บทที่ 887 คนฟ้า
ไฟชั้นฟ้า คือไฟหลายสีที่มีเพียงอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นฟ้าเท่านั้นถึงจะหลอมออกมาได้ นี่คือสิ่งที่มีอยู่เพียงในตำนาน ไม่ว่าจะเป็นไฟหรืออาจารย์หลอมวิญญาณชั้นฟ้าก็ล้วนเป็นเดียวกัน
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทั่วทั้งแดนทุรกันดารล้วนไม่เคยมีปรากฏมาก่อน ทุกอย่างล้วนเป็นเพียงคำเล่าลือ หรือแม้แต่ตำรับหลอมไฟยี่สิบเอ็ดสีก็ยังไม่เคยดำรงอยู่
ต่อให้เป็นป๋ายเสี่ยวฉุนที่หากไม่ได้ความช่วยเหลือจากลูกศิษย์ หากไม่เพราะมีวิญญาณที่มากพอ เขาก็คงไม่สามารถหลอมมันออกมาได้ อีกทั้งการหลอมครั้งนี้ยังมีความบังเอิญเป็นส่วนประกอบด้วย ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดว่าตัวเองควบคุมทุกขั้นตอนไว้ได้ดีแล้ว แต่เขากลับไม่มั่นใจว่าครั้งที่สองจะยังคงทำสำเร็จได้ดังเดิม
ยามนี้เมื่อไฟยี่สิบเอ็ดสีปรากฏขึ้น เมื่อท้องฟ้าเกิดการเปลี่ยนแปลง เมื่อพลานุภาพสยบที่ทำให้พวกเฉินเห้อเทียนสามคนอ้าปากหอบหายใจด้วยความตกตะลึงเยื้องกรายมาถึง คนทั้งสามก็ถอยกรูดออกห่างอย่างรวดเร็ว คนเรายิ่งอยู่มานานก็ยิ่งเสียดายชีวิต ชั่วขณะที่สัมผัสได้ถึงวิกฤตมรณะนั้น คนทั้งสามก็รีบถอยหนีอย่างไม่มีลังเล ขณะเดียวกันหัวใจก็สั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง ทั้งตะลึงทั้งคลางแคลงใจ
บุรพาจารย์สำนักธารมรรคาและสำนักธารดาราก็เป็นเช่นเดียวกัน คนทั้งสองหอบหายใจดังเฮือกๆ ไม่หยุด ดวงตาเบิกกว้างจนแทบจะถลนออกมานอกเบ้า ในใจวุ่นวายไม่เป็นสุข
ส่วนนักพรตของสำนักสยบธารที่พอผ่านความสิ้นหวังมาเห็นแสงสว่าง
เห็นพลานุภาพสยบที่ปลดปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่องจากพื้นที่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนปิดด่าน จิตใจของพวกเขาก็ให้ฮึกเหิมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เสียงไชโยโห่ร้องจึงดังกระหึ่มเกริกก้องไปทั้งฟ้าดิน
“บุรพาจารย์ป๋าย!”
“คือบุรพาจารย์ป๋าย!”
“พวกเรามีความหวังแล้ว มีบุรพาจารย์อยู่ด้วย ใครจะกล้ามารุกรานสำนักสยบธารเรา!!”
ขณะที่คนพวกนี้พากันตื่นเต้นดีใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในห้องลับก็ฮึกเหิมเช่นกัน เขามองไฟยี่สิบเอ็ดสีที่อยู่ในมือ วินาทีที่หลอมมันได้สำเร็จ เขาก็มีความรู้สึกอย่างแรงกล้าว่า โลกใบนี้คล้าย…จะต้านทานมันไว้ไม่ไหวอีกต่อไป
และเวลานี้เขาก็สังเกตเห็นตาข่ายผนึกโลกที่อยู่บนท้องฟ้าแล้ว ความรู้สึกในใจจึงยิ่งเด่นชัด เขานึกขึ้นได้ว่าลูกศิษย์ของตนเคยพูดไว้ว่า ไฟยี่สิบเอ็ดสีน่าจะเป็นขีดจำกัดสูงสุดของโลกใบนี้แล้ว!
