Skip to content

A Will Eternal 920

บทที่ 920 ปรารถนาความปราชัย

เมื่อได้ยินคำแนะนำ

สายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็กวาดมองไปที่ร่างของหลิงเซียนซ่างเหรินและชายหนุ่มผู้มีสีหน้ายโสเย็นชาซึ่งยืนอยู่ทางฝั่งขวาของอีกฝ่าย

“คราวนี้ทุกคนมองไปที่สำนักมังกรเหินสมุทรผีแห่งสายใต้ นักพรตคนที่นั่งอยู่บนวิญญาณมังกรดำผู้นั้นมีนามว่าเชียนกุ่ยจื่อ เดิมทีคนผู้นี้คือผีเฒ่าพันปี ฝึกเต๋าแห่งภูตผี กลายเป็นคนฟ้าด้วยวิธีการที่เรียกว่าฝืนชะตาสวรรค์ พลังการต่อสู้ก็ยิ่งเหนือกว่าคนรุ่นเดียวกัน สังเกตไปที่เส้นผมของเขา ควันดำเป็นกลุ่มๆ พวกนั้นมีทั้งหมดหนึ่งพันเส้น แต่ละเส้นล้วนเป็นอาคมที่สามารถฆ่าคนได้!”

“และสำนักมังกรเหินสมุทรผีนี้ก็เชี่ยวชาญเวทแปลงกาย สามารถแปลงร่างกลายเป็นสัตว์ร้ายเพื่อเพิ่มพลังการต่อสู้ให้กับตัวเอง นอกจากนี้แล้วยังมีคนไม่น้อยที่ฝึกเต๋าแห่งภูตผีเช่นเดียวกับเชียนกุ่ยจื่อ เวทคาถาของพวกเขานับว่าแปลกพิสดารยากจะคาดเดา”

“แม้ว่าคนส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ฝึกตนอิสระ ทว่าสำนักมังกรเหินสมุทรผีนี้ก็มีศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่เยี่ยมยุทธิ์โดดเด่น คนผู้นี้มีนามว่าซุนอู๋ พวกเจ้าเห็นไหม ด้านหลังเรือรบของพวกเขานั่นน่ะ คนที่ผิวหนังทั้งร่างเป็นสีเขียวเหมือนผีร้ายที่ยืนอยู่ตรงนั้นไง เขาก็คือ ซุนอู๋!”

สายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดมองไปยังเรือรบไม้ดำของสายใต้

พอมองเงาร่างของมังกรนิลนั้นอย่างละเอียด และเนื่องจากต่างฝ่ายต่างอยู่ใกล้กัน เขาจึงมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าร่างของเชียนกุ่ยจื่อที่นั่งอยู่บนมังกรนิลเหมือนจะเป็นภาพมายา ทั้งยังแผ่กลิ่นอายแห่งความเย็นเยียบอึมครึม และดูคล้ายจะสัมผัสถึงสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุน ดวงตาของเขาจึงเปล่งแสงวาบหนึ่งครั้งทำให้นัยน์ตาคมกริบประดุจกระบี่หันขวับมามองป๋ายเสี่ยวฉุน

ไม่เพียงเท่านี้ เมื่อสายตาของเขามองมา ปราณของเขาก็ยิ่งแผ่กำจายคล้ายจะสยบทุกคนที่อยู่บนเรือรบสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราอีกด้วย

“ถลึงตาใส่ข้ายังพอทน แต่นี่กล้าโอหังถึงขั้นคิดจะสยบคนของข้าเชียวรึ?”

