บทที่ 921 ตู้หลิงเฟยผู้สูงส่ง
“ทุกคนต้องระวังป๋ายเสี่ยวฉุนจากสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราของสายตะวันออกนั่นไว้ให้มาก อย่านึกว่าเขามีตบะคนฟ้าแล้วจะไม่เข้าร่วมการช่วงชิงระหว่างนักพรตก่อกำเนิดอย่างพวกเจ้า ถ้าคิดอย่างนี้ พวกเจ้าก็ผิดมหันต์ ตามที่รายงานบอกมา คนผู้นี้จิตใจวิปริตบิดเบือน เป็นผู้ใหญ่แต่ชอบรังแกผู้น้อยมากที่สุด ทั้งๆ ที่พลังการต่อสู้เลิศล้ำเป็นถึงคนฟ้าของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา ทว่าเรื่องที่เขาชื่นชอบมากที่สุดในชีวิตนี้กลับเป็นรังแกคนที่ตบะต่ำกว่าเขา! ต่ำช้า ไร้ยางอายอย่างถึงที่สุด ทุกคนต้องระวังไว้ให้ดี!”
“ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้พวกเจ้าต้องระวังเป็นพิเศษเลยนะ ประสบการณ์ในชีวิตของคนผู้นี้น่าเหลือเชื่อเกินไป เคยไปที่กำแพงเมือง ไปที่แดนทุรกันดาร ไม่เพียงแต่กลับมาได้อย่างปลอดภัย แถมยังได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นคนฟ้าด้วย! แล้วก็ยิ่งต้องระวังยาของเขาให้มากๆ จุดที่น่ากลัวที่สุดของคนผู้นี้ไม่ใช่ตบะ แต่เป็นยา ตามสถิติที่สรุปรวมกันมาโดยคร่าวๆ หากให้เขาหลอมยาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีพอ เขาก็สามารถทำลายสำนักต้นน้ำแห่งหนึ่งให้วอดวายได้เลย!!”
“พูดถึงป๋ายเสี่ยวฉุน พวกเจ้าอาจไม่คุ้นเคย แต่หากพูดถึงยาประสาทหลอนที่แพร่มาจากแม่น้ำทงเทียนสายตะวันออก พวกเจ้าก็น่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจ ยาประสาทหลอนนั่นเคยเป็นหายนะครั้งใหญ่ของสายตะวันตกเราเมื่อหลายปีก่อน และคนผู้นี้…ก็คือผู้คิดค้นยาประสาทหลอนต้นตอแห่งความวิบัติบรรลัยนั่น!”
คำพูดมากมายดังออกมาจากปากคนของอีกสามฝ่าย ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนที่ได้ฟังมีสีหน้าเหยเก รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ยกมือเกาหัวแกรกๆ
“ไม่นึกเลยว่าข้าจะมีชื่อเสียงขนาดนี้…ยาประสาทหลอนแพร่ไปถึงสายตะวันตกตั้งแต่เมื่อไหร่? หรือว่าแพร่ไปจากคนของนครฟ้าในปีนั้น?”
“อีกอย่าง อะไรคือข้าชอบรังแกคนที่ตบะสู้ไม่ได้กันเล่า ข้าทำแบบนั้นเขาเรียกว่าคนชอบความมั่นคง!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกยอมไม่ได้ แต่โดยรวมแล้วในใจยังมีความลำพองอยู่ไม่น้อย เขาไม่คิดว่าชื่อเสียงของตนจะโด่งดังไปไกลโดยที่ตนไม่รับรู้ได้ถึงขนาดนี้
“หึหึ หากพวกเขารู้ว่าราชาผียักษ์คือพ่อตาของข้า จักรพรรดิหมิงคือลูกศิษย์ของข้าล่ะก็ จะไม่ตกใจกันตายเลยหรือ” พอป๋ายเสี่ยวฉุนคิดอย่างนี้ ในใจก็ยิ่งปลอดโปร่ง
ทว่าเวลานี้เอง เขากลับได้ยินเสียงบางอย่าง…เสียงเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนมาจากคำพูดกระซิบกระซาบของลูกศิษย์สำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าแห่งแม่น้ำสายเหนือ
“ป๋ายเสี่ยวฉุน? หึ เขาก็แค่โชคดีได้เลื่อนขั้นเป็นคนฟ้าก่อนล่วงหน้าเท่านั้น อีกไม่นานเท่าไหร่ พอข้าเลื่อนสู่เขตคนฟ้า ต้องไปท้ารบกับคนผู้นี้แน่นอน!”
