บทที่ 886 ไฟยี่สิบเอ็ดสีชั้นฟ้า
คิดมาถึงตรงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกว่าตัวเองคืออัจฉริยะผู้มากพรสวรรค์อย่างแท้จริง
“ถูกต้อง หากพวกเขาดวงซวย ข้าทำล้มเหลวทุกครั้ง ข้าก็จะขว้างใส่พวกเขาให้ตายกันแม่งให้หมด!” ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิมอยู่ในใจ ขณะที่เขาเริ่มหลอมไฟต่อ พวกคนของสำนักสยบธารก็กำลังตื่นตะลึงไปกับภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ อารมณ์คึกคักเริ่มกลับมา รีบซ่อมแซมค่ายกลอย่างว่องไว และไม่นานรอยแตกบนค่ายกลก็ประสานตัวกลับคืนมาดีดังเดิมอีกครั้ง
ส่วนบุรพาจารย์สำนักธารมรรคาและสำนักธารดารานั้นก็ลังเลกันไปพักใหญ่ เพราะยังตกใจผวาไปกับทะเลเพลิงที่พุ่งพรวดออกมากะทันหันก่อนหน้านี้
“เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนสมควรตาย!” เฉินเห้อเทียนเองก็กัดฟันกรอด พอมองลูกไฟแล้วไพล่นึกไปถึงเตาหลอมยาระเบิดซึ่งเคยใช้ที่กำแพงเมืองเขาก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ เมื่อเดินออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าวก็มาปรากฏตัวอยู่ข้างม่านแสงค่ายกล สายตาของเขาโชนแสงคมกริบ ก่อนจะยกมือขวาขึ้นแล้วตบลงไปบนค่ายกลอย่างแรง
ขณะเดียวกันดวงตาของป๋ายเจิ้นเทียนและหลี่เสี่ยนเต้าก็เปล่งประกายวาบ พริบตาเดียวก็เดินตามออกมาแล้วลงมือโจมตีม่านแสงค่ายกลอย่างพร้อมเพรียงกัน
เมื่อเห็นอย่างนี้ บุรพาจารย์สำนักธารมรรคาและสำนักธารดาราก็ไม่หวาดหวั่นอีกต่อไป และทันใดนั้นภาพเหตุการณ์ที่คนฟ้าทั้งห้าพร้อมใจกันลงมือโจมตีค่ายกลก็เกิดขึ้น
บุรพาจารย์ธาราเทพหน้าเปลี่ยนสี ลูกศิษย์ทุกคนของสำนักสยบธารกลับมาตึงเครียดกันอีกครั้ง บรรพบุรุษโลหิตและเถี่ยตั้นพากันบินออกมาหยุดอยู่ริมค่ายกลอย่างรวดเร็ว ช่วยกันต้านทานสุดกำลัง เสียงตูมตามดังสนั่นหวั่นไหว เมื่อพวกเฉินเห้อเทียนสามคนลงมือ แรงสั่นสะเทือนรุนแรงไปถึงชั้นฟ้า พวกเขาสามคนต่างก็เป็นคนฟ้าช่วงกลาง หาใช่คนที่บุรพาจารย์สำนักธารมรรคาและสำนักธารดาราจะมาเทียบเคียงได้
ยามนี้เมื่อลงมือก็มีตราฝ่ามือขนาดใหญ่ยักษ์สามตราที่กระแทกลงไปบนม่านแสงค่ายกลพร้อมเสียงเกริกก้อง ตลอดทั้งค่ายกลสั่นสะเทือน ริ้วคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วนกระเพื่อมแผ่ไปทั่ว ขณะเดียวกันรอยปริแตกขนาดใหญ่ยักษ์ก็แผ่ลุกลาม ลูกศิษย์ทุกคนในสำนักสยบธารถูกแรงสะเทือนโจมตีจนกระอักเลือด เมื่อเผชิญหน้ากับการลงมือของคนฟ้าห้าคน ค่ายกลนี้ก็มิอาจต้านทานได้เลย ท่ามกลางเสียงอึกทึกโครมคราม พริบตาเดียวรอยแตกก็ยิ่งขยายวงกว้างเพิ่มจำนวนไม่หยุดยั้ง ดูท่าอีกไม่นานค่ายกลนี้ก็คงแตกสลายอย่างสมบูรณ์แบบ
