Skip to content

A Will Eternal 885

บทที่ 885 ขว้างออกไป

“พวกเจ้า!!” บุรพาจารย์ธาราเทพคำรามเดือดดาล รีบเพิ่มพลังให้กับค่ายกล บุรพาจารย์ธาราโลหิตที่อยู่ข้างกันก็หอบหายใจถี่รัว ไฟโทสะลุกท่วมไปทั้งร่าง ปราณดุร้ายแผ่ตลบอบอวล

“รังแกกันมากเกินไปแล้ว!! สำนักสยบธารของข้ามีความผิดอะไร!!”

“ตอนที่สมควรถูกดับทำลาย พวกเจ้าบังอาจต่อต้าน นี่ก็คือความผิด!” เสียงของบุรพาจารย์สำนักธารดาราดังก้อง ในใจก็ยิ่งฮึกเหิม เขารู้สึกว่าก่อนหน้านี้ตอนที่เผชิญหน้ากับป๋ายเสี่ยวฉุน ตนหนีหัวซุกหัวซุนน่าขายหน้าเกินไป เวลานี้เมื่อได้กลับมาก็ต้องแก้แค้นให้สำเร็จจงได้

“ป๋ายเสี่ยวฉุน โผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้!!”

“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้ายึดทรัพย์สำนักธารมรรคาของข้าไปเกลี้ยงเท่าไหน วันนี้ข้าผู้อาวุโสก็จะมาริบทรัพย์สำนักสยบธารของเจ้าไปเกลี้ยงเท่านั้น!”

บุรพาจารย์สำนักธารมรรคาก็เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยขึ้นเช่นเดียวกัน ความเกลียดแค้นในใจของเขาพวยพุ่งเทียมฟ้าอยู่นานแล้ว

เมื่อคนทั้งสองบินดิ่งเข้าหาค่ายกลของสำนักสยบธารพร้อมกัน เสียงตูมตามก็ดังกึกก้อง ภูเขาที่ตั้งสำนักสยบธารสั่นสะเทือนไหวโอนเอนเหมือนจะพังมิพังแหล่!

ค่ายกลใหญ่ของสำนักมองดูเหมือนแข็งแกร่ง แต่ความเป็นจริงกลับมิอาจต้านทานการโจมตีติดต่อกันของคนฟ้าได้ เมื่อเห็นว่าค่ายกลใกล้จะพังลงทุกขณะ ความสิ้นหวังของคนทั้งสำนักสยบธารก็ไต่ทะยานขึ้นสูงอย่างบ้าคลั่ง ทว่าทันใดนั้นเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับดังเข้ามาในหูของบุรพาจารย์ธาราเทพและบุรพาจารย์ธาราโลหิต

“ช่วยถ่วงเวลาให้ข้า!”

เมื่อเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนดังออกมา บุรพาจารย์ธาราเทพก็โบกมือ เปล่งเสียงกังวานไปสี่ทิศ

“ลูกศิษย์ทุกคนผสานพลังเข้าไปในต้นมะเดื่อฟ้า!!”

ขาดคำของเขา ลูกศิษย์ทุกคนในสำนักสยบธารก็พากันร้องคำรามแล้วห้อบึ่งไปยังต้นมะเดื่อฟ้า ก่อนจะกรอกเทพลังตบะของตัวเองเข้าไปให้ต้นมะเดื่อฟ้าอย่างเต็มำลัง

ทันใดนั้นต้นมะเดื่อฟ้าก็พลันส่องแสงเจิดจ้าพร่างพราว มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่ารอยแตกบนม่านแสงค่ายกลประสานตัวกันอย่างรวดเร็ว เวลานี้ลูกศิษย์ทุกคนในสำนักสยบธารล้วนมารวมกันที่ต้นมะเดื่อฟ้าแทบทั้งหมด

ไม่เพียงแต่พวกลูกศิษย์เท่านั้นที่ทำเช่นนี้

นักพรตก่อกำเนิดแทบทุกคนต่างก็ทำแบบเดียวกัน หรือแม้แต่บุรพาจารย์ธาราเทพก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย มีเพียงบุรพาจารย์ธาราโลหิตเท่านั้นที่พาลูกศิษย์ส่วนของสายธาราโลหิตพุ่งตัวเข้าไปในร่างของบรรพบุรุษโลหิต

บรรพบุรุษโลหิตลืมตาโพลง เงยหน้าแผดเสียงคำรามขึ้นฟ้า ลุกพรวดขึ้นยืน เรือนกายที่ใหญ่โตของเขาเหมือนกลายมาเป็นม่านแสงที่บดบังสำนักสยบธาร กลายมาเป็นแนวป้องกันอีกชั้นหนึ่ง!

