Skip to content

A Will Eternal 940

บทที่ 940 พี่ชาย พวกเราไม่เหมาะสมกัน…

“เขาหนีได้โดยที่ไม่ต้องเปลืองแรงอะไรเลยงั้นหรือ!” อวิ๋นเหลยจื่อขมวดคิ้ว เมื่อเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงห้อตะบึงอย่างไม่หยุดยั้ง แฝดสองคนก็หันมามองหน้ากัน

“จะมัวล่าช้าต่อไปอีกไม่ได้แล้ว!” พวกเขาสูดลมหายใจเข้าลึก กำลังจะตัดสินใจผสานร่างอย่างเต็มที่ ทว่าเวลานี้เอง คนทั้งสองพลันหน้าเปลี่ยนสี หันขวับไปมองยังท้องฟ้าทิศไกล

เวลานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สัมผัสได้เหมือนกันเลยหันไปมองพร้อมหอบหายใจหนักหน่วง ครั้นจึงเห็นทันใดว่าบนท้องฟ้าทิศไกลมีใบหน้าใหญ่ยักษ์ใบหน้าหนึ่งลอยขึ้นมา ใบหน้านี้พร่าเลือน มีปราณสีดำล้อมวน มีเพียงดวงตาที่มืดทะมึนอึมครึมเท่านั้นที่หันมามองคนทั้งสาม

“เชียนกุ่ยจื่อ!” แฝดอวิ๋นเหลยขมวดคิ้ว ทว่ายังคงขยับเข้าไปใกล้ป๋ายเสี่ยวฉุนโดยรักษาความเร็วเท่าเดิม

คนฟ้าที่ปรากฏอยู่เหนือสนามรบคือเชียนกุ่ยจื่ออย่างแท้จริง เดิมทีเขากำลังตามหานักพรตของแม่น้ำสายใต้บนพื้นที่ราบแห่งนี้ พอสัมผัสได้ถึงคลื่นกระเพื่อมไหวของสถานที่นี้จึงหันมามอง แต่เมื่อกวาดอำนาจจิตมาหนึ่งครั้งเขาก็ดึงกลับทันที และใบหน้ายักษ์บนท้องฟ้าก็ทำท่าจะจากไปโดยไม่มีลังเล

ในสายตาของเขา ความขัดแย้งระหว่างสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราและสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา เขาไม่จำเป็นต้องช่วยฝ่ายไหน เมื่อเห็นว่าเชียนกุ่ยจื่อกำลังจะจากไป แฝดอวิ๋นเหลยก็ระบายลมหายใจออกมา เป้าหมายของพวกเขาคือป๋ายเสี่ยวฉุน หากเชียนกุ่ยจื่อลงมือก็เห็นได้ชัดว่าวันนี้พวกเขาคงไม่สามารถสังหารป๋ายเสี่ยวฉุนได้

เพียงแต่เชียนกุ่ยจื่ออยากจากไป ทว่าพอป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นเชียนกุ่ยจื่อแล้ว ดวงตาของเขาก็พลันเป็นประกายแล้วร้องอุทานเสียงสูงทันที

“สหายนักพรตเชียนกุ่ยโปรดหยุดก่อน แม่น้ำสายใต้ของพวกเจ้ามีศิษย์แห่งความภาคภูมิใจชื่อซุนอู๋ใช่หรือไม่…”

เดิมทีเชียนกุ่ยจื่อคิดจะจากไป แต่พอได้ยินประโยคนี้แล้ว เขาชะงักกลับฝีเท้า ดวงตาของใบหน้ามหึมาบนท้องฟ้าที่ระเบิดแสงรุบหรู่น่าขนลุกยิ่งกว่าเดิมพลันหันขวับมามองป๋ายเสี่ยวฉุน

แทบจะขณะเดียวกับที่เขาหันมามอง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตบถุงเก็บของหนึ่งครั้งแล้วปล่อยซุนอู๋ จางต้าพั่งและซ่งเชวียสามคนออกมา

“สหายนักพรตเชียนกุ่ย ตอนนั้นซุนอู๋ของสำนักเจ้ามีอันตราย ข้าได้ลงมือช่วยเขาเอาไว้ น้ำใจครั้งนี้ สำนักมังกรเหินสมุทรผีของพวกเจ้าจะรับไว้หรือไม่!”

