Skip to content

A Will Eternal 941

บทที่ 941 คำเรียกขานคำนั้น…

เหมือนการปะทะกันของฟ้าและดิน หมัดจักรพรรดิมิดับสูญของป๋ายเสี่ยวฉุนหอบเอาพลังแห่งความว่างเปล่าแปดทิศเข้ามา ใช้พลังกล้ามเนื้อเป็นรากฐาน ดึงพลังชีวิตออกมาถึงห้าเท่าเพื่อสร้างการโจมตีทำลายล้างที่พุ่งมาอย่างกับดาวตก!

ส่วนการแปลงกายของอวิ๋นเหลยจื่อก็เป็นวิชาอภินิหารขั้นสูงสุดเช่นเดียวกัน โครงสร้างของการจำแลงกายเป็นเหมือนกายธรรมอย่างหนึ่งที่ผสานรวมกับร่างของตัวเอง จำแลงมาเป็นร่างที่เป็นราวกับบรรพชนของมวลมนุษย์ชาติ!

บรรพบุรุษของมนุษย์นั้นในตำนานเล่ากันว่าคือต้นกำเนิดของทุกสิ่งบนโลกใบนี้ ซึ่งต่อให้ตอนนี้เขาจะแปลงร่างเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์แล้วแต่ก็ยังไม่สามารถเทียบเคียงกับบรรพบุรุษจริงๆ ของเผ่ามนุษย์ได้ ทว่าขอแค่มีพลังของบรรพบุรุษแห่งมวลมนุษย์อยู่ในร่างเพียงเสี้ยวเดียวก็สามารถทำให้อวิ๋นเหลยจื่อที่อาจไม่ถึงขั้นเขย่าฟ้าโยกคลอนแผ่นดินก็มากพอจะกวาดตะลุยไปทั่วแปดทิศได้

ท่ามกลางเสียงกึกก้อง ดาวตกกับสายฟ้าก็พลันปะทะเข้าด้วยกัน!

พริบตาเดียวฟ้าดินก็ส่งเสียงสะเทือนเลือนลั่น เสียงกัมปนาทนี้ดังไปทั่วพื้นที่ราบ ทั้งยังก่อให้เกิดพลังโจมตีไร้คำบรรยาย ท่ามกลางการซัดสาดของแรงโจมตีนี้ทำให้ครึ่งหนึ่งของพื้นที่ราบเหมือนถูกพายุระห่ำกวาดทำลายล้าง พริบตาเดียวต้นไม้ใบหญ้าจำนวนนับไม่ถ้วนก็กลายมาเป็นฝุ่นธุลี!

นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสิ่งมีชีวิตจำนวนไม่น้อยที่ซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ราบแห่งนี้ซึ่งบาดเจ็บล้มตายกันไปนับไม่ถ้วน…

อีกทั้งยังดึงดูดความสนใจของนักพรตหลายคนที่อยู่ในพื้นที่การประลอง

“เกิดอะไรขึ้น!!”

“คุณพระช่วย คลื่นนี้…หรือว่าคนฟ้ากำลังต่อสู้กัน!! แต่ต่อให้เป็นศึกของคนฟ้าก็ไม่น่าจะแผ่คลื่นออกมาไกลได้ขนาดนี้นี่นา!”

นักพรตทุกคนในพื้นที่การประลองที่สัมผัสได้ถึงคลื่นนี้พากันใจสั่น เชียนกุ่ยจื่อที่กำลังห้อตะบึงไปกลางอากาศพลันหยุดชะงัก ม่านตาที่หันกลับมามองพื้นที่สมรภูมิรบหดตัวลงน้อยๆ

“อวิ๋นเหลยจื่อแข็งแกร่ง เรื่องนี้ผู้คนรับรู้กันทั่ว ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นั้น…กลับสามารถต้านทานคลื่นรุนแรงที่อีกฝ่ายสร้างขึ้นมาได้…” เชียนกุ่ยจื่อสูดลมหายใจเข้าลึก นัยน์ตาเผยแววครุ่นคิด