“หน้าตาไม่เลว น่าเสียดายที่เป็นผู้ชาย”
เสียงพวกนี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นการวิพากษ์วิจารณ์กันเองในหมู่นักพรตก่อกำเนิด ป๋ายเสี่ยวฉุนฟังแล้วก็ไม่สบอารมณ์อย่างยิ่งจึงถลึงตามองไป ทว่าชั่วขณะที่เขามองไปนั้นเอง ฝาแฝดอวิ๋นเหลยจื่อเหมือนจะสัมผัสได้จึงหันขวับมามองป๋ายเสี่ยวฉุน
พอต่างฝ่ายต่างมองกันเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันคึกขึ้นมาทันใด
“โอ๊ะโอ มีคนอยากจะแข่งทางสายตากับข้าอีกคนหนึ่งแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนย่อมไม่คิดจะอ่อนข้อให้ กลับยิ่งฮึกเหิมเหมือนนักล่ามองเห็นเหยื่อ เขาจึงรีบถลึงตากลับไปทันที แต่ไม่นานป๋ายเสี่ยวฉุนก็ต้องหน้าเปลี่ยนสี นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาลจากการแข่งทางสายตา
“สมควรตายนัก พวกเขามีกันตั้งสองคน”
เวลานี้แฝดอวิ๋นเหลยนั่นก็กำลังมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาเย็นชา ดวงตาสี่ข้างที่สองข้างใหญ่สองข้างเล็กมีประกายแสงคมกริบลึกล้ำ ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มวางมาดไปต่อไม่ถูก ขณะที่เขากำลังจะเรียกให้ซ่งเชวียมาช่วยกันถลึงตามองอีกฝ่าย ทว่าเวลานี้เอง นักพรตของแม่น้ำสี่สายที่ลงจากเหลือกลับเงียบเสียงกันกะทันหัน
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็สัมผัสได้ทันทีว่าบนเทือกเขากว้างใหญ่ไพศาลที่เชื่อมต่อใจกลางเกาะทงเทียนเข้ากับท่าเรือ เวลานี้กำลังมีกลุ่มคนเดินลงมา
ผู้ที่เดินอยู่หน้าสุด…คือสตรีนางหนึ่ง นางสวมชุดกระโปรงยาวสีม่วง บนตัวอาภรณ์ปักรูปหงส์เก้าหาง ดวงหน้าของนางงามล้ำเป็นเอก ขณะเดียวกันตรงกลางหว่างคิ้วก็มีจุดสีชาดแต้มอยู่จุดหนึ่ง
ทำให้มองดูแล้วร่างทั้งร่างของนางเต็มไปด้วยกลิ่นอายของผู้สูงศักดิ์ที่มิอาจมีใครมาเทียบเคียงได้ และสายตาของนางก็คมกริบราวกระบี่ ดั่งว่าทุกชีวิตที่อยู่ในฟ้าดินแห่งนี้ล้วนมิอาจล่วงเกินนางได้แม้แต่ปลายเส้นผม
วินาทีที่เห็นผู้หญิงคนนี้ ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันสั่นสะท้าน ความซับซ้อนสับสนเอ่อท่วมท้นเต็มหัวใจ หมดอารมณ์ที่จะแข่งสายตาอะไรกับแฝดอวิ๋นเหลยอย่างสิ้นเชิง ในเวลานี้ที่เห็นหญิงสาวผู้นั้น เขาได้แต่เงียบงัน
นางก็คือตู้หลิงเฟย!