“โลกใบนี้…รองรับได้แค่ไฟยี่สิบเอ็ดสีเท่านั้น มิอาจแบกรับไฟยี่สิบสองสีได้ไหว!!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก รู้สึกเหลือเชื่อ ขณะเดียวกันก็ประจักษ์แจ้งในความจริงข้อนี้
ครานั้นตอนที่อยู่ในการประลองของสุสานใต้ดิน จะอย่างไรไฟที่ใช้หลอมพลังจิตยี่สิบเอ็ดครั้งซึ่งเขาเคยเห็นก็เป็นแค่ภาพลวงตา ไม่ใช่ของจริง ทว่าไฟยี่สิบเอ็ดสีที่อยู่เบื้องหน้าเขานี้คือของแท้แน่นอน เขาสัมผัสได้ถึงคลื่นที่อยู่ด้านในไฟยี่สิบเอ็ดสีซึ่งแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังหวาดกลัว เขาสัมผัสได้ว่าโลกใบนี้กำลังใช้พลังทั้งหมดมาต้านทานเพื่อกำราบพลังของไฟยี่สิบเอ็ดสีเอาไว้ให้ได้
ถึงขั้นที่ว่า…ตอนนี้ในไฟยี่สิบเอ็ดสีที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นมากลางฝ่ามือของป๋ายเสี่ยวฉุนได้มีรอยเส้นมืดดำเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นมา ราวกับว่ากำลังจะถูกโลกใบนี้…ดับทำลาย!
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มีเวลาให้มัวมาคิดมาก เขาหยิบเอาหม้อกระดองเต่าออกมาอย่างไม่ลังเล นัยน์ตาฉายแสงเด็ดเดี่ยว ทั้งยังมีประกายความบ้าคลั่งวาบผ่าน แม้จะบอกว่าไฟยี่สิบเอ็ดสีทำให้คนกลายเป็นคนฟ้าได้ แต่จะอย่างไรนั่นก็คือเรื่องเล่าลือในตำนาน ก่อนหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่เคยมีใครทดลองใช้วิธีนี้ แล้วก็ไม่เคยมีใครมีเงื่อนไขนี้มาก่อน
สามารถพูดได้ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีเพียงป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้นที่คุณสมบัติครบถ้วน อีกทั้งตอนนี้สำนักสยบธารยังตกอยู่ในอันตราย บวกกับที่เห็นได้ชัดว่าไฟยี่สิบเอ็ดสีกำลังจะถูกสยบทำลาย ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนไม่เว้นที่ว่างให้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ใคร่ครวญ
“สู้ตาย!!” สีหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนดุร้าย แผดเสียงคำรามดังลั่น หากมีความเป็นไปได้สักเสี้ยวหนึ่ง เขาก็ไม่อยากจะเดิมพันแบบนี้ ไม่อยากจะทุ่มสุดชีวิตขนาดนี้ นี่ไม่สอดคล้องกับนิสัยของเขา แต่ตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนจำเป็นต้องทำแบบนี้เท่านั้น!
ชั่วขณะที่หยิบเอาหม้อกระดองเต่าออกมา ทารกก่อกำเนิดของป๋ายเสี่ยวฉุนก็บินพรวดเข้าไปอยู่ในหม้อ มือของเขาสั่นเทาอยู่พักใหญ่ ก่อนจะชี้ไปยังไฟยี่สิบเอ็ดสีอย่างเด็ดเดี่ยว!
ไฟยี่สิบเอ็ดสีบินพรวดเข้ามาในหม้อกระดองเต่า พริบตาเดียวก็ผสานรวมเข้าด้วยกัน ชั่วขณะที่ผสานรวมเป็นหนึ่งนั้น หม้อกระดองเต่าก็พลันสั่นไหว แรงสั่นครั้งนี้รุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งยังมีแสงบาดตาระเบิดออกมา แสงนี้ตลบอบอวลไปทั่วทำให้ฟ้าดินร้องคำรณพร้อมกัน พลังวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนไหลบ่าทะลักทลายเข้ามาจากสี่ด้านแปดทิศ ราวกับว่าตอนนี้สำนักสยบธารได้กลายมาเป็นน้ำวนขนาดใหญ่ยักษ์ที่กำลังกลืนกินพลังวิญญาณทั้งหมดของฟ้าดินเข้าไป!
ภาพนี้ทำให้พวกเฉินเห้อเทียนสามคนหน้าเปลี่ยนสีไปอีกครั้ง
พวกเขาร้องอุทานตกตะลึงพลางถอยกรูดไม่หยุด ความรู้สึกถึงวิกฤตอันตรายยิ่งรุนแรงมากกว่าเดิม หลี่เสี่ยนเต้าที่หน้าเปลี่ยนสีพลันเอ่ยขึ้นว่า
“ธารมรรคา ธารดารา พวกเจ้ารีบไปทำลายห้องลับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนใช้ปิดด่านทิ้งเดี๋ยวนี้!”