และเวลานี้ริมขอบของพื้นที่ราบซึ่งขยับเข้าไปใกล้เขตป่าไม้ พวกตู้หลิงเฟยและชายหนุ่มประหลาดคนนั้นก็กำลังทะยานมาข้างหน้าเช่นกัน

พวกเขาข้ามทะเลทราย หนองบึงและผืนป่ามาแล้ว ตอนนี้จุดที่พวกเขากำลังจะไปก็คือที่ตั้งของพื้นที่ราบแห่งนี้

ตอนที่คลื่นนั้นส่งผ่านมา ตู้หลิงเฟยสัมผัสได้จึงหันไปมอง

“ไม่ต้องสนใจ” แทบจะวินาทีเดียวกับที่ตู้หลิงเฟยมองไป ชายหนุ่มประหลาดที่อยู่ข้างกายนางก็เอ่ยขึ้นเสียงเรียบราวกับว่าต่อให้เป็นคลื่นเคลื่อนไหวระดับเท่านี้ก็ยังไม่สามารถดึงดูดความสนใจจากเขาได้แม้แต่น้อย

ตู้หลิงเฟยได้ยินประโยคนี้ก็พยักหน้ารับ นางสัมผัสได้แค่ว่าทิศทางที่คลื่นนี้ส่งมาไม่ไกลจากจุดที่ตัวเองอยู่มากนัก แต่กลับไม่สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าคลื่นนั้นเป็นของใคร นางจึงย่างเท้าเข้าไปในพื้นที่ราบอย่างไม่คิดมาก

และเวลานี้ตรงกลางพื้นที่การประลองของอวิ๋นเหลยจื่อกับป๋ายเสี่ยวฉุนที่ถูกแรงโจมตีจากวิชาอภินิหารน่าหวาดกลัวของทั้งสองคน แผ่นดินก็เกิดรอยปริร้าว ก่อนจะยุบยวบลงไป ขณะเดียวกันป๋ายเสี่ยวฉุนก็กระอักเลือดอย่างบ้าคลั่ง ร่างถูกพละกำลังแกร่งกร้าวขุมหนึ่งเหวี่ยงออกไปอย่างแรง

ตอนที่อยู่กลางอากาศ เขายังคงพ่นเลือดเป็นสายอย่างที่ไม่อาจควบคุมตัวเองได้ เบื้องหน้ามืดดำ ร่างทั้งร่างเจ็บร้าวไร้เรี่ยวแรง ราวกับว่าแม้แต่แรงให้ยกมือก็ยังไม่มี

ยังดีที่แม้พลังกล้ามเนื้อจะถูกเผาผลาญไป ทว่าตบะของเขายังคงอยู่ ยามนี้เมื่อแผ่ตบะออกมาจึงพอจะบังคับเรือนกายตัวเองไว้ได้บ้าง ร่างทั้งร่างจึงกลายเป็นรุ้งเส้นยาวที่พุ่งจากไปไกลอย่างรวดเร็ว

ลมหายใจของเขาไม่มั่นคง หัวใจของเขาสั่นรัวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

นั่นเป็นเพราะพลังแว้งกลับจากการโจมตีเมื่อครู่นี้รุนแรงเกินไป แถมวิชาอภินิหารของอวิ๋นเหลยจื่อยังน่าครั่นคร้าม ทำให้หมัดจักรพรรดิมิดับสูญของเขาระเบิดพังทลายออกเพราะแบกรับแรงจู่โจมจากภายนอกไม่ไหวเป็นครั้งแรก

ที่พังทลายไปพร้อมกันยังมีเรือนกายบรรพชนของอวิ๋นเหลยจื่อด้วย หมัดจักรพรรดิมิดับสูญของป๋ายเสี่ยวฉุนสามารถบดขยี้คนฟ้าช่วงกลาง ต่อให้เป็นคนฟ้าช่วงท้ายก็ยังต้องหน้าเปลี่ยนสีอย่างที่มิอาจควบคุม!