และยังมีเถี่ยตั้นที่หลังจากร้องคำรามก็พุ่งตัวมาอยู่ข้างหน้าบรรพบุรุษโลหิต มันจ้องเขม็งไปยังคนฟ้าห้าคนที่อยู่นอกค่ายกล นัยน์ตาฉายชัดถึงความเกลียดแค้นและไอสังหาร

ปฏิกิริยาตอบสนองของสำนักสยบธารทำให้พวกเฉินเห้อเทียนหรี่ตา ในใจตกตะลึงน้อยๆ เพราะในสายตาของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นความเร็วหรือแผนการในการรับมือกับปัญหา สำนักสยบธารก็ล้วนทำได้ดีเหนือกว่าสำนักแม่น้ำตอนกลางทั่วไปหลายเท่าตัว

อย่างค่ายกลจากต้นมะเดื่อฟ้าที่ตอนนี้เมื่อลูกศิษย์ทุกคนของสำนักสยบธารพากันถ่ายเทตบะไปประคับประคองอย่างไม่เสียดาย ก็ยังทำให้พวกเขาขมวดคิ้วน้อยๆ ได้

และยังมียักษ์บรรพบุรุษโลหิตกับเถี่ยตั้นที่ถึงแม้จะสร้างภัยคุกคามให้กับพวกเขาได้ไม่มากนัก แต่หากอีกฝ่ายเข้ามาขัดขวางก็ยากที่จะทำให้พวกเขาทำลายค่ายกลได้ในเวลาอันสั้นอย่างแท้จริง

แต่ว่านี่ก็เป็นแค่คลื่นเล็กๆ ที่กระเพื่อมขึ้นมาเท่านั้น พวกเฉินเห้อเทียนสามคนเพียงแค่แปลกใจเล็กน้อย ทว่าไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ เวลามองดูเหมือนกระชั้นชิด แต่พวกเขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าอาจไม่ถึงขั้นเหลือเฟือ แต่ก็มากพอให้ทำสำเร็จ

ที่สำคัญที่สุดก็คือค่ายกลของสำนักสยบธารนี้ หากไม่มีป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังพอทำเนา แต่ถ้ามีป๋ายเสี่ยวฉุนก็อาจจะมีกับดักอะไรบางอย่าง แล้วพวกเขาจะทะเล่อทะล่าพาตัวเขาเข้าไปติดกับได้อย่างไร ดังนั้นการที่ให้บุรพาจารย์สำนักธารมรรคาและสำนักธารดาราเป็นทัพหน้าสำรวจเส้นทางก็ย่อมเป็นวิธีที่ดีที่สุด

พวกเขาจับตามองอย่างไม่ให้คลาดสายตา

เพื่อป้องกันไม่ให้ป๋ายเสี่ยวฉุนหนีไปไหนได้ ในสายตาของพวกเขา สถานการณ์เช่นนี้มีความเป็นไปได้สูงมากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะเผ่นหนี

การที่ปล่อยให้คนฟ้าคนหนึ่งหายไป ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการเห็น แม้จะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก แต่วันหน้าก็ย่อมต้องมีปัญหาเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

และป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ก็กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับ ดวงตาทั้งคู่ของเขาเหมือนจะหลั่งเลือด ในใจร้อนรนจนมิอาจหาคำใดมาบรรยาย เขารู้ดีถึงสถานการณ์ภายนอก แล้วก็รู้ด้วยว่าสำนักสยบธารในเวลานี้ตกอยู่ท่ามกลางวิกฤตคับขัน

แต่เขากลับอับจนหนทาง หากออกไปตอนนี้ เผชิญหน้ากับคนฟ้าห้าคน ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ดีอยู่แก่ใจว่าตัวเองไม่มีโอกาสที่จะชนะแม้แต่เสี้ยวเดียว และหากตนตายไป ถ้าเช่นนั้นชะตาของสำนักสยบธารก็คงหนีไม่พ้นต้องถูกดับสำนัก

ทางรอดเดียวที่มี…ก็คือหลอมไฟยี่สิบเอ็ดสีให้สำเร็จ อาศัยไฟของอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นฟ้านี้มาทำให้ตบะฝ่าทะลุ ก้าวเข้าสู่ขอบเขตคนฟ้า เมื่อถึงเวลานั้นเขาก็จะสามารถคลี่คลายวิกฤตของสำนักได้อย่างแท้จริง!