ขาดคำพูดของเขา ในใจของบุรพาจารย์สำนักธารมรรคาและสำนักธารดาราก็ด่ากราดหยาบคาย แต่กลับไม่กล้าไม่ทำตาม
ขณะที่กำลังสองจิตสองใจก็เหลือบไปเห็นว่าเฉินเห้อเทียนและป๋ายเจิ้นเทียนต่างก็หันมามองพวกตน คนทั้งสองที่ตาแดงก่ำจึงได้แต่กัดฟันกรอดแล้วพุ่งพรวดเข้าไปในสำนักสยบธาร จู่โจมไปยังตำแหน่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนปิดด่าน
เถี่ยตั้นร้องคำรามด้วยความร้อนใจ และยังมีบรรพบุรุษโลหิตที่บุรพาจารย์ธาราโลหิตเป็นผู้ควบคุมที่ผุดลุกขึ้นยืน พุ่งตรงเข้าไปขัดขวาง สองฝ่ายปะทะกันเสียงดังตูมตาม แต่จะอย่างไรซะบุรพาจารย์ธาราโลหิตก็ควบคุมบรรพบุรุษโลหิตได้ไม่คล่องแคล่วนัก ยากจะสำแดงพลังทั้งหมดของบรรพบุรุษโลหิตออกมาได้ ส่วนเถี่ยตั้นก็ไม่ใช่คนฟ้า การขัดขวางของพวกเขาจึงได้เพียงชั่วครู่ชั่วยาม ยากที่จะถ่วงเวลาได้อย่างแท้จริง
ท่ามกลางเสียงอึกทึก เถี่ยตั้นถูกโจมตีจนกระเด็นออกมา ส่วนบุรพาจารย์สำนักธารดาราก็อ้อมร่างของบรรพบุรุษโลหิต ร่วมมือกับบุรพาจารย์สำนักธารมรรคาฝ่าผ่านน้ำวนพลานุภาพสยบที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงซึ่งกำลังดูดดึงปราณวิญญาณฟ้าดินรอบด้านมาอย่างบ้าคลั่ง พุ่งเข้าไปสังหารป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ด้านในห้องลับ!
“จงแตกให้ข้า!” บุรพาจารย์สำนักธารมรรคาคำรามดังลั่น มือทั้งคู่ทำมุทรา ทันใดนั้นแสงกระบี่ก็จำแลงออกมามากมายหลายแสนเส้น เมื่อมารวมเข้าด้วยกันจึงกลายมาเป็นกระบี่ยักษ์น่าครั่นคร้ามที่ฟาดฟันเข้าใส่พื้นที่ปิดด่านของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างเหี้ยมหาญ!
การฟันครั้งนี้ ฟ้าสะท้านดินสะเทือน พลังคนฟ้าของเขาระเบิดออกมาจนหมด บุรพาจารย์สำนักธารดาราก็ทำเช่นเดียวกัน ยามนี้เขาที่ทุ่มสุดชีวิตได้ยกมือทำมุทรา แผดเสียงคำรามอย่างบ้าคลั่ง
“อุกกาบาตตก!!”
เสียงกัมปนาทครืนๆ ดังลั่นไปสี่ทิศสอดแทรกมาด้วยเสียงคำรามเดือดดาลด้วยความร้อนใจของนักพรตจำนวนนับไม่ถ้วนในสำนักสยบธาร เห็นเพียงว่าดวงดาวมากมายที่พกพาเอาพลังน่าตะลึงได้เปล่งวาบขึ้นมารอบกายของบุรพาจารย์สำนักธารดารา ก่อนจะพากันพุ่งไปกระแทกโครมลงบนพื้นที่ปิดด่านของป๋ายเสี่ยวฉุน!
ทุกอย่างนี้พูดแล้วเหมือนยาว แต่ในความเป็นจริงกลับเกิดขึ้นเพียงเวลาแค่ชั่วกะพริบตา เมื่อหินอุกกาบาตร่วงลงมา เมื่อกระบี่ยักษ์ฟันเข้าใส่ สำนักสยบธารก็สั่นสะเทือนไปทั้งสำนัก เทือกเขาเส้นที่ป๋ายเสี่ยวฉุนปิดด่านพังถล่มลงมาทันที เศษหินจำนวนนับไม่ถ้วนปลิวว่อนไปทั่วอย่างมิอาจแบกรับการโจมตีได้ไหว ครั้นจึงกลายเป็นผุยผง!
เมื่อเทือกเขาพังทลาย ห้องลับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ก็ถล่มลงมาด้วย!
“เสี่ยวฉุน!!” ซ่งจวินหว่านกรีดร้องเสียงแหลม ร่างสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง ขณะเดียวกันเถี่ยตั้นก็ร้องคำรามคลั่งแค้น ส่วนพวกเฉินเห้อเทียนสามคนนั้นกำลังมองมาตาไม่กะพริบ ทั้งยังขยับร่างหมายจะก้าวเข้ามาในสำนักสยบธาร
แต่ทันใดนั้นคนทั้งสามก็พลันหน้าเปลี่ยนสีไปอย่างสิ้นเชิง
“ปราณของคนฟ้า!!”
