เขายังถึงขั้นได้เห็น…อาวุธวิเศษที่ไม่มีเจ้าของด้วย!

อาวุธวิเศษเหล่านี้แต่ละชิ้นล้วนไม่ธรรมดา ทั้งยังมีวิญญาณก่อกำเนิดขึ้นมาด้านใน พวกมันจับกลุ่มกันบินทะยานอยู่บนเกาะทงเทียนราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทำให้คนเห็นอ้าปากกว้างตาค้าง

และบนพื้นดินยังสามารถมองเห็นธารน้ำเส้นเล็กๆ ได้หลายสาย ที่ไหลรินอยู่ในธารน้ำเหล่านี้ไม่ใช่น้ำทะเลสีทองอีกต่อไป แต่เป็นน้ำสีเกือบม่วง…แม้ว่าสีจะเข้มข้น ทว่าในความรู้สึกของคนที่ได้เห็น ปราณวิญญาณที่แฝงเร้นอยู่ในน้ำสีม่วงพวกนี้ต้องเหนือกว่าน้ำทะเลสีทองไปไกลโขแน่นอน!

ป๋ายเสี่ยวฉุนยังสัมผัสได้ด้วยว่ารอบด้านธารน้ำเล็กๆ ทุกเส้นมีปราณบางอย่างซุกซ่อนอยู่ ซึ่งต่อให้เป็นเขาเองก็ยังรู้สึกได้ว่ามันสำคัญอย่างถึงที่สุด ปราณเหล่านี้หากไม่มาจากพวกพืชหญ้าก็มาจากอาวุธวิเศษ และความเป็นไปได้ที่มากกว่านั้นก็คือตรงจุดนั้นๆ อาจมีสัตว์วิเศษที่พลังเทียบเคียงได้กับคนฟ้าซ่อนตัวอยู่!

ภาพเหตุการณ์ทั้งหลายทั้งแหล่เหล่านี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเพียงว่าที่นี่คือสถานที่ที่ร่ำรวยอู้ฟู่ที่สุดของโลก แม้นครจักรพรรดิขุยของแดนทุรกันดารจะน่าตะลึง ทว่าพอเปรียบเทียบกับขึ้นมาจริงๆ แล้ว แดนทุรกันดารกลับไม่สามารถทัดเทียมเกาะทงเทียนได้สักกะผีก

นี่ต่างหากถึงจะเรียกว่าดินแดนแห่งเซียนที่แท้จริง!!

นักพรตหญิงที่นำทางอยู่ข้างหน้าแอบลอบมองป๋ายเสี่ยวฉุน พอเห็นท่าทางตื่นตะลึงกับทุกภาพเหตุการณ์ของป๋ายเสี่ยวฉุน ในใจนางก็พลันมีความลำพองใจและภาคภูมิใจบังเกิดขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ นางก็พลันรู้สึกผูกพันและยอมรับในตัวตนอนาคตองค์รักษ์ของตัวเองในตอนนี้อย่างยิ่ง ทั้งยังปรารถนาว่าวันใดวันหนึ่งตนจะได้กลายมาเป็นองค์รักษ์ที่แท้จริง

ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้สนใจการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจของนักพรตหญิงผู้นี้ ตอนนี้เขารู้สึกเพียงว่าปากคอแห้งผาก ความรู้สึกที่เหมือนเห็นภูเขาขุมสมบัติกองอยู่ตรงหน้า ทั้งๆ ที่ไม่ว่าวัตถุชิ้นใดก็ล้วนทำให้ตบะของตนเพิ่มพูน หรือแม้แต่อายุขัยก็ยังยาวนานต่อไปได้ ทว่ากลับมิอาจทำได้แม้แต่จะแตะต้อง ทำเอาหัวใจเขาคันยิบๆ เหมือนมีแมวมาเกา

จนกระทั่ง…ยิ่งขยับเข้าไปลึกในเกาะทงเทียน ขยับเข้าไปใกล้ยอดเขาทั้งสามลูกนั้นเรื่อยๆ ฝีเท้าของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันชะงักกึก เขารู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งลอดผ่านม่านแสงที่มองไม่เห็นชั้นหนึ่งเข้ามา

พอผ่านม่านแสงเข้ามาแล้ว หูของเขาก็ได้ยินเสียงน้ำตกดังลอยมา พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นภาพภูมิทัศน์ที่หากอยู่โลกภายนอกจะไม่มีทางได้เห็นเด็ดขาด!!