เชียนกุ่ยจื่ออึ้งตะลึง นัยน์ตาฉายความลังเล ซุนอู๋คือศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของแม่น้ำสายใต้ ป๋ายเสี่ยวฉุนช่วยอีกฝ่ายเอาไว้ สำหรับแม่น้ำสายใต้แล้ว เรื่องครั้งนี้ถือเป็นน้ำใจครั้งหนึ่งอย่างแท้จริง

หากเปลี่ยนมาเป็นเวลาอื่น เชียนกุ่ยจื่อคงผงกศีรษะยอมรับ เพียงแต่ว่าตอนนี้แฝดอวิ๋นเหลยอาจผสานรวมร่างกันได้ทุกขณะ อีกทั้งป๋ายเสี่ยวฉุนยังตกเป็นรอง เชียนกุ่ยจื่อใคร่ครวญแล้วก็รู้สึกว่าต่อให้เพิ่มตนเข้าไป เกรงว่าก็คงยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอวิ๋นเหลยจื่อที่ผสานรวมร่างกันแล้ว

นี่จึงทำให้เขาเริ่มลังเล

ขณะเดียวกัน แฝดอวิ๋นเหลยที่ได้ยินเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันหน้าเปลี่ยนสี คนทั้งสองจึงเอ่ยขึ้นแทบจะเวลาเดียวกัน

“เชียนกุ่ยจื่อ นี่คือความแค้นส่วนตัวระหว่างพวกเราและป๋ายเสี่ยวฉุน ขอเจ้าอย่าได้ยื่นมือเข้าแทรก หลังจบเรื่องข้าจะส่งของขวัญชิ้นใหญ่ไปขอบคุณ!”

แทบจะวินาทีเดียวกับที่แฝดอวิ๋นเหลยเอ่ยขึ้น ดวงตาของเชียนกุ่ยจื่อก็ฉายความเด็ดเดี่ยว เขายกมือขวาขึ้นคว้าจับพวกซุนอู๋ จางต้าพั่งและซ่งเชวียสามคน ปากก็เปล่งถ้อยคำที่ชวนขนหัวลุกคล้ายเสียงของผีร้ายออกมา

“สหายนักพรตป๋าย เจ้าช่วยซุนอู๋ของสำนักข้าคนเดียว วันนี้ข้าช่วยคนของสำนักเจ้าสองคน ไม่เพียงแต่ช่วยเอาไว้ ข้ายังรับรองว่าพวกเขาจะปลอดภัยเมื่ออยู่ในพื้นที่การประลองแห่งนี้ นี่ถือเป็นการตอบแทนน้ำใจเจ้าแล้ว”

ได้ยินถ้อยคำของเชียนกุ่ยจื่อ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ้มฝืดเฝื่อน เขารู้ว่าเชียนกุ่ยจื่อไม่มีทางช่วยตนอย่างไร้สาเหตุ แต่ว่าจะให้จางต้าพั่งและซ่งเชวียอยู่แต่ในถุงเก็บของก็ไม่ได้ ตอนนี้พวกเขาได้รับการปกป้องจากเชียนกุ่ยจื่อก็ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนพอจะวางใจได้บ้าง เขาจึงสะบัดปลายแขนเสื้อพร้อมๆ กับส่งข้อความเสียงสั่งความจางต้าพั่งและซ่งเชวีย

คนทั้งสองที่กำลังร้อนใจจึงให้ความร่วมมือกับป๋ายเสี่ยวฉุน ดังนั้นซุนอู๋สามคนจึงถูกเชียนกุ่ยจื่อคว้าตัวผ่านอากาศ

จากนั้นเชียนกุ่ยจื่อก็ม้วนตลบร่างของซุนอู๋สามคนพาทะยานจากไปไกลทันที

และชั่วขณะที่เชียนกุ่ยจื่อจากไปนั้นเอง ดวงตาของแฝดอวิ๋นเหลยก็มีประกายเย็นเยียบเปล่งวาบ เดิมทีคนทั้งสองยังอยู่ในขั้นตอนของการผสานรวมร่าง ยามนี้เมื่อจิตใจเชื่อมโยงถึงกัน ร่างของพวกเขาที่อยู่กลางอากาศก็แทบจะใช้ความเร็วที่มากที่สุดผสานรวมกันเป็นครั้งสุดท้ายในชั่วพริบตาเดียว

ร่างของพวกเขาที่เดิมทีคนหนึ่งร่างซีกซ้ายหนาใหญ่ ร่างซีกขวาแห้งเหี่ยว ส่วนอีกคนร่างซีกขวาหนาใหญ่ ร่างซีกซ้ายแห้งเหี่ยว มาบัดนี้เมื่อผสานรวมจึงมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าคนสองคนได้กลายมาเป็นคนคนเดียวกัน!