สำหรับอวิ๋นเหลยจื่อแล้ว หากไม่มีแรงรบกวนจากภายใน เขาก็จะได้เปรียบสูงสุด แม้อาจไม่ถึงขั้นบดขยี้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ แต่ก็มากพอจะคลี่คลายการโจมตีนั้นจากป๋ายเสี่ยวฉุน

เพียงแต่ว่า…สภาพของเขาในตอนนี้เลวร้ายยิ่งกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเสียอีก

ร่างของเขาสั่นเทิ้มพร้อมๆ กับที่พลังจากการผสานรวมเริ่มถดถอยลงอย่างรวดเร็ว ปากก็ยิ่งมีประโยคแปลกพิกลดังออกมา

“พี่ชาย พวกเราแยกทางกันเถอะ นับแต่นี้ไปท่านก็คือท่าน ข้าก็คือข้า!”

“น้องชาย เจ้าจะทำอย่างนี้ไม่ได้นะ…พวกเราคือร่างเดียวกัน…”

ทั้งหมดนี้ทำให้อวิ๋นเหลยจื่อใกล้จะเป็นบ้าเต็มที สภาพการผสานรวมร่างของเขาในเวลานี้ จิตวิญญาณของเขานั้นสมบูรณ์แบบ ทว่าท่ามกลางความสมบูรณ์แบบนี้ จิตใจของเขากลับเหมือนแบ่งออกเป็นสองส่วน และต่างฝ่ายก็ต่างผลักไสกันเอง ทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองจะเป็นบ้าเข้าจริงๆ แล้ว

ส่วนร่างกายของเขาบางครั้งก็เหมือนจะแยกส่วนออกจากกัน บางครั้งก็เหมือนจะผสานรวมเป็นหนึ่ง ความรู้สึกทรมานยากจะทนรับนั้นทำให้เขาใกล้จะแหลกสลายเต็มที

มาถึงท้ายที่สุด อวิ๋นเหลนจื่อก็ถึงกับแหงนหน้าแผดเสียงคำรามแล้วร่ายใช้เวทลับอีกครั้ง หลังจากข่มกลั้นเจตจำนงอีกขุมหนึ่งในร่างลงไปได้ ร่างจึงมิอาจรักษาสภาพการผสานรวมอย่างสมบูรณ์แบบไว้ได้อีกต่อไป ปราณของเขาถดถอยลงอย่างฮวบฮาบ ขณะเดียวกันก็พยายามฝืนผสานรวมร่างเหมือนเมื่อตอนแรกเริ่มอีกครั้ง ดวงตาทั้งคู่ของเขาแดงก่ำ พลันเงยหน้าขึ้นแล้วร้องคำรามอย่างบ้าคลั่ง

“ป๋ายเสี่ยวฉุน ข้าจะฆ่าเจ้า!!”

ลมหายใจของเขาหอบหนัก พุ่งกระโจนไล่ล่าป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความเร็วสูงสุด

เมื่อเห็นว่าอวิ๋นเหลยจื่อที่โดนยาแยกทางเข้าไปกลับยังแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หอบหายใจดังเฮือก

เขารู้สึกโชคดีที่ตัวเองมียาแยกทาง หาไม่แล้ว หากอวิ๋นเหลยจื่ออยู่ในสภาพสมบูรณ์แบบล่ะก็ แค่คิดเขาก็สยองแล้ว

เพราะหลังจากที่อวิ๋นเหลยจื่อผสานรวมร่างด้วยกันนั้นแข็งแกร่งมากเกินไป แข็งแกร่งจนทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าตนมิอาจต่อกรด้วยได้

“ขนาดหมัดจักรพรรดิมิดับสูญก็ยังไม่มีประโยชน์ หรือว่าจะต้องร่ายใช้พิฆาตเทพจริงๆ …” ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังคิดไม่ตก พอนึกได้ถึงข้อเสียของวิชาพิฆาตเทพก็ทำให้เขาปวดหัวอย่างยิ่ง

“รังแกกันมากเกินไปแล้ว ตอนแรกที่แข่งทางสายตา พวกเขาสองคนก็รุมข้า ตอนนี้ก็เป็นเหมือนเดิม แน่จริงก็มาสู้กับข้าตัวต่อตัวสิ!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ยินยอมอย่างถึงที่สุด แต่กลับจนใจ ได้แต่ข่มกลั้นความอัดอั้นตันใจเอาไว้