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกยอมไม่ได้ขึ้นมาทันใด ในเวลาอย่างนี้เขารู้สึกว่าจะพ่ายแพ้ให้แก่ใครในด้านลักษณะพลังไม่ได้ ดังนั้นจึงถลึงตามองกลับไป เรื่องการประลองระดับสูงอย่างการแข่งทางสายตาเช่นนี้ ชีวิตนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เคยแพ้ใครจริงๆ จังๆ มาก่อน ความมั่นใจของเขาในเรื่องนี้จึงสูงมาก

ไม่ว่าจะเป็นสำนักธาราเทพ สำนักธาราโลหิตในอดีต หรือจะเป็นสำนักสยบธาร สำนักอันตมรรคาฟ้าดารา ต่อให้เป็นแดนทุรกันดาร…

สามารถพูดได้ว่าทุกที่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเคยไป เมื่อพูดถึงความสามารถในด้านการแข่งขันทางสายตาแล้ว หากเขาบอกว่าตัวเองเป็นที่สอง ก็ไม่มีใครกล้าบอกว่าเป็นที่หนึ่งอีก

ต่อให้มีคนไม่ยอมแพ้จริงๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็จะใช้สายตาของตัวเองบอกให้อีกฝ่ายรู้ถึงความดุดันคมกริบของตัวเอง!

นั่นจึงทำให้ในดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเวลานี้คล้ายมีสายฟ้ามารวมตัวกันพร้อมๆ กับเสียงฟ้าร้องคำรณที่ดังก้องไปแปดทิศ ซึ่งเสียงนี้คนนอกไม่ได้ยิน มีเพียงตัวเขาและคนที่เขามองประสานสายตาด้วยเท่านั้นที่ถึงจะสัมผัสได้

เสียงนี้ดังมาก อานุภาพของสายฟ้าก็สะเทือนเลือนลั่นปฐพี ทำให้ลักษณะพลังของป๋ายเสี่ยวฉุนผงาดพุ่งขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง และพลังอำนาจทั้งหมดนี้ก็ได้มารวมอยู่ที่ดวงตาของเขา ในความรู้สึกของป๋ายเสี่ยวฉุนเอง เขาสัมผัสได้ว่าดวงตาของตัวเองได้กลายมาเป็นกระบี่แหลมคมเล่มหนึ่งที่คมกริบจนแม้แต่หินก็ยังแตกทลาย บุกไปทางไหนทางนั้นก็ราบเป็นหน้ากลอง ซึ่งตอนนี้กระบี่เล่มนี้ได้พกพาเอาปราณแห่งการบดขยี้สรรพชีวิตให้ตรงดิ่งทิ่มแทงเข้าไปยังลูกตาดำของเชียนกุ่ยจื่อ

“มาแข่งทางสายตากับข้ารึ!” ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนคึกคะนองสุดขีด ถลึงตาสีหน้าถมึงทึง ปานประหนึ่งใต้ฟ้าเหนือดินแห่งนี้มีเพียงตนที่เป็นผู้สูงศักดิ์หนึ่งเดียว

เชียนกุ่ยจื่อตะลึง ต่อให้จะอาศัยประสบการณ์ผีเฒ่าพันปีของเขา เวลานี้ก็ยังรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง เขาแน่ใจว่านี่เป็นครั้งแรกที่ตนได้พบกับคนฟ้าท่านนี้ของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา ระหว่างกันและกันไม่ควรจะมีความแค้นใดๆ สิถึงจะถูก แต่ความคมบาดลึก ดุดันปานประหนึ่งเทพมารของสายตาอีกฝ่าย บวกกับสีหน้าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันนั้นก็ทำเอาเชียนกุ่ยจื่องวยงง ขณะเดียวกันก็อดรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอย่างห้ามไม่ได้

เขาฝืนสบตากับอีกฝ่ายอยู่พักหนึ่งก็กระแอมเบาๆ หนึ่งทีแล้วดึงสายตากลับคืนมา

พอเห็นว่าเชียนกุ่ยจื่อไม่แข่งทางสายตากับตนอีก ป๋ายเสี่ยวฉุนที่เป็นฝ่ายกำชัยก็ยิ่งลำพองใจมากกว่าเดิม เขาที่ยืนอยู่บนเรือรบจึงสะบัดปลายแขนเสื้อเบาๆ เชิดคางขึ้น ในใจรู้สึกเปล่าเปลี่ยวเพราะใต้หล้าไร้ศัตรู

“สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า เฮ้อ…ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เวลาใด ข้าถึงจะได้เจอกับคนที่ทัดเทียมข้าได้เสียที ข้า ปรารถนาอยากพ่ายแพ้เหลือเกินแล้ว!”

ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง นักพรตรอบกายเขาไม่มีใครสังเกตเห็นว่าในเวลาสั้นๆ นี้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ทำการลงสนามรบเพื่อชิงชัยศึกแห่งการประลองทางสายตากับเชียนกุ่ยจื่อไปแล้วรอบหนึ่ง…

ทว่าซ่งเชวียนั้นรู้ไปถึงไส้ถึงพุงของป๋ายเสี่ยวฉุน เมื่อครู่เขาเลยแอบเหลือบตามองไปแวบหนึ่ง แล้วก็มองออกถึงต้นสายปลายเหตุทันที สีหน้าจึงเริ่มเหยเกขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ เกิดความรู้สึกวู่วามอยากยกมือปิดหน้า

“เป็นถึงคนฟ้าแล้ว…ทำไมยังแข่งสายตากับคนอื่นอยู่อีก…”

ซ่งเชวียรู้สึกว่า โลกของป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นสิ่งที่ตนมิอาจทำความเข้าใจได้เลย

และเวลานี้เอง เสียงของผู้อาวุโสก่อกำเนิดของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราที่เข้าใจสำนักของอีกสามสายมากที่สุดก็ดังขึ้นมาข้างหูของป๋ายเสี่ยวฉุนและทุกคนที่อยู่โดยรอบอีกครั้ง

“ฝ่ายสุดท้าย ก็คือสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าแห่งสายเหนือ”

“ข้าผู้อาวุโสเคยได้รับภารกิจบางอย่างจากสำนักจึงไปสืบข่าวของสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้ามาได้มากที่สุด สำนักนี้ตั้งอยู่ที่แม่น้ำสายเหนือ พื้นที่กว้างใหญ่ผู้คนน้อยนิด มีหิมะและน้ำแข็งปกคลุมตลอดทุกปี สภาพอากาศเลวร้ายสุดขีด แม้ว่าจะดีกว่าแดนทุรกันดารอยู่ไม่น้อย แต่ไอความเย็นของที่นั่นก็ได้ทำให้คนที่อาศัยอยู่ที่แห่งนั้นมีเรือนกายและจิตใจที่แข็งแกร่งจนน่าตะลึง พูดได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสี่สาย!”

“และก็ด้วยสภาพภูมิประเทศที่พิเศษ ดังนั้นแม่น้ำสายเหนือจึงไม่เหมือนพวกเราและสายตะวันตกกับสายใต้ หากจะพูดลงลึกเลยก็คือตลอดทั้งสายเหนือนี้มีเพียงสำนักอยู่แห่งเดียว ซึ่งก็คือสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้า

นักพรตแทบจะทุกคนในตระกูลผู้บำเพ็ญตนหลายตระกูลที่อยู่ห้อมล้อมสำนักแห่งนี้ล้วนถือเป็นลูกศิษย์ของสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าทั้งหมด”

“และตัวตนลูกศิษย์ในสำนักของพวกเขาก็จะแบ่งจากหนึ่งชั้นฟ้าไปถึงเก้าชั้นฟ้า ยิ่งเป็นขั้นหลังๆ ตัวตนก็ยิ่งสูงส่ง” ผู้อาวุโสก่อกำเนิดที่เข้าใจสถานการณ์ของสามสำนักเป็นอย่างดีพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“พวกเจ้าลองมองไปบนเรือรบของสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้า ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ที่ยืนอยู่หน้าสุด…อย่านึกว่านั่นเป็นคนคนเดียว ลองมองอย่างละเอียดแล้วพวกเจ้าจะพบว่า นั่นคือ…คนสองคนที่ยืนอยู่ด้วยกัน!” จบคำพูดของผู้เฒ่า ป๋ายเสี่ยวฉุนก็อึ้งงันไปทันที พลันหรี่ตาทั้งคู่เพ่งมองไปยังสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้า เนื่องด้วยอยู่ใกล้กันมากแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงเห็นทันทีว่า…

ชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่หน้าสุดของเรือรบสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าไม่ใช่คนเดียวจริงๆ แต่เป็นคนสองคนที่ยืนอยู่ด้วยกัน เพียงแต่ว่าร่างกายของคนทั้งสองนี้ออกจะแปลกประหลาดเกินไปสักหน่อย