จุดที่ผสานรวมก็คือจุดที่แห้งเหี่ยวของแฝดทั้งสอง และเวลาแค่อึดใจเดียว พลังที่น่าตะลึงขุมหนึ่งก็พลันกระเพื่อมขึ้นแล้วซัดตะลุยไปรอบด้าน ก่อนจะก่อกลายมาเป็นพายุบ้าคลั่งลูกหนึ่งที่คล้ายจะเชื่อมโยงฟ้าและดินเข้าไว้ด้วยกัน

พายุลูกนี้ใหญ่พอพันจั้ง มันกว้างใหญ่ไพศาลเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด มองเห็นได้ว่าตรงจุดศูนย์กลางของพายุคลั่งนี้มีชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่…ร่างใหญ่บึกบึนสุดประมาณคล้ายเทพมารที่ยืนอยู่ตรงนั้น!

เรือนกายของชายฉกรรจ์ผู้นี้สูงใหญ่น่าครั่นคร้าม ดวงตาของเขาเป็นประกายวาววามมีชีวิตชีวาราวกับว่าต่อให้ไม่แสดงความโกรธก็ยังน่าเกรงขาม เส้นผมสีดำยาวสลวยของเขาโบกสะบัดไปตามลม ขับให้ประกายในดวงตาเปลี่ยนมาเป็นมืดดำ ทั่วทั้งร่างแผ่กลิ่นอายของความชั่วร้ายอย่างที่มิอาจบรรยายได้!

ความว่างเปล่ารอบด้านเขาก็เหมือนกำลังสั่นระริก ก่อนจะปรากฏรอยแตกเป็นเส้นๆ คล้ายมิอาจแบกรับพลานุภาพสยบที่มาจากร่างของชายฉกรรจ์ผู้นี้ได้ อีกทั้งความแข็งแกร่งของเจตจำนงเขาก็มากถึงขั้นที่ว่าเพียงแค่เงยหน้าก็ทำให้สายฟ้าซัดดังครืนครั่น เจตจำนงของป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในฟ้าดินแปดทิศพลันถูกขับไล่ออกไปในเสี้ยววินาที

แข็งแกร่ง!

แข็งแกร่งมาก!!

ในความรู้สึกของป๋ายเสี่ยวฉุน อวิ๋นเหลยจื่อที่ผสานรวมร่างเข้าด้วยกันแล้วมีตบะเหนือกว่าคนฟ้าช่วงกลาง ไต่ทะยานไปถึงคนฟ้าช่วงท้าย อีกทั้งยังขยับเข้าไปใกล้…คนฟ้าขั้นสมบูรณ์แบบมากขึ้นทุกขณะ!!

พลานุภาพสยบที่มาจากร่างของอีกฝ่ายทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง

ไม่เพียงแต่ลมหายใจถี่กระชั้น แม้แต่ร่างก็ยังถอยกรูดไปด้านหลัง ทว่าวินาทีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนก้าวถอยนั้นเอง อวิ๋นเหลยจื่อที่อยู่ในสภาวะสมบูรณ์แบบก็ยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มดูแคลน

แทบจะเวลาเดียวกันกับที่รอยยิ้มดูแคลนนี้ปรากฏขึ้น เขาก็ก้าวเดินออกมาหนึ่งก้าว นาทีนั้นเหมือนฟ้าดินหดเล็กลงแล้วมารองรับอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา ก้าวนั้นที่เหยียบลง เขาจึงพลันมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุน ก่อนจะยกมือขวาขึ้นแล้วโบกอย่างแรง

นี่เป็นเพียงแค่การโบกมืออย่างไม่ใส่ใจเท่านั้น ทว่าทันใดนั้นพลังแห่งการทำลายล้างที่พวยพุ่งเทียมฟ้ากลับกลายมาเป็นสายฟ้าเส้นโค้งงอสีดำหลายเส้นที่พุ่งดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเหมือนหนังหัวจะระเบิด กล้ามเนื้อทุกอณูในร่างกำลังกรีดร้อง เขารีบยกมือทั้งสองขึ้นทำมุทราต้านทานสุดกำลัง

เสียงชนปะทะดังตูมตามกึกก้องไปทั้งชั้นฟ้า มุมปากของป๋ายเสี่ยวฉุนมีเลือดไหลซึมออกมา ร่างทั้งร่างปลิวละลิ่วคล้ายว่าวที่สายป่านขาด เพียงแค่พลังการโบกมือครั้งเดียวของอวิ๋นเหลยจื่อ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถูกซัดจนกระเด็นออกไปเป็นพันจั้ง