ไม่เจอกันนาน ตู้หลิงเฟยยังคงงดงามชวนลุ่มหลงดังเดิม ทว่ากลับมีกลิ่นอายความสูงศักดิ์ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เคยเห็นมาก่อนเพิ่มขึ้นมา ราวกับว่าเมื่อนางยืนอยู่ตรงนั้นก็สามารถดึงดูดทุกสายตาให้ไปรวมกัน
ตู้หลิงเฟยที่เป็นแบบนี้ไม่ค่อยเหมือนกับในความทรงจำของป๋ายเสี่ยวฉุนเท่าใดนัก ในใจเขาจึงสับสน ขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกห่างเหินเพิ่มขึ้นมาส่วนหนึ่งอย่างห้ามไม่ได้
ข้างกายขนาบซ้ายขวาของตู้หลิงเฟยคือนักพรตสองแถวที่ตามนางลงมาจากบนเทือกเขา ฝั่งซ้ายคือนักพรตหญิง ส่วนฝั่งขวาคือนักพรตชาย แถวหนึ่งสวมอาภรณ์สีแดงและอีกแถวสวมอาภรณ์สีฟ้า ผู้หญิงทุกคนล้วนมีรูปโฉมงดงาม ผู้ชายทุกคนก็หล่อเหลาคมคาย
ลำพังเพียงแค่มองจากหน้าตา นักพรตทั้งสองแถวนี้ก็ทำให้ดวงตาของคนมองเป็นประกายได้ อีกทั้งอาภรณ์ที่สวมใส่ก็เป็นรูปแบบเดียวกัน พวกเขาจึงดูมีระเบียบอย่างมาก และที่ทำให้คนจับตามองเป็นพิเศษก็คือลักษณะพลังของพวกเขาไม่ว่าคนใดก็ล้วนไม่ธรรมดา ราวกับสามารถดึงเอาอานุภาพสยบของเกาะทงเทียนนี้มารวมกันไว้บนร่าง จนคนมองสัมผัสได้ถึงความพิเศษของพวกเขา
ในนักพรตสองแถวนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นโหวเสี่ยวเม่ยและกุ่ยหยาได้ทันที
โหวเสี่ยวเม่ยเองก็สังเกตเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนเช่นกัน ดวงหน้าเล็กๆ ที่เดิมทีนิ่งขรึม เวลานี้มีความผ่อนคลายปราฏขึ้นมาหลายส่วน ดวงตาของนางเผยความตะลึงระคนดีใจ ราวกับว่าหากตอนนี้ไม่ได้อยู่ในหน้าที่ นางคงอดใจไม่ไหววิ่งเข้ามาหาป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว
กุ่ยหยาเองก็ย่อมจำป๋ายเสี่ยวฉุนได้ เพียงแต่ว่าเขากลับมีสีหน้าไร้อารมณ์อยู่ตลอดเวลา เพียงแค่กวาดตามองครั้งเดียวก็ถอนสายตากลับไป ท่วงท่าเคร่งขรึมเอาจริงเอาจัง
เมื่อเห็นว่าโหวเสี่ยวเม่ยปลอดภัยดี ป๋ายเสี่ยวฉุนก็คลายใจได้ในที่สุด เพียงแต่ว่าการมาถึงของตู้หลิงเฟยทำให้จิตใจของเขายังคงฟุ้งซ่านมิอาจสงบลงได้
“ยินดีต้อนรับสหายนักพรตทุกท่านมาเยือนเกาะทงเทียน” ใบหน้าตู้หลิงเฟยมีรอยยิ้มประดับ นางเอ่ยเนิบช้า ทว่าในน้ำเสียงกลับมีอำนาจบางอย่างที่พอดังก้องไปสี่ทิศก็ได้ไปกระตุ้นชักนำพลานุภาพของเกาะทงเทียน เป็นเหตุให้น้ำเสียงของนางคล้ายประทับเวทอาคม
ซึ่งพอดังเข้ามาในจิตวิญญาณของทุกคนแล้วก็สะท้อนอื้ออึงไม่หยุด นักพรตของแม่น้ำสี่สายพากันใจสั่น สีหน้าก็เริ่มเปลี่ยนมาเป็นเคร่งขรึม ยิ่งผู้แข็งแกร่งคนฟ้าของอีกสามสายก็ยิ่งถึงกับพากันเดินออกมาแล้วคารวะตู้หลิงเฟย