“นี่คือปรากฏการณ์การผสานรวมกับท้องฟ้าที่จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเลื่อนขั้นเป็นคนฟ้า ป๋ายเสี่ยวฉุน…ก่อนหน้านี้เขายังไม่ใช่คนฟ้าหรือนี่!!”
“จะเป็นไปได้อย่างไร!!” คนทั้งสามร้องอุทานเสียงหลงด้วยความตะลึงพรึงเพริด ถอยกรูดออกมาแทบจะพร้อมๆ กัน ทว่าชั่วขณะที่พวกเขาถอยออกมานั้น ในซากปรักหักพังกลับมีปณิธานน่าครั่นคร้ามขุมหนึ่งที่พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าดังครืนครั่น!
ด้วยความแข็งแกร่งของปราณนี้ทำให้มันเพิ่งจะปรากฏตัวก็ผสานรวมเข้ากับท้องฟ้าทันที เขย่าคลอนแผ่นฟ้าทั้งผืนจนก้อนเมฆทุกชั้น ริ้วคลื่นทั้งหมด สายฟ้าทุกเส้นล้วนถูกกำราบได้อย่างอยู่หมัดในบัดดล
หรือแม้แต่ปณิธานของพวกเฉินเห้อเทียนที่เดิมทีกลับไปผสานรวมกับท้องฟ้ากลายมาเป็นปณิธานแห่งฟ้าได้อีกครั้ง มาบัดนี้ก็ยังถูกบีบบังคับขับไล่จนสลายหายไป!
เป็นเหตุให้เวลานี้ ท้องฟ้าและแผ่นดินเหมือนจะเหลือปณิธานของคนเพียงคนเดียว ปณิธานนั้นเผด็จการอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ทุกที่ที่ผ่าน ทุกปณิธานของคนฟ้าล้วนต้องถอยให้!
อีกทั้งบนท้องฟ้ายังมีใบหน้าขนาดใหญ่ยักษ์ปรากฏขึ้นมา ใบหน้านี้กำลังหลับตา เข้ามาแทนที่ท้องฟ้า หลังจากที่คนมากมายของสยบธารเห็นใบหน้านี้คลื่นกระเพื่อมในจิตใจก็รุนแรงจนมิอาจควบคุมเอาไว้ได้ เจ้าของใบหน้านี้ก็คือ…ป๋ายเสี่ยวฉุน!
ท่ามกลางเสียงเกริกก้อง เมื่อเฉินเห้อเทียนสามคนถอยกรูดออกห่าง บุรพาจารย์สำนักธารมรรคาและสำนักธารดาราก็หน้าซีดหน้าเซียว หอบหายใจอย่างตะลึงพลางถอยหนี หมายจะออกไปจากที่นี่เช่นกัน บัดนี้จิตวิญญาณของพวกเขาสัมผัสได้ถึงปราณแห่งความตายที่รุนแรงยิ่งกว่าตอนเผชิญหน้ากับป๋ายเสี่ยวฉุนก่อนหน้านี้หลายต่อหลายเท่านัก!
ทว่าวินาทีที่คนทั้งสองถอยร่นออกห่าง ทันใดนั้นใบหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่บนท้องฟ้ากลับลืมตาโพลง เขามองมายังวิญญาณต้นกำเนิดของบุรพาจารย์สำนักธารมรรคา อีกทั้งวินาทีที่ดวงตาของเขาลืมขึ้นมานั้น ฟ้าดินก็เหมือนจะเปลี่ยนสีไปจากเดิม!
ลมและเมฆซัดตลบปั่นป่วน สายฟ้าพุ่งฉิวเปล่งประกายเหมือนมีอสนีสวรรค์จำนวนนับไม่ถ้วนที่ระเบิดพร้อมกันอย่างบ้าคลั่งแล้วกลายมาเป็นเสียงเสียงหนึ่ง
“ดับ!”
เมื่อคำนี้ดังกึกก้อง ใบหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่บนท้องฟ้าก็พลันบิดเบี้ยวแล้วกลายมาเป็นรุ้งยาวเส้นหนึ่งที่พุ่งฉิวมาปรากฏกายอยู่ข้างวิญญาณต้นกำเนิดของบุรพาจารย์สำนักธารมรรคาด้วยความเร็วที่แม้แต่เฉินเห้อเทียนสามคนยังหวาดผวาพรั่นพรึง
ชั่วขณะที่ดวงตาของบุรพาจารย์สำนักธารมรรคาฉายแววตะลึงพรึงเพริด ทั้งยังเผยแวววิงวอนออกมานั้น รุ้งยาวเส้นนี้ก็พลันทะลวงผ่านร่างวิญญาณต้นกำเนิดของเขาไป…