“ไม่นึกเลยว่าหลังจากผสานรวมร่าง ไอ้หมอนี่จะแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่นรัว หากไม่ใช่เพราะกล้ามเนื้อของเขาแข็งแกร่ง เกรงว่าการโจมตีเมื่อครู่นี้คงทำให้ร่างของเขาแหลกลาญไปนานแล้ว และตอนนี้ในใจเขาก็ให้รู้สึกโชคดีที่เมื่อครู่นี้ตนใช้แค่ยาแยกทาง ไม่ได้ใช้ยากระสันซ่าน หาไม่แล้วคงอันตรายมากจริงๆ …

เขายังไม่ทันยืนได้มั่นคง เสียงของอวิ๋นเหลยจื่อกลับดังก้องไปแปดทิศ

“ป๋ายเสี่ยวฉุน ข้าบอกว่าวันนี้เจ้าต้องตาย เจ้าก็ไม่มีทางมีชีวิตรอดไปถึงวันพรุ่งนี้!” เสียงนี้เย็นเยียบคล้ายหิมะที่ตกในวันที่อากาศหนาวที่สุด เมื่อดังก้องอยู่ในสี่ทิศ อวิ๋นเหลยจื่อก็เดินออกมาอีกหนึ่งก้าว พริบตาเดียวก็ไล่ตามมาทันป๋ายเสี่ยวฉุน และกำลังจะลงมือ

ทว่าวินาทีที่ประโยคนั้นของเขาเพิ่งดังหลุดไปจากปาก จู่ๆ อวิ๋นเหลยจื่อก็หน้าเปลี่ยนสี เพราะในปากของเขากลับมีเสียงที่สองดังออกมา!

“พี่ชาย พวกเราสองคนไม่เหมาะสมกัน ฝืนใจอยู่ด้วยกันไปก็ไม่มีทางมีความสุขได้!”

หลังจากที่ประโยคประหลาดนี้ดังออกมาจากปากของอวิ๋นเหลยจื่อ วินาทีนั้นร่างของเขาก็พลันสั่นสะเทือนอยู่สองสามที เรือนกายที่เดิมทีผสานรวมกันอย่างสมบูรณ์แบบ จู่ๆ กลับ…ปรากฎเงาทับซ้อนขึ้นมา สามารถมองเห็นได้ว่าอวิ๋นเหลยจื่อคนน้องกำลังพยายามสุดความสามารถที่จะแยกร่างออกมาจากการผสานรวมครั้งนี้

อีกทั้งสีหน้าของอวิ๋นเหลยจื่อก็ยังเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อันดับแรกคือสีหน้าอึ้งตะลึง หลังจากนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นรังเกียจเดียดฉันท์ ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นตะลึงพรึงเพริด และสุดท้ายคือความเหลือเชื่อ

“นี่มันเรื่องอะไรกัน!!” ในใจของอวิ๋นเหลยจื่อสั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่ง เขาอึ้งงันไปอย่างสิ้นเชิง ชีวิตนี้เขาไม่เคยเจอเรื่องอะไรแบบนี้มาก่อน เวลานี้ในร่างของเขามีสองปณิธาน ซึ่งต่างฝ่ายต่างกำลังขัดแย้งกันเอง…เห็นได้ชัดว่าปราณของเขาในเวลานี้ไม่มั่นคง เหมือนจะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ ทำให้คนมองรู้สึกได้ถึงความซับซ้อนวุ่นว่าย ถึงขั้นที่ว่ามือฝั่งซ้ายและฝั่งขวาของเขาเริ่มโจมตีกันเองแล้ว…

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่เห็นว่าเป็นเช่นนี้ก็พลันปิติยินดีอย่างยิ่งยวด ทั้งยังตื่นเต้นสุดประมาณ หากไม่เป็นเพราะยังอยู่ในสถานการณ์ของการคุมเชิงกันและกัน เกรงว่าเขาคงกระโดดโลดเต้นไปแล้ว

“ยาแยกทางออกฤทธิ์แล้ว!!”

ไร้ซึ่งความลังเลใด ชั่วขณะที่ร่างของอวิ๋นเหลยจื่อเกิดลางว่าจะแยกออกจากกันนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็คำรามกร้าว ก่อนที่ด้านหลังของเขาจะมีเงาร่างใหญ่โตเกินจะหาสิ่งใดเปรียบจำแลงออกมา!