“คารวะท่านทูต” แฝดอวิ๋นเหลย ผู้เฒ่าที่มีกลิ่นอายความเป็นเซียนรวมไปถึงเชียนกุ่ยจื่อต่างก็มีท่าทางเกรงใจ ตู้หลิงเฟยไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับพวกเขา พวกเขารู้ดีถึงตัวตนที่พิเศษของอีกฝ่าย แน่นอนว่าย่อมไม่กล้าล่วงเกิน ยามนี้จึงแสดงความเคารพยำเกรงออกมา
ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนนั้น ใจเขาไม่อยากเดินเข้าไปหานาง แต่ตอนนี้จะอย่างไรเขาก็เป็นคนฟ้าที่นำคนของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารามา จึงได้แต่ถอนหายใจเบาๆ อยู่ในใจ เดินเข้าไปคารวะตู้หลิงเฟยเช่นกัน และก็แค่ทำท่าอ้าปากตามคนอื่นไปเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วกลับไม่ได้เปล่งถ้อยคำใด
พวกเชียนกุ่ยจื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขาก็พากันใจสั่น ตู้หลิงเฟยที่ยืนอยู่ตรงนั้นมองป๋ายเสี่ยวฉุนนิ่งๆ สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นอ่อนโยน แต่ก็แค่ยิ้มรับบางๆ จะอย่างไรสถานที่แห่งนี้ก็มีคนอยู่มากมาย นางจึงไม่ได้พูดอะไรให้มากความ เพียงแค่คารวะตอบทุกคนอย่างเกรงใจ จากนั้นจึงสั่งความให้องค์รักษ์ข้างกายตัวเองไปต้อนรับนักพรตของอีกสี่สาย ไม่ว่าแม่น้ำสายไหนล้วนมีคนมานับร้อยคน พอเอามารวมกัน แม้ไม่ถึงหนึ่งพันคน แต่ก็ขาดไปไม่เท่าไหร่ คนเหล่านี้ล้วนรวมตัวกันอยู่ที่ท่าเรือ อุ่นหนาฝาคั่ง ทว่าตู้หลิงเฟยกลับจัดการได้อย่างมีระเบียบ
“สหายนักพรตทุกท่าน ตอนนี้ก็สายมากแล้ว หวังว่าทุกท่านจะตามเหล่าองค์รักษ์ของเกาะทงเทียนไปพักผ่อน พรุ่งนี้เช้า หลังจากเสียงระฆังดังเจ็ดครั้ง จะมีคนมานำทางทุกท่านไปพบเทียนจุน” ตู้หลิงเฟยสีหน้าอบอุ่น หลังจากคิดอยู่ชั่วครู่ก็พูดขึ้นมาอีกหนึ่งประโยค
“นอกจากนี้ ในเกาะทงเทียนมีพื้นที่ต้องห้ามมากมาย เพื่อป้องกันไม่ให้มีเรื่องเข้าใจผิดกันเกิดขึ้น ขอทุกท่านโปรดอย่าออกมาข้างนอกยามวิกาล หาไม่แล้ว…หากถูกองค์รักษ์ประจำตำหนักเต๋าจับได้ เกิดบาดเจ็บล้มตายกันขึ้นมาคงไม่ดี”
น้ำเสียงตู้หลิงเฟยไม่ได้ดุดัน กลับอ่อนหวานด้วยซ้ำ ทว่าพอประโยคนี้ดังเข้าหูทุกคน จิตใจของพวกเขากลับสั่นรัวอย่างห้ามไม่ได้ ต่อให้เป็นพวกแฝดอวิ๋นเหลยก็ยังพรั่นพรึง
เพราะเกาะทงเทียนแห่งนี้คือแกนกลางของโลกทงเทียนทั้งใบ
คือตำหนักเต๋าอันเป็นที่พักอาศัยของเทียนจุน เกาะนี้มองดูเหมือนไม่ใหญ่ แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเหมือนบ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์ อย่าว่าแต่พวกเขาเลย ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งครึ่งเทพบุกเข้ามาก็ต้องตายสถานเดียวเท่านั้น!