คนหนึ่งในนั้น เรือนกายที่อยู่ทางฝั่งซ้ายของเขาบึกบึนแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด ไม่ว่าจะเป็นแขนซ้ายหรือขาซ้าย หรือแม้แต่หน้าอกข้างซ้าย รวมไปถึงศีรษะก็ล้วนแกร่งกำยำไปหมด ทว่าแขนขาและเรือนกายฝั่งขวาของเขากลับเหมือนแห้งเหี่ยวจึงดูเล็กบางกว่าอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ร่างคนผู้นี้มองดูแล้วไม่ได้สมดุลอย่างยิ่ง

ส่วนอีกคนหนึ่งก็เป็นเช่นเดียวกัน ทว่ากลับฝั่งตรงกันข้ามพอดี ฝั่งที่แห้งเหี่ยวของคนผู้นี้คือส่วนซ้ายของร่างกาย ฝั่งที่ใหญ่โตบึกบึนคือฝั่งขวา พอคนสองคนที่แปลกประหลาดนี้มายืนอยู่ด้วยกัน เมื่อมองไกลๆ จึงมองไม่ออกเลยว่านั่นคือคนสองคน

แถมใบหน้าของพวกเขายังเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน!

หลังจากที่มองเห็นอย่างชัดเจน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ให้ตื่นตะลึงอยู่ในใจ เขายังมองออกอีกว่าตบะของคนทั้งสองล้วนเป็นคนฟ้าช่วงกลาง

“พวกเขาก็คือบุคคลผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือด้านความอำมหิตแห่งสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้า…อวิ๋นเหลยจื่อ!”

“ว่ากันว่าอวิ๋นเหลยจื่อในอดีตเป็นเพียงแค่คนคนเดียว ทว่าเนื่องจากฝึกวิชาบางอย่างที่ฝืนชะตาฟ้า ตอนที่ทดลองฝ่าทะลุเขตคนฟ้าช่วงกลางสู่เขตคนฟ้าช่วงท้ายเกิดล้มเหลว ร่างกายของเขาแบกรับไม่ไหวจึงถูกพลังโจมตีกลับทำให้ร่างแยกออก นั่นถึงเป็นเหตุให้มีเรือนกายสองร่างที่ต่างก็มีจิตสำนึกเป็นของตัวเอง!”

“แม้จะเป็นเช่นนี้…ทว่าแฝดอวิ๋นเหลยจื่อก็ยังมีวิชาลับอยู่อย่างหนึ่งที่สามารถผสานร่างรวมให้กลับมาเป็นหนึ่งเดียวได้อีกครั้งในระยะเวลาสั้นๆ และเขาในเวลานั้นก็คืออวิ๋นเหลยจื่อตัวจริง ซึ่งตบะของเขาก็จะไต่ทะยานไปในเวลาสั้นๆ จนกลายเป็น…คนฟ้าช่วงท้ายด้วย!”

ยิ่งฟังคำแนะนำของผู้เฒ่า ปากของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งค่อยๆ อ้าออกกว้าง รู้สึกอัศจรรย์ใจ คนฟ้าของสองสำนักก่อนหน้านี้ล้วนเป็นแค่คนฟ้าช่วงกลาง ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงไม่รู้สึกกดดันเท่าไหร่ ทว่าตอนนี้เดิมทีอวิ๋นเหลยจื่อทั้งสองคนก็เป็นคนฟ้าช่วงกลางอยู่แล้ว ที่ยิ่งเกินไปกว่านั้นก็คือพอรวมร่างกันเขากลับสามารถระเบิดพลังของคนฟ้าช่วงท้ายออกมาได้ นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเกิดระแวงขึ้นมาทันที

เพราะแม้ว่าเขาในตอนนี้จะเอาชนะคนฟ้าช่วงกลางได้ แต่สำหรับคนฟ้าช่วงท้ายแล้ว…เขาก็ยังใจแกว่งๆ อยู่เล็กน้อย