ภูเขาทั้งสามลูกนั้น สองลูกซ้ายขวามีน้ำตกไหลลงมาจากยอดเขา ดุจดั่งนทีแห่งเก้าชั้นฟ้าที่ไหลรินลงมาจากสวรรค์ เมื่อตกกระทบลงเบื้องล่างก็มารวมตัวกันอยู่ในทะเลใหญ่ยักษ์กลางเกาะ!!

พื้นที่อันเป็นจุดศูนย์กลางของเกาะทงเทียนแห่งนี้ไม่ใช่พื้นดินราบเรียบ แต่เป็น…ทะเลสาบขนาดมหึมาผืนหนึ่งที่คล้ายกับมหาสมุทร!

และน้ำของทะเลสาบนี้ก็เป็นสีม่วงเช่นกัน ยอดเขาทั้งสามลูกตั้งตระหง่านอยู่บนทะเลสาบ น้ำตกที่ไหลจากภูเขาสองลูกซ้ายขวาลงมายังทะเลสาบทำให้เกิดเสียงสาดกระทบดังสนั่นหวั่นไหว ผิวน้ำก็ยิ่งกระแทกปะทะกันจนเกิดเป็นไอน้ำจำนวนนับไม่ถ้วนพวยพุ่งขึ้นสูง

และตำหนักหลายหลังก็ถูกปกคลุมอยู่ในไอน้ำพวกนี้ แต่ละตำหนักตั้งเรียงรายยาวไปจนถึงยอดเขา ส่วนบนยอดเขานั้นก็คือตำหนักใหญ่น่าตื่นตะลึง หรูหราเกินหาสิ่งใดเปรียบซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นหนึ่งตำหนักหลักสองตำหนักรอง!

ป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดตามองทีเดียวก็เห็นว่าตำหนักที่อยู่บนยอดเขาทั้งสามนี้มีมากจนเกินจะนับได้ไหว

ยิ่งบนยอดเขาหลักที่อยู่ตรงกลางซึ่งมีรูปสลักขนาดใหญ่ยักษ์ตั้งตระหง่าน หน้าตาของรูปปั้นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่มองปราดเดียวก็จำได้ว่า…นั่นคือเทียนจุน!

และใต้ฝ่าเท้าของเขาถึงจะเป็นตำหนักใหญ่ที่เปี่ยมล้นไปด้วยพลังอำนาจที่สุดบนโลกทงเทียนใบนี้!

ตำหนักเทียนจุน!

อาณาบริเวณโดยรอบพื้นที่นี้มีชื่อเรียกหนึ่งที่ทำให้คนทั้งโลกกระตือรือร้นกันอย่างบ้าคลั่ง…นั่นคือ…ตำหนักแห่งเต๋า!

หัวใจป๋ายเสี่ยวฉุนเต้นระรัว ลมหายใจหอบถี่ ตอนที่มองไป แม้ว่าไอน้ำพวกนั้นจะแผ่ปกคลุมอย่างต่อเนื่องจนทำให้ตำหนักแห่งเต๋ามองดูเลือนราง แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังเห็นได้ว่าในตำหนักแห่งเต๋ามีนางกำนัลจำนวนนับไม่ถ้วน และยังมีองค์รักษ์อีกเป็นจำนวนมาก แต่ละคนยืนด้วยท่าทางนิ่งสงบ ทว่าความเย่อหยิ่งในดวงตากลับเด่นชัดเป็นพิเศษ

พอมาถึงที่แห่งนี้ นักพรตหญิงคนนั้นก็รีบนำป๋ายเสี่ยวฉุนไปหยุดยืนบนลานกว้างขนาดมหึมาข้างทะเลสาบ ซึ่งลานกว้างนั้นอยู่ตรงข้ามกับภูเขาหลักพอดี เมื่อเงยหน้าก็จะมองเห็นยอดเขาหลัก มองเห็นรูปปั้นใหญ่ยักษ์ของเทียนจุนที่เหมือนยืนค้ำฟ้าดินอยู่ตรงนั้นได้อย่างชัดเจน

บนลานกว้างในเวลานี้มีนักพรตของสี่สายมาถึงกันไม่น้อยแล้ว ดวงตาของแต่ละคนฉายความเร่าร้อนอย่างบ้าคลั่ง พวกเขามองไปรอบด้านและมองรูปปั้นบนยอดเขาหลักด้วยความตื่นเต้น

พวกจางต้าพั่งก็อยู่ในกลุ่มคนนี้ด้วย เวลานี้หัวใจของแต่ละคนเปี่ยมไปด้วยความห้าวเหิมคึกคัก พอเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึง คนของแม่น้ำทงเทียนสายตะวันออกก็พากันมารวมตัวกับเขาทันที

“ตำหนักแห่งเต๋านี้คือสถานที่ที่หรูหราที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเห็นมาในชีวิตเลย!”