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในห้องลับก็เริ่มร้อนใจขึ้นมาบ้างแล้ว เมื่อตัดสินใจได้อย่างเหี้ยมหาญ เขาก็โบกมือขวาหนึ่งครั้ง ก่อนที่ไฟสิบหกสีห้ากลุ่ม ไฟสิบเจ็ดสีสามกลุ่มจะโผล่ออกมาแล้วถูกเขาขว้างออกไปนอกค่ายกลทันที และวินาทีที่พวกมันถูกขว้างออกไปนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็อาศัยอำนาจจิตควบคุมให้ไฟหลายสีหลายกลุ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง จากที่มั่นก็มีแววว่าจะแตกสลาย และเพียงแค่พริบตาเดียวก็ระเบิดตูมออกมา
เสียงตูมตามดังสะเทือนเลือนลั่นปฐพี การระเบิดของไฟหลายสีกลายมาเป็นทะเลเพลิงที่แม้จะสู้ก่อนหน้านี้ไม่ได้ แต่ก็ยังน่าครั่นคร้ามอยู่ดี เพียงแต่ว่าพวกเฉินเห้อเทียนได้เตรียมรับมือไว้ก่อนแล้ว เวลานี้จึงถอยกรูดออกห่าง แม้จะเบี่ยงหลบทะเลเพลิงออกมา แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังได้หยั่งเชิงวิธีการของป๋ายเสี่ยวฉุน
“หึ คิดจะถ่วงเวลาอย่างนั้นรึ…ข้าก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าไฟแบบนี้ เขาจะมีได้สักกี่มากน้อย!” เฉินเห้อเทียนแค่นเสียงเย็น ขณะที่กำลังจะขยับเข้าไปใกล้อีกครั้ง เรือนกายใหญ่โตของบรรพบุรุษโลหิตกลับยกมือทั้งคู่กดลงไปบนต้นมะเดื่อฟ้า แม้แต่เถี่ยตั้นเองก็ยังเอาร่างไปแนบติดกับต้นมะเดื่อฟ้าเช่นกัน
กระทั่งสัตว์วิเศษทุกตัวในสำนักสยบธารก็ล้วนพากันห้อตะบึงมาอย่างว่องไว เห็นได้ชัดว่าตอนนี้คนทั้งสำนักได้สละทิ้งพลังการต่อสู้ทั้งหมดเอามาใช้ในด้านการป้องกันแทน!
เมื่อเป็นเช่นนี้ ค่ายกลที่กำลังจะแตกทลายจึงพลันส่องแสงพร่างพราวแล้วประสานตัวเข้าหากันอย่างรวดเร็วอีกครั้ง เมื่อทะเลเพลิงจางหายไป ค่ายกลก็กลับมาดีดังเดิม
ร่างของพวกเฉินเห้อเทียนขยับวูบเข้ามาอีกครั้ง เมื่อเข้ามาใกล้ก็ลงมือโจมตีอย่างไม่รั้งรอ เพียงแต่ว่าค่ายกลนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าก่อนหน้านี้มากนัก อีกทั้งป๋ายเสี่ยวฉุนยังคอยแบ่งสมาธิโยนกองไฟออกมากองแล้วกองเล่า เมื่อกองไฟเหล่านั้นกลายเป็นทะเลเพลิง ในที่สุดก็ทำให้ค่ายกลนี้ประคองตัวเอาไว้ได้
พอเป็นอย่างนี้ความเดือดดาลของเฉินเห้อเทียนก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
ป๋ายเจิ้นเทียนและหลี่เสี่ยนเต้าเองก็มีอาการไม่ต่างกัน ยิ่งหลี่เสี่ยนเต้าก็ยิ่งตะลึงกว่าใคร ตอนนี้พวกเขามองออกแล้วว่าไฟพวกนี้ล้วนเป็นไฟหลายสี
ก่อนหน้านี้ป๋ายเสี่ยวฉุนเคยไปอยู่ในแดนทุรกันดาร การที่เขาได้ไฟหลายสีมาครอบครองเป็นจำนวนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่นั่นก็ยังทำให้พวกเขาตกตะลึงได้มากอยู่ดี ทว่าที่มากกว่านั้นคือความเสียดาย!