“ยังมีสามคนที่อยู่ด้านหลังอวิ๋นเหลยจื่อที่ทุกคนต้องระวังเป็นพิเศษ พวกเขาล้วนเป็นก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบเก้าชั้นฟ้า แบ่งออกเป็นหันเยว่เหมย จงเจิ้นซาน รวมไปถึง…เหลยหยวนจื่อ! โดยเฉพาะเหลยหยวนจื่อ เขาคือลูกศิษย์ที่อวิ๋นเหลยจื่อถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ด้วยตัวเอง ยืนอยู่ด้านหลังอวิ๋นเหลยจื่อนั่นไง คนตัวผอมๆ แห้งๆ หลังค่อมหน่อยๆ คนนั้น ก็คือเขานั่นแหละ”

“ทุกคนต้องระมัดระวังคนผู้นี้ให้มากที่สุดเลยล่ะ ระดับความอันตรายของเขามีมากกว่าหันเยว่เหมยและจงเจิ้นซานหลายเท่านัก และคนผู้นี้ก็อำมหิตชั่วช้า เย็นชาไร้ปราณี มีความพิสดารแปลกประหลาดมากมาย ยากจะรับมือ ขณะเดียวกันก็เป็นคนที่มีแค้นต้องชำระด้วย!” ผู้อาวุโสเอ่ยรัวเร็ว คอยแนะนำคนของสามสำนักที่ทุกคนไม่เคยรู้จักมาก่อน

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็มองไปยังอวิ๋นเหลยจื่อแห่งสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าอยู่หลายที เพราะเขาจำได้อย่างชัดเจนว่าบุรพาจารย์ธาราเทพเคยบอกกับเขาว่า…สายธาราเทพนั้นคือสำนักหันเหมินที่มาจากแม่น้ำทงเทียนสายเหนือ และสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้านี้ก็คือศัตรูคู่แค้นคนสำคัญที่เกือบจะทำให้หันเหมินต้องล่มสลาย!

“คนฟ้าคือคนบ้าที่ฝึกตนจนแยกร่างตัวเองออกเป็นสองท่อน…นักพรตเก้าชั้นฟ้าระดับรองลงมา เหลยหยวนจื่อคนที่ร้ายกาจที่สุดมองดูแล้วก็ยังเหมือนลิงตัวหนึ่ง…นี่มันสำนักประหลาดอะไร” ป๋ายเสี่ยวฉุนเบ้ปาก ไม่มีความรู้สึกดีๆ อันใดต่อสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้า

และขณะที่เขาพึมพำอยู่ในใจตัวเองนั้น เรือรบสี่ลำที่มาจากแม่น้ำสี่สายก็ค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ท่าเรือ ผ่านไปพักหนึ่งเสียงกัมปนาทดังอยู่สองสามครั้ง เรือรบมหึมาสี่ลำก็จอดนิ่งอยู่ตรงท่าเรือในที่สุด!

เมื่อเรือรบจอดนิ่ง นักพรตสี่สายที่อยู่บนเรือรบทั้งสี่ลำก็ทยอยกันลงจากเรือด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ขณะเดียวกันสายตามากมายของนักพรตสี่สายก็สาดมามองประเมินกันและกันถี่ยิ่งกว่าก่อนหน้านี้

เช่นเดียวกัน ในแม่น้ำสามสายที่เหลือก็มีนักพรตที่คอยแนะนำคนของฝ่ายตรงข้ามเฉกเช่นที่ผู้อาวุโสก่อกำเนิดแนะนำเรื่องของอีกสามสายให้พวกป๋ายเสี่ยวฉุนฟัง ซึ่งเวลานี้พวกเขาเองก็กำลังพูดแนะนำให้นักพรตในสายของตัวเองฟังด้วยเสียงเบาแต่รัวเร็ว

ป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสได้ทันทีว่ามีสายตามากมายทยอยกันกวาดมองมาบนร่างของตัวเอง เขาอยากรู้ยิ่งนัก อยากรู้ว่าคนอื่นจะพูดถึงตัวเองอย่างไร ดังนั้นจึงอดไม่ไหว แผ่อำนาจจิตออกไปอย่างเงียบเชียบ เพื่อแอบฟัง…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version