“พวกเจ้าเห็นหรือยัง บนทางที่พวกเราเดินมาก่อนหน้านี้มีดอกเซียนหลัวด้วยดอกหนึ่ง สวรรค์ นั่นมันคือหญ้าเซียนที่จะปรากฏตัวเป็นบางคราในยุคดึกดำบรรพ์เท่านั้นนะ เล่าลือกันว่าหากใครกินเข้าไปจะทำให้คนธรรมดามีตบะถึงรวมโอสถทันที!!”

“นั่นยังเล็กน้อย ข้ายังเห็นมังกรยักษ์สองหัวตัวหนึ่งด้วย นั่นมันคือมังกรเชียวนะ แถมมีตั้งสองหัว…บนโลกใบนี้มีน้อยยิ่งกว่าน้อย!”

ทุกคนของแม่น้ำทงเทียนสายตะวันออกต่างก็ใจสั่นสะท้าน พากันวิพากษ์วิจารณ์ไม่หยุด คนของอีกสามสายก็เป็นเช่นเดียวกัน น้อยคนนักที่จะสงบปากสงบคำได้ในเวลาอย่างนี้

นั่นเป็นเพราะตำหนักแห่งเต๋านี้ทำให้ทุกคนสะท้านสะเทือนกันอย่างถึงที่สุด

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ต้องสูดลมหายใจติดๆ กัน เขาเงยหน้ามองรูปปั้นของเทียนจุน รูปปั้นนี้เหมือนจริงอย่างมาก เหมือนกับเทียนจุนตัวจริงที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเคยเห็นอย่างไม่มีผิดเพี้ยน แทบจะไม่มีจุดต่างตรงไหนเลย

ยิ่งตรงหน้าผากของรูปปั้นเทียนจุน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็มองเห็นด้วยว่ามี…เส้นผมโลหิตอยู่เส้นหนึ่ง!

วินาทีที่เห็นผมโลหิตเส้นนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ใจหายวาบ และเวลานี้เอง เขาก็ได้ยินเสียงแว่วๆ มาจากแฝดอวิ๋นเหลยแห่งสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าที่กำลังพูดคุยเบาๆ กับพวกนักพรตที่ยืนอยู่ข้างกายว่า

“พวกเจ้าเห็นผมสีเลือดตรงหน้าผากใต้เท้าเทียนจุนหรือยัง เล่าลือกันว่าผมโลหิตเส้นนั้นคืออาวุธล้ำค่าแห่งชีวิตที่ท่านผู้อาวุโสเทียนจุนหลอมขึ้นมาด้วยตัวเอง มีพลังไร้ที่สิ้นสุด ให้โชควาสนาสูงส่ง ลึกลับเกินจะหยั่งถึง!”

เดิมทีประโยคนี้เป็นเพียงแค่คำแนะนำที่แฝดอวิ๋นเหลยพูดให้นักพรตข้างกายตัวเองฟัง แต่พอมาดังเข้าหูของป๋ายเสี่ยวฉุน กลับทำให้เขายิ่งตื่นตระหนก ร้อนตัวขึ้นมาทันที

จะไม่ให้เขาไม่ร้อนตัวได้ยังไง เขาเป็นกังวลมากจริงๆ นะ หากเทียนจุนรู้เข้าว่าเส้นผมโลหิตที่ล้ำค่าขนาดนี้ถูกตนดูดพลังเอามา…ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเอาตนไปหลอมเป็นผมโลหิตเส้นใหม่หรือเปล่า

“ผมโลหิตเส้นนั้นไม่เห็นจะอัศจรรย์อย่างที่แฝดอวิ๋นเหลยพูดสักหน่อย ข้าดูดไปแล้วก็แค่ทำให้กระดูกคงกระพันถึงขั้นสมบูรณ์แบบเท่านั้น”

ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำอยู่ในใจอย่างกระวนกระวาย ครุ่นคิดว่าหากความสัมพันธ์ระหว่างตนและตู้หลิงเฟยก้าวหน้าไปอีกขั้น บางทีเทียนจุนก็อาจเป็นท่านพ่อตาของตนก็ได้ และการที่ดูดพลังจากผมเส้นหนึ่งไปจากท่านพ่อตา ตามหลักแล้ว…ต่อให้อีกฝ่ายรู้เข้าก็ไม่น่าจะใช่เรื่องใหญ่อะไร…

คิดมาถึงตรงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กะพริบตาปริบๆ

รีบหันซ้ายหันขวามองหาตู้หลิงเฟยทันที

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version