แน่นอนว่ายังมีอีกวิธีหนึ่ง ก็คือ…หนีเอาตัวรอด เมื่อเป็นเช่นนั้น ขอแค่ตนปลอดภัยก็จะกลายมาเป็นภัยคุกคามให้กับทุกคนในวันหน้า ใช้วิธีการเช่นนี้มาปกป้องสำนักสยบธารทางอ้อม

แต่หากไม่ถึงขีดสุดจริงๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่อยากทำเช่นนั้น ยามนี้ความเสี่ยงจากการเดิมพันมีสูงมากเกินไป หากเขาวิเคราะห์ผิดพลาด สำนักสยบธารก็จะถูกลบชื่อหายไปจากโลกแห่งการบำเพ็ญตบะตลอดกาล

“หลอมไฟ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องคำราม ข่มกลั้นความร้อนรนในใจ แล้วเริ่มหลอมไฟยี่สิบเอ็ดสีอีกครั้ง และในความเป็นจริงตลอดหลายวันมานี้เขาก็ทำการหลอมไฟมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง

เขาที่มีพรสวรรค์ในด้านการหลอมไฟจนกลายมาเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดินขั้นสูงสุด เวลานี้จึงสามารถหลอมไฟหนึ่งครั้งได้ในระยะเวลาที่สั้นที่สุด และตอนนี้วิญญาณปริมาณมหาศาลในถุงเก็บของของเขาก็ถูกเผาผลาญไปแล้วถึงครึ่งหนึ่ง

การทดลองที่ไม่รู้ว่าทำไปแล้วกี่ครั้ง แม้จะล้มเหลวทุกครั้ง แต่ประสบการณ์ที่มันมอบให้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สามารถพูดได้ว่าความล้มเหลวในแต่ละครั้งก็คือการพัฒนาไปหลายก้าว เมื่อมาถึงตอนนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงคุ้นเคยกับตำรับหลอมไฟประดุจฝ่ามือของตัวเอง ส่วนขั้นตอนการหลอมไฟเขาก็เชี่ยวชาญอย่างถึงที่สุด และหลังความล้มเหลวในแต่ละครั้ง ปัญหาทุกอย่างที่เป็นกุญแจสำคัญก็ยิ่งถูกคลี่คลายและคิดหาวิธีการแก้ไขปัญหาได้ทีละจุด

“ข้าน่าจะหลอมได้สำเร็จ!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนดวงตาแดงก่ำ ทำการหลอมไฟอีกครั้ง เขารู้ดีว่าสำนักไม่มีทางยืนหยัดได้นานนัก ในใจจึงเต็มไปด้วยความกดดันอัดอั้น แม้ว่าจะอยู่ในห้องลับ แต่เสียงอึกทึกภายนอกก็ยังดังแว่วมาให้ได้ยินอย่างไม่ขาดสาย

ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ บังคับให้ตัวเองสงบลง

ทันใดนั้นมือทั้งคู่ที่ทำมุทราก็พลันโบกออกไปอย่างแรง วิญญาณจำนวนมากกระจายตัวออกไปสี่ทิศ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่จ้องมองไปข้างหน้าตาไม่กะพริบเริ่มหลอมไฟใหม่อีกครั้ง!

เมื่อวิญญาณผสานรวมกัน ทะเลเพลิงก็ค่อยๆ ปรากฏ ทะเลเพลิงนี้ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนควบคุมให้อยู่ในขอบเขตที่แน่นอน ไม่ให้มันระเบิดออกได้ ทว่าขณะที่กำลังจะบีบอัดเข้าด้วยกันนั้น จู่ๆ ข้างนอกกลับมีเสียงกัมปนาทเขย่าท้องฟ้าดังลอยมา ป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่นระรัวอย่างบ้าคลั่ง ไม่อยากจะวอกแวกเสียสมาธิ แต่ก็อดกวาดอำนาจจิตไปมองไม่ได้

แล้วเขาก็เห็นทันทีว่าภายใต้การร่วมมือกันของบุรพาจารย์สำนักธารมรรคาและสำนักธารดารา ตอนนี้ค่ายกลใหญ่ได้เกิดรอยปริแตกขนาดยักษ์เส้นหนึ่ง รอยแตกนั้นปรากฏขึ้นพร้อมกับที่ลูกศิษย์ทุกคนในสำนักสยบธารกระอักเลือดพ่นเป็นสาย

ภาพนี้ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนที่มองอยู่เจ็บแค้นแทบบ้า ทะเลเพลิงในมือเริ่มไม่มั่นคงจึงเกิดแววว่าจะพังทลาย เขาจึงรีบผุดลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปอย่างไร้ซึ่งความลังเลใด พริบตาเดียวก็มาปรากฏตัวอยู่บนท้องฟ้า เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนเผยกาย พวกคนฟ้าสามคนอย่างเฉินเห้อเทียนที่อยู่นอกค่ายกลก็หันขวับมามองเขาทันที