สวมชุดจักพรรดิ สวมมงกุฎจักรพรรดิ ปราณแห่งความเผด็จการเกินกว่าใครจะทัดทานพวยพุ่งขึ้นเทียมฟ้า อีกทั้งเวลานี้มือขวาที่กำเป็นหมัดก็มีหลุมดำขนาดมหึมาลูกหนึ่งปรากฏขึ้นมา

และพริบตาเดียวหลุมดำนั้นก็ดูดเอาพลังทั้งหมดของป๋ายเสี่ยวฉุนไปครอง ทำให้ร่างทั้งร่างของเขาคล้ายกลวงโบ๋ แม้แต่แสงของนัยน์ตาก็ยังจางหายไป

ทว่าหมัดมือข้างขวาของเขาบัดนี้กลับแผ่คลื่นที่ยิ่งนานก็ยิ่งแข็งแกร่งออกมา ความว่างเปล่ารอบด้านบิดเบือนเหมือนโลกกำลังจะถูกทำลายล้าง ริ้วคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วนแผ่กระเพื่อมออกไป เขย่าคลอนพื้นที่ราบแห่งนี้ให้สั่นสะเทือน พุ่มไม้สะบัดไหวเอนรุนแรงคล้ายมีพลานุภาพสยบจากสวรรค์เยื้องกรายลงมา สุดท้ายก็มารวมตัวกันอยู่ที่หมัดข้างนั้น!

ห้าเท่า!

หมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญ!

หนึ่งหมัดซัดลงมา ฟ้าดินสนั่นหวั่นไหว เมื่อปณิธานสูงส่งไร้ทัดเทียมที่ระเบิดออกมาจากร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนรวมเข้ากับความเผด็จการเทียมฟ้าจากเงาร่างจักรพรรดิด้านหลังของเขา จึงทำให้หมัดนั้นประดุจดาวตกที่พุ่งลงมาจากฟ้าพร้อมเสียงอึกทึกกึกก้องซึ่งตรงดิ่งเข้าหาอวิ๋นเหลยจื่อ!

วิกฤตคับขัน หัวใจของอวิ๋นเหลยจื่อสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง ปณิธานสองอย่างในร่างกำลังดิ้นรนขัดแย้งกันอย่างรุนแรง แถมภายนอกยังมีการโจมตีที่ทำให้เขาขวัญผวาจากป๋ายเสี่ยวฉุน ความได้เปรียบของอวิ๋นเหลยจื่อแทบจะพังทลายลงไปในชั่วพริบตา ทุกอย่างนี้มาเยือนเร็วเกินไป ทำเอาอวิ๋นเหลยจื่อตั้งตัวไม่ทันแม้แต่น้อย

ทว่าถึงที่สุดแล้วเขาก็ยังคงเป็นคนฟ้าที่ประสบการณ์โชกโชน ตลอดทั้งร่างจึงมีเสียงเปรี๊ยะดังลั่นออกมาคล้ายกำลังมีไฟลุกไหม้ เส้นผมของเขากลายเป็นสีดอกเลาในชั่วพริบตา เขาถึงขั้นใช้วิธีการเผาผลาญอายุขัยมาแลกด้วยการระงับฤทธิ์ยาแยกทางในชั่วระยะเวลาสั้นๆ อย่างสุดกำลัง

“บรรพจารย์อวิ๋นเหลยแปรเปลี่ยนครั้งที่หก!”

“บรรพจารย์อวิ๋นเหลยแปรเปลี่ยนครั้งที่เจ็ด!”

“บรรพจารย์อวิ๋นเหลยแปรเปลี่ยนครั้งที่แปด!!” อวิ๋นเหลยจื่อคำรามด้วยเสียงแข็งกระด้าง พลังอำนาจบนร่างสะเทือนฟ้าก็พลันไต่ทะยานขึ้นสูงพร้อมๆ กับที่เรือนกายขยายใหญ่จนมีขนาดแปดสิบจั้ง ทั่วทั้งร่างแผ่ปราณของความป่าเถื่อนดุดันถึงขีดสุด คล้ายบรรพบุรุษแห่งมวลมนุษย์ชาติเยื้องกรายลงมาเยือนโลกใบนี้ด้วยตัวเอง!

เรือนกายหนาบึกบึนเปี่ยมล้นไปด้วยความบ้าคลั่งและความดุร้าย และยังมีเส้นผมที่ยุ่งเหยิงรวมไปถึงความบ้าระห่ำและความดิ้นรนในดวงตาที่ทำเอานภากาศทั้งผืนสั่นสะเทือน พื้นที่ราบโยกคลอน ร่างของเขาในเวลานี้มีปณิธานสูงล้ำยิ่งกว่าปณิธานแห่งฟ้า กลายร่างมาเป็นกฎเกณฑ์ของฟ้าดินเสียเอง!

“ดับ!” เสียงฟ้าคำรณผ่าเปรี้ยงลงมาดังเกริกก้อง!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version