ดังนั้นต่อให้ตู้หลิงเฟยไม่กำชับ พวกเขาก็ย่อมระมัดระวังตัวกันตลอดเวลาอยู่แล้ว ต่อให้เป็นพวกที่วางตัวโอหังอยู่ข้างนอกจนเคยชิน พอมาอยู่ที่นี่ก็ล้วนเปลี่ยนมาเป็นว่าง่ายกันหมด
ที่พักของนักพรตสี่สายไม่ได้อยู่ในวงกลมใหญ่ของเกาะทงเทียน แต่อยู่ท่ามกลางหอเรือนเรียงรายบนพื้นที่นอกท่าเรือ พื้นที่ที่มีหอเรือนตั้งตระหง่านนี้ไม่เล็ก แบ่งออกเป็นสี่ส่วน เห็นได้ชัดว่าเตรียมไว้ให้แขกที่มาเยือนเข้าพักโดยเฉพาะ
ส่วนพื้นที่วงกลมใหญ่อันเป็นใจกลางสำคัญของเกาะทงเทียนนั้น หากไม่มีโองการจากเทียนจุน คนนอกก็ไม่สามารถเข้าไปได้ ได้แต่มองเห็นตำหนักจำนวนนับไม่ถ้วนและเงาร่างของทหารองค์รักษ์ที่เดินลาดตระเวนอยู่บนภูเขาสามลูกของวงกลมใหญ่ไกลๆ เท่านั้น
ป๋ายเสี่ยวฉุนปิดปากเงียบมาตั้งแต่ต้น ปล่อยให้องค์รักษ์ของเกาะทงเทียนจัดการตามใจชอบ และเห็นได้ชัดว่าโหวเสี่ยวเม่ยอยากมาหาเขา
แต่ส่วนที่นางรับผิดชอบไม่ใช่สำนักอันตมรรคาฟ้าดารา จึงได้แต่กะพริบตาปริบๆ ให้ป๋ายเสี่ยวฉุนไกลๆ
เมื่อยามสนธยาเยื้องกรายมาถึง นักพรตก่อกำเนิดนับพันของแม่น้ำสี่สายที่มาเยือนก็ได้ถูกผู้พิทักษ์ของเกาะทงเทียนจัดการพาเข้าไปยังที่พัก ในฐานะที่เป็นคนฟ้า ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงมีที่พักแยกออกมาเป็นของตัวเอง ซึ่งอยู่ใกล้กับเทือกเขามโหฬารอันเป็นทางเข้าเกาะทงเทียนอยู่มาก
สถานที่แห่งนี้มีปราณวิญญาณเข้มข้นเกินจะเปรียบ
เหนือกว่าสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราหลายต่อหลายเท่าตัว แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไร้อารมณ์จะฝึกตน เมื่อเห็นว่าสีท้องฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อยๆ เขาก็เลือกจะนั่งขัดสมาธิรอเงียบๆ
เขาเชื่อว่า คืนนี้…ตู้หลิงเฟยต้องมาแน่นอน!