“สมควรตายนัก ดูท่าปริมาณของยาแยกทางคงจะน้อยเกินไป ข้าจะเพิ่มจำนวนให้เอง!” สมองป๋ายเสี่ยวฉุนหมุนเร็วจี๋ ขณะที่กำลังคิดจะหาวิธีช่วยเหลือตนเอง ด้านหลังของเขากลับมีเสียงกัมปนาทของสายฟ้ามากมายที่กำลังพุ่งมาถึงตรงนี้

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกชาไปทั้งหนังหัว หลังจากหลบพ้นมาได้อย่างทุลักทุเลก็โยนยาแยกทางออกไปอีกกำใหญ่ พอยากำหนึ่งถูกโยนออกมา เหลยอวิ๋นจื่อก็ใจหายวาบ รีบเบี่ยงตัวหลบ ตอนนี้เขากลัวยาของป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าจริงๆ แล้ว

“ยาของไอ้หมอนี่ชั่วช้าเกินไปแล้ว!!” อวิ๋นเหลยจื่อเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ตอนนี้เขาเองก็คิดได้แล้วว่าที่ตนต้องตกอยู่ในสภาพน่าอัดอั้นตันใจขนาดนี้ก็เป็นเพราะก่อนหน้านั้นซึมซับควันยาของป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าไป

พอนึกถึงว่ายาของป๋ายเสี่ยวฉุนสามารถส่งผลกระทบให้กับตน อวิ๋นเหลยจื่อก็ใจสั่นเยือก ปราณสังหารยิ่งเข้มข้น และเวลานี้พวกเขาสองฝ่ายที่กำลังไล่ฆ่ากันก็ได้ทะยานมาถึงขอบของพื้นที่ราบและพอจะมองเห็นป่าไม้ได้รำไรแล้ว

เมื่อเห็นว่าอวิ๋นเหลยจื่อยังคงไล่ตามมาไม่เลิกรา ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เผยความบ้าคลั่ง กำลังจะร่ายใช้วิชาพิฆาตเทพที่เป็นท่าไม้ตายสุดท้ายของเขาโดยไม่สนใจสิ่งใด

ทว่าขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังจะบีบเลือดคงกระพันหยดหนึ่งในร่างให้แตกออก ทันใดนั้นเขาก็มองเห็นว่าตรงริมขอบของพื้นที่ราบมีคนกลุ่มหนึ่งเผยตัว…

คนกลุ่มนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนคุ้นเคยดี ซึ่งก็คือตู้หลิงเฟยและชายหนุ่มประหลาดผู้นั้น รวมไปถึงองค์รักษ์รอบกายพวกเขาอีกหลายคน พวกเขาเคยเจอกับป๋ายเสี่ยวฉุนที่ทะเลทรายเมื่อครั้งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเจอกับอวิ๋นเหลยจื่อเป็นครั้งแรก ตอนนี้เวลาผ่านไปแล้วหลายเดือน พวกเขากลับมาปรากฏตัวตรงผืนป่าอีกครั้ง

และวินาทีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นพวกตู้หลิงเฟย ตู้หลิงเฟยเองก็มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนเช่นกัน หลังจากอึ้งงันกันไปครู่ นางก็พลันมองเห็นอวิ๋นเหลยจื่อที่ไล่ตามมาด้านหลังป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยปราณอำมหิตเทียมฟ้า สีหน้าท่าทางดุร้ายเอาเรื่อง

อวิ๋นเหลยจื่อเองก็สังเกตเห็นพวกตู้หลิงเฟยเช่นกัน

ในฐานะที่เป็นบุรพาจารย์คนฟ้าของสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้ามานานหลายปี เขาจึงรู้ดีถึงตัวตนของตู้หลิงเฟย และต่อให้เขาจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ยังไม่กล้าทำตัวโอหังต่อหน้านาง ดังนั้นฝีเท้าที่ไล่ล่าป๋ายเสี่ยวฉุนมาจึงผ่อนช้าลงอย่างห้ามไม่ได้ แต่กระนั้นก็ยังคงไม่หยุดไล่ล่า