ทว่าวินาทีที่พวกเขาหันมามอง คนทั้งสามกลับหน้าเปลี่ยนสีในฉับพลัน พวกเขามองเห็นว่าในมือของป๋ายเสี่ยวฉุนมีเปลวเพลิงกลุ่มหนึ่งที่ทำให้พวกเขาหวาดผวาจนถึงขั้นสัมผัสได้ถึงวิกฤตอันตรายรุนแรง เปลวเพลิงนั้นมองดูพลุ่งพล่านบ้าระห่ำ คล้ายจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ

“เถี่ยตั้นหลบไป!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามดังลั่นแล้วโคจรตบะของทั้งร่าง พลังกล้ามเนื้อก็ยิ่งระเบิดครบทุกสัดส่วน ชั่วขณะที่ทะเลเพลิงในมือกำลังจะระเบิดออก เขาก็ขว้างมันออกไป ทะเลเพลิงปานประหนึ่งลูกไฟขนาดมหึมาที่ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนขว้างออกมาจากรอยแยกของค่ายกลอย่างแรง

“รีบถอย!” พวกเฉินเห้อเทียนสามคนหน้าเผือดสี รีบออกคำสั่งให้กับบุรพาจารย์สำนักธารมรรคาและสำนักธารดารา ส่วนพวกเขาสามคนนั้นไม่ได้ถอยหนี แต่พุ่งกรากออกมาลงมือพร้อมกัน หมายจะสยบลูกไฟนั้นไว้ให้ได้

เพียงแต่ว่าบุรพาจารย์สำนักธารมรรคาและสำนักธารดาราถอยช้าเกินไป เสียงกัมปนาทดังสนั่นหวั่นไหวพลันระเบิดออกมาจากในลูกไฟ ทะเลเพลิงน่าครั่นคร้ามอย่างที่ไม่อาจหาคำใดมาบรรยายซัดตะลุยกวาดไปรอบทิศอย่างโหดเหี้ยมพร้อมๆ กับเสียงครืนครั่นเกริกก้องที่ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี

มองไกลๆ ทะเลเพลิงนั้นน่าตกใจยิ่งนัก พลังน่ากลัวชวนขวัญสะท้านที่แผ่ออกมาเผาไหม้ความว่างเปล่าโดยรอบ ขณะเดียวกันก็ทำให้พื้นดินนอกสำนักสยบธารไหม้เกรียมดำปี๋!

ส่วนบุรพาจารย์สำนักธารมรรคาและสำนักธารดาราก็ยิ่งตัวสั่นเทิ้ม คนหนึ่งกระอักเลือดอย่างบ้าคลั่ง อีกคนวิญญาณต้นกำเนิดเริ่มไม่มั่นคง รีบถอยกรูดรวดเร็ว นี่เป็นเพราะพวกเฉินเห้อเทียนสามคนขัดขวางไว้ได้ทัน หาไม่แล้วบุรพาจารย์สำนักธารมรรคาและสำนักธารดาราต้องบาดเจ็บสาหัสแน่นอน

ที่ลูกไฟระเบิดอานุภาพได้ถึงเพียงนี้เป็นเพราะเพิ่งปรากฏตัวเป็นครั้งแรก อีกทั้งยังถูกขว้างในระยะประชิดอย่างแม่นยำ หากอีกฝ่ายมีการเตรียมการไว้ก่อนก็ยากที่จะทำได้ถึงขั้นนี้

“ป๋ายเสี่ยวฉุน!!” บุรพาจารย์สำนักธารดาราคำรามคลั่งแค้น ตอนที่เขาหันขวับไปมองป๋ายเสี่ยวฉุน

ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หมุนกายขวับหายตัวไปแล้ว เมื่อเขาปรากฏตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในห้องลับด้วยความตื่นเต้นลนลาน ก่อนจะเริ่มทำการหลอมไฟอีกครั้ง เพียงแต่ว่าไม่รู้ทำไมคราวนี้แรงกดดันถึงได้ลดน้อยลง

“ก่อนหน้านี้ข้านี่โง่จริงๆ ล้มเหลวก็ช่างหัวมันสิ ล้มเหลวข้าก็ขว้างออกไปแม่งเลย!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นด้วยกับความคิดนี้เป็นอย่างยิ่ง แล้วจู่ๆ ก็พลันรู้สึกว่าตนช่างหัวไวรับมือกับเหตุการณ์เฉพาะหน้าได้ดียิ่งนัก ครุ่นคิดว่าหากเป็นคนอื่นปิดด่านคงไม่กล้าวอกแวกเพราะกลัวจะล้มเหลว และหวังจะปรากฏตัวอย่างงดงามหลังทำสำเร็จ

ทว่าตนนั้นร้ายกาจยิ่งกว่า ไม่เพียงไม่จำเป็นต้องรอให้สำเร็จ ทุกครั้งที่ทำล้มเหลวก็ยังเอามาสยบขวัญศัตรูได้ด้วย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version