“สมควรตายนัก ไฟหลายสีมากมายขนาดนี้ ไม่ว่ากองไหนก็มีมูลค่ามากเกินคำบรรยาย แต่นี่เขากลับเอามาทิ้งเปล่าอย่างไม่เสียดาย!!”
“ตอนที่อยู่ในแดนทุรกันดาร เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนไปหาไฟหลายสีมากมายขนาดนี้มาจากที่ไหน!!”
ในใจคนทั้งสามตะลึงลาน แต่ยิ่งมากด้วยความคับแค้น การระเบิดของไฟหลายสีพวกนั้นทำให้พวกเขาไม่กล้าเข้าไปใกล้เกินไป อีกทั้งค่ายกลของสำนักสยบธารก็ยังฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว นี่จึงทำให้พวกเขาไม่สามารถทำลายม่านแสงค่ายกลได้ในทันที
ต้องรู้ว่านี่คือคนฟ้าถึงห้าคน แต่ดันทำลายค่ายกลของสำนักแม่น้ำตอนกลางไม่ได้ นี่จึงทำให้พวกเฉินเห้อเทียนสามคนรู้สึกหงุดหงิดกันอย่างยิ่ง
ในห้องลับ ป๋ายเสี่ยวฉุนหอบหายใจหนักหน่วง สีหน้าร้อนรนกระวนกระวายตัดสลับไปกับความคาดหวังรอคอย ตอนนี้เขาจำต้องแบ่งสมาธิออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งใช้ไปกับการหลอมไฟยี่สิบเอ็ดสี อีกส่วนหนึ่งก็ต้องคอยสังเกตสถานการณ์การสู้รบและคอยโยนไฟหลายสีออกไปอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าเขาจะมีไฟหลายสีเก็บไว้ แต่ก็มีไม่มากนัก นี่คือการเลือกด้วยความจำใจ เพราะเขาหาวิธีอื่นมาถ่วงเวลาไม่ได้อีกแล้ว ยามนี้จึงได้แต่เพิ่มความเร็วในการหลอมไฟยี่สิบเอ็ดสี และภายใต้แรงกดดันเช่นนี้ แม้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะแบ่งสมาธิเอาไปใช้เรื่องอื่น ทว่าพลังในด้านการหลอมไฟที่สำแดงออกมากลับเหนือล้ำเกินปกติ ทำให้ไฟวิญญาณที่อยู่ตรงหน้าเขาเริ่มบีบอัดเข้าหากัน!
ระหว่างการบีบอัดนี้สีด้านในได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง
ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งถี่กระชั้น พยายามมองหาสีที่เพิ่มขึ้นมา และเวลานี้เอง พวกเฉินเห้อเทียนก็ได้โจมตีม่านแสงค่ายกลอีกครั้ง
ครั้งนี้พลังอำนาจของอีกฝ่ายแกร่งกร้าวน่ากลัว ทุกคนของสำนักสยบธารกระอักเลือดกันไม่หยุด อีกทั้งยังมีคนไม่น้อยที่ทรุดฮวบลงไปอย่างหมดแรง เมื่อเห็นว่าค่ายกลกำลังจะประคองตัวไม่ไหว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็คำรามดังลั่น รีบแบ่งสมาธิสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ขว้างไฟสิบแปดสีออกไปสามกองและไฟสิบเก้าสีอีกหนึ่งกอง!
ไฟสิบแปดสีนี้เดิมทีก็น่าตะลึงมากพออยู่แล้ว ส่วนไฟสิบเก้าสีก็ยิ่งสะท้านฟ้าสะเทือนดิน พอถูกป๋ายเสี่ยวฉุนขว้างออกมานอกค่ายกลจึงระเบิดตูมแล้วกลายมาเป็นคลื่นความร้อนที่ทำให้พวกเฉินเห้อเทียนสามคนหน้าเปลี่ยนสี ถอยกรูดออกห่างว่องไว
“สมควรตายนัก ทำไมไอ้หมอนี่ถึงมีไฟหลายสีมากมายขนาดนี้!!”