เพราะอย่างไรซะในสายตาของเขา นี่คือความแค้นส่วนตัวระหว่างเขากับป๋ายเสี่ยวฉุน เกาะทงเทียนไม่เคยยื่นมือเข้าแทรกเรื่องบุญคุณความแค้นส่วนตัวของใคร ดังนั้นแม้เขาจะกริ่งเกรง แต่กลับยังคงไม่ละทิ้งความพยายามที่จะไล่ฆ่าอีกฝ่าย แค่ครุ่นคิดถึงคำอธิบายที่ควรมีให้ตู้หลิงเฟยก็เท่านั้น

“เทพธิดาตู้ เรื่องนี้คือเรื่องระหว่างข้าผู้แซ่อวิ๋นและป๋ายเสี่ยวฉุน…”

ตอนที่อวิ๋นเหลยจื่อไล่กวดมารวดเร็ว เขาก็ไม่ลืมที่จะยกมือขึ้นคารวะแล้วเอ่ยกับตู้หลิงเฟยอย่างนอบน้อม

เพียงแต่ว่าเขายังพูดไม่ทันจบ ประโยคหนึ่งที่ดังออกมาจากปากของป๋ายเสี่ยวฉุนก็แทบจะทำให้อวิ๋นเหลยจื่อพลัดตกลงมาจากกลางอากาศ…

“เมียจ๋าช่วยด้วย เมียจ๋าช่วยข้าด้วยยยย”

ยังไม่ทันรอให้ตู้หลิงเฟยตั้งตัวได้ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ปิติยินดีอย่างบ้าคลั่งคล้ายคนที่พบทางรอดชีวิตก็ตรงดิ่งเข้ามาหาตู้หลิงเฟย ขณะเดียวกันปากก็ตะโกนดังลั่น

เสียงตะโกนด้วยความตื่นเต้นของป๋ายเสี่ยวฉุนดังไปแปดทิศ และเนื่องด้วยความดีใจจึงทำให้เสียงนี้ฟังดูคล้ายจะเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นอันเร่าร้อน เต็มไปด้วยความซื่อสัตย์จริงใจที่ทำให้คนประทับใจ

เพียงแต่ว่า…วินาทีที่เสียงนี้ดังเข้าหูตู้หลิงเฟย ต่อให้เป็นตัวตู้หลิงเฟยเองก็ยังอึ้งงันไปทันใด นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกองค์รักษ์รอบกายนางที่แต่ละคนเบิกตากว้างด้วยความเหลือเชื่อ มองป๋ายเสี่ยวฉุนที่พุ่งตะบึงมาหาตู้หลิงเฟยด้วยสายตาเหม่อลอย

และยังมีชายหนุ่มที่อยู่ข้างกายตู้หลิงเฟยที่เวลานี้ดวงตาเป็นประกายวาววับ มองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาเย็นชา

ทว่าต่อให้รวมความตะลึงของทุกคนเข้าไว้ด้วยกันก็ยังเทียบกับความรู้สึกของอวิ๋นเหลยจื่อไม่ได้ เขายืนบื้อไปทันใด ความรู้สึกเหลวไหลไร้สาระที่เหนือกว่าความสับสนอลหม่านซึ่งเกิดจากฤทธิ์ของยาแยกทางก่อนหน้านี้ทำให้เขาตัวสั่นเทิ้ม ดวงตาทั้งคู่เบิกถลน นัยน์ตาฉายความเหลือเชื่อ เขาถึงขนาดคิดว่าตัวเองหูฝาดไป ที่ได้ยินเมื่อครู่นี้เป็นเพียงภาพลวงตา…

“เจ้า…เจ้าเรียกเทพธิดาตู้ว่าอะไรนะ…” ลมหายใจของอวิ๋นเหลยจื่อหอบรัวจนพูดติดๆ ขัดๆ ไม่เป็นคำ ขนาดโทนเสียงก็ยังเปลี่ยนไป เรียกได้ว่าอุทานจนเสียงหลง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version