สีหน้าของเฉินเห้อเทียนมืดทะมึน ดวงตาป๋ายเจิ้นเทียนเปล่งแสงวาบ รีบเอ่ยขึ้นทันที
“ทำลายค่ายกลให้แตก ต่อให้เขามีไฟหลายสีมากขนาดไหนก็ไม่กล้าปล่อยมันออกมาในสำนักตัวเอง”
“ทำลายค่ายกล!” ดวงตาของหลี่เสี่ยนเต้าลุกเรือง คนทั้งสามรีบพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วโดยไม่รีรอ และยังถึงขั้นฝืนเผชิญหน้ากับทะเลเพลิง ฝ่ามันเข้าไปหาม่านแสงค่ายกลอีกครั้ง บุรพาจารย์สำนักธารมรรคาและสำนักธารดาราที่เห็นว่าเป็นเช่นนี้ก็แข็งใจบุกถลาออกไป
วินาทีที่คลื่นความร้อนพุ่งมาปะทะใบหน้า เมื่อคนฟ้าทั้งห้าคนขยับเข้ามาใกล้ วิชาอภินิหารห้าแสงสิบสีของพวกเขาก็พลันระเบิดครืนครั่นแล้วโจมตีลงบนค่ายกลพร้อมเพรียงกัน
ม่านแสงค่ายกลที่กำลังประสานตัวอย่างรวดเร็วจึงมีเสียงอึกทึกดังขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ค่ายกลมิอาจต้านทานเอาไว้ได้อีก เมื่อเสียงกัมปนาทดังอึงอล ตลอดทั้งค่ายกลก็ระเบิดแตกทลายไม่เหลือชิ้นดี!
ชั่วขณะที่ค่ายกลระเบิดออก ลูกศิษย์ทุกคนของสำนักสยบธาร บุรพาจารย์ก็ดี เถี่ยตั้นก็ช่าง ทุกคนพากันกระอักเลือดอย่างบ้าคลั่ง
ความรู้สึกสิ้นหวังอย่างแรงกล้าไต่ลามเข้ามาในหัวใจของนักพรตทุกคนในสำนักสยบธาร แต่บุรพาจารย์สำนักธารมรรคาและสำนักธารดารากลับฮึกเหิม เมื่อค่ายกลแตกออกก็ทำท่าจะบุกเข้าไปสังหารในสำนักสยบธาร
ทว่าเวลานี้เอง ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในห้องลับหาไฟที่เพิ่มขึ้นมาในทะเลเพลิงหลายสีด้านหน้าเจอในที่สุด ทันใดนั้นอำนาจจิตของเขาก็กระแทกเข้าไปดังตูม ทะเลเพลิงเบื้องหน้าของเขามีสีใหม่เพิ่มเข้ามาอย่างสมบูรณ์แบบ กลายมาเป็น…ไฟยี่สิบเอ็ดสี!
วินาทีที่ทะเลเพลิงยี่สิบเอ็ดสีก่อตัวสำเร็จ ปราณแห่งความสูงส่งไร้ทัดเทียมก็พลันระเบิดตูมตามออกมาจากในทะเลเพลิง ทำเอาฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมและเมฆพัดตลบย้อนเปลี่ยนทิศทาง และปณิธานของพวกเฉินเห้อเทียนที่อยู่บนท้องฟ้าก็เหมือนถูกมือใหญ่ข้างหนึ่งที่มองไม่เห็นโบกพัดอย่างแรงจนสลายหายไปหมด
ตามมาด้วยแสงสว่างระยิบระยับที่ส่องลอดจากก้อนเมฆบนท้องฟ้าลงมาปกคลุมไปทั่วฟ้าดิน แสงสว่างนั้นพร่างพราวไปทั่วแปดทิศท่ามกลางม่านรัตตาล
พวกเฉินเห้อเทียนหน้าเปลี่ยนสีกันไปอีกครั้ง คราวนี้พวกเขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงวิกฤตอันตรายที่รุนแรงกว่าก่อนหน้านี้มากมายหลายเท่า!
และวิกฤตที่ว่านี้ก็มาจากพื้นที่ปิดด่านแห่งหนึ่งในสำนักสยบธาร สามารถจินตนาการได้ว่านั่นก็คือตำแหน่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่
เดิมทีคนฟ้าอย่างพวกเฉินเห้อเทียนสามคนไม่อยากถอย ทว่าการปรากฏตัวของแสงระยิบระยับรวมไปถึงความอันตรายที่เพียงแค่พวกเขารับสัมผัสก็รู้สึกเหมือนหนังหัวจะระเบิดนี้กลับทำให้คนทั้งสามถอยกรูดออกไปอย่างไม่กล้าชักช้า
บุรพาจารย์สำนักธารมรรคาและสำนักธารดาราก็ยิ่งใจสั่นอย่างบ้าคลั่ง รีบถอยร่นไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน พวกเขาไม่กล้าเหยียบเข้าไปในสำนักสยบธารที่ค่ายกลเพิ่งแตกทลายอีกแล้ว ทว่าขณะที่พวกเขาห้าคนก้าวถอยออกไปนั้นเอง พลังอำนาจที่บ้าระห่ำกว่าก่อนหน้านี้กลับระเบิดปะทุขึ้นมาในสำนักสยบธารอีกครั้ง!
ตูมๆๆ!
“นั่นมันอะไร!!”
“เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้กำลังทำอะไร!!”
“ความรู้สึกเช่นนี้…สวรรค์ ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนฟ้าจะถล่มดินจะทลายลงมาเลย!!”
นี่ทำให้สีหน้าของพวกเฉินเห้อเทียนเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หยุดยั้ง จิตวิญญาณของพวกเขาสะท้านสะเทือน อีกทั้งนภากาศยังมีตาข่ายยักษ์หลายผืนปรากฏขึ้นมา ตาข่ายยักษ์พวกนี้คนนอกไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่หากป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นย่อมต้องจำได้ในปราดเดียวว่านั่นคือตราผนึกของโลกที่เคยปรากฏเมื่อครั้งศึกไร้เทียมทานในแดนทุรกันดาร!
และในห้องลับเวลานี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หอบหายใจถี่รัว เม็ดเหงื่อที่เพิ่งผุดขึ้นมากลางหน้าผากกลายเป็นไอขาวกรุ่น เขาไม่สามารถวอกแวกได้อีกแล้ว ตอนนี้จำต้องเอาสมาธิทั้งหมดมาวางไว้ที่ทะเลเพลิงเบื้องหน้า ขณะที่มือขวาคว้าจับ ปากก็ร้องคำรามกร้าว
“ไฟยี่สิบเอ็ดสี จงรวมให้ข้า!!”
ครืนๆๆ
ทะเลเพลิงหดเล็กลงอย่างรวดเร็วแล้วพุ่งสวบเข้าไปหามือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุน เมื่อมันรวมตัวเข้าด้วยกัน พลังอำนาจจึงยิ่งแข็งแกร่ง ท้องฟ้ามีเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าดังกระหึ่มไม่ขาดสาย แต่ที่น่าแปลกคือไม่มีทัณฑ์อสนีผ่าลงมา
ตลอดทั้งขั้นตอนนี้ใช้เวลาแค่ไม่กี่อึดใจ เมื่อพลังอำนาจอันแกร่งกล้าไต่ทะยานไปสู่จุดสูงสุด มือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็คว้าจับทะเลเพลิงทั้งหมดมาไว้กลางฝ่ามือ
หัวใจของเขาเต้นระรัว อ้าปากหอบหายใจฮักๆ ตอนที่เขาค่อยๆ แบมือขวาออกมาเบื้องหน้าตัวเอง แสงสว่างก็เจิดจ้าไปทั้งแผ่นฟ้า ท้องนภายังคงมีเสียงดังครืนครั่นราวกับโลกทั้งใบถูกเขย่าคลอน และจุดศูนย์กลางของทุกอย่างนี้…
ก็คือไฟยี่สิบเอ็ดสี…ที่อยู่ในมือของป๋ายเสี่ยวฉุน!!
ไฟชั้นฟ้า!