Skip to content

A Will Eternal 942

บทที่ 942 อวิ๋นเหลยจื่อผู้คับแค้นใจ

เมื่อเห็นว่าประโยคเดียวของตัวเองทำให้อวิ๋นเหลยจื่อที่ก่อนหน้านี้ยังคิดจะเอาชีวิตของตนอย่างอำมหิตตกใจจนมีสภาพเช่นนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ให้ห้าวเหิมขึ้นมาทันควัน ทั้งยังลำพองใจอย่างถึงที่สุด หลังจากเดินเร็วๆ ออกไปไม่กี่ก้าวก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าตู้หลิงเฟยที่ตอนนี้อึ้งค้างไปเช่นกัน

จากนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนก็หันไปตะโกนใส่อวิ๋นเหลยจื่อที่เพิ่งร้องอุทานเสียงหลงไปหยกๆ ด้วยท่าทางหลงระเริง

“เจ้าไม่ได้ยินหรือว่าเมื่อครู่นี้ข้าพูดว่าอะไร นี่คือเมียข้าไงเล่า หึหึ เจ้ารู้หรือไม่ว่าพ่อตาของข้าคือใคร!”

“ข้าจะบอกเจ้าให้นะอวิ๋นเหลยจื่อ ก่อนหน้านี้ที่ข้าไม่พูดก็เพราะว่าแต่ไรไหนมาข้าป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตัว แต่เจ้ารังแกกันมากเกินไป ช่วยไม่ได้ ข้าคงได้แต่ให้เมียข้ามาช่วยเท่านั้น”

“ตอนนี้เจ้าคงจะตระหนักได้ถึงตัวตนของพ่อตาข้าแล้วสินะ ถูกต้อง พ่อตาของข้าคือนายแห่งเกาะทงเทียน ใต้เท้าเทียนจุน!”

เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนดังมาก ดังจนก้องไปทั่วสี่ทิศ ทุกประโยคเป็นราวกับภูเขาจากสรวงสวรรค์ที่กระแทกลงมากลางใจของอวิ๋นเหลยจื่อ ทำให้เขาหน้าเปลี่ยนสีอย่างบ้าคลั่ง ลมหายใจติดขัด ลูกตาแทบจะถลนออกมาจากเบ้า สับสนอึ้งตะลึงไปอย่างสิ้นเชิง ในสมองมีแต่เสียงดังอึงอล แล้วก็เสียงอึงอล…

แม้แต่ฝันเขาก็ยังจินตนาการไม่ถึงว่าป๋ายเสี่ยวฉุนที่ตนไล่ฆ่ามานานกลับมีตัวตนเช่นนี้ มีภูมิหลังเช่นนี้ มีที่มาเช่นนี้…ยิ่งนึกถึงเรื่องที่ว่าตนถึงขนาดกล้าไล่ฆ่าลูกเขยของเทียนจุน เขาก็รู้สึกเหมือนฟ้าถล่มลงมาตรงหน้า

เพียงแต่ว่าเขายังไม่ยอมแพ้

“ทั้งๆ ที่จะสังหารเขาได้อยู่แล้ว ทั้งๆ ที่วันนี้ข้าจะปลิดชีพคนผู้นี้ได้แล้ว…ทำไมกัน ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้!!” อวิ๋นเหลยจื่อรู้สึกเหมือนหัวของตัวเองจะระเบิดออก

และเขาก็ไม่อยากเชื่อเรื่องทุกอย่างที่ได้ยินในตอนนี้ แต่…ตู้หลิงเฟยที่ยืนอยู่ตรงนั้น แม้จะมีท่าทางอึ้งตะลึง ทว่าตั้งต้นจนถึงตอนนี้นางกลับไม่เอ่ยโต้แย้งแม้แต่คำเดียว ที่ทำให้ใจของอวิ๋นเหลยจื่อสั่นสะท้านได้มากที่สุดก็คือสองข้างแก้มของตู้หลิงเฟยกลับแดงก่ำคล้ายคนเขินอาย แถมยังหันมาถลึงตาใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งที และสายตาเช่นนี้ สีหน้าเช่นนี้ของนางก็ทำให้ความหวังเสี้ยวสุดท้ายในใจอวิ๋นเหลยจื่อพังทลายลงทันควัน เป็นเหตุให้เขาไม่ทันสังเกตเห็นว่าตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดว่าเทียนจุนคือพ่อตาของเขา สีหน้าของชายหนุ่มคนที่อยู่ข้างกายของตู้หลิงเฟยมองดูเหยเกไม่น้อย

สีหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งฮึกเหิมมากกว่าเดิม พอเห็นท่าทางที่อวิ๋นเหลยจื่อตกใจยืนบื้อ ในใจก็ให้ลำพองใจอย่างถึงที่สุด ครุ่นคิดว่าหากไม่เป็นเพราะเขาไม่กล้าพูดออกไป ถ้าได้บอกกับอวิ๋นเหลยจื่ออีกว่าตนยังมีพ่อตาคนหนึ่งเป็นครึ่งเทพ และมีลูกศิษย์คนหนึ่งเป็นจักรพรรดิหมิง ไม่รู้ว่าจะทำให้อวิ๋นเหลยตกใจตายไปเลยหรือไม่

“หึ กล้ามาแหยมกับข้างั้นรึ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนคึกคักลิงโลด ความกดดันและอัดอั้นตันใจตอนที่ถูกไล่ฆ่าก่อนหน้านี้ถูกระบายออกไม่มีเหลือ ตอนนี้จึงรู้สึกเพียงว่าร่างทั้งร่างโปร่งโล่งสบายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

นั่นเป็นเพราะสภาพของเขาที่ถูกอวิ๋นเหลยจื่อไล่ล่าก่อนหน้านี้ช่างน่าอนาถยิ่งนัก ขนาดใช้ทุกวิธีที่มีก็ยังไม่สามารถหนีไปไหนได้ แถมเกือบจะถูกอีกฝ่ายตบตาย ตอนนี้โชคดีรอดชีวิตมาได้ ทั้งยังพลิกตัวกลับมาอย่างสง่างาม นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าตนได้เดินมาถึงจุดสูงสุดของชีวิตแล้ว

“อวิ๋นเหลยจื่อ เรื่องวันนี้ไม่จบง่ายๆ แน่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งทีพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง

“หากไม่เป็นเพราะข้าไม่อยากเปิดเผยตัวตน ข้าก็คงสังหารเจ้าทิ้งไปนานแล้ว แต่เจ้ากลับรังแกคนอื่นครั้งแล้วครั้งเล่าไม่เลิกไม่รา เรื่องนี้ข้าจำเอาไว้แล้ว ฝากไว้ก่อนเถอะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งดัง ส่วนอวิ๋นเหลยจื่อนั้นกลับหน้าขาวเผือดลงทุกขณะ สายตาของเขาไร้แววชีวิต มาจนถึงตอนนี้เขาก็ยังรู้สึกว่าทุกอย่างนี้คือความฝัน

“ข้า…ข้าล่วงเกินลูกเขยของเทียนจุน…” พออวิ๋นเหลยจื่อคิดมาถึงตรงนี้ก็ใกล้จะร้องไห้เต็มแก่ เขากลัวนี่นา จะไม่ให้เขากลัวได้อย่างไร เทียนจุนเป็นราวกับจักรพรรดิของแผ่นดินทงเทียน ซึ่งลูกเขยของเขาก็ต้องเป็นราชบุตรเขย หรือหากจะพูดให้แม่นยำยิ่งกว่านั้นก็คือคนที่มีศักดิ์เท่าครึ่งเทพ แต่เขาเป็นเพียงคนฟ้า หากจะบอกว่าความเป็นความตายของเขาอยู่ที่ความคิดเดียวของอีกฝ่ายก็ไม่เกินไปแม้แต่น้อย

“ข้า…” อวิ๋นเหลยจื่อกระวนกระวาย ด้วยความสะเทือนใจ ร่างกายจึงไม่อาจรักษาสภาพการผสานรวมได้อีกต่อไป พริบตาเดียวก็กลายมาเป็นแฝดอวิ๋นเหลย ใบหน้าของพวกเขาซีดขาวอย่างถึงที่สุด สีหน้าขมขื่น ยกมือขึ้นกุมกันแล้วหันมาทางป๋ายเสี่ยวฉุนหมายจะอธิบายอะไรบางอย่าง

ทว่าเวลานี้เอง ชายหนุ่มที่อยู่ข้างกายตู้หลิงเฟยกลับกระแอมขึ้นมาหนึ่งครั้ง ก่อนจะเดินไปข้างหน้าโดยไม่แม้แต่จะเหลือบมองป๋ายเสี่ยวฉุน เวลานี้ตู้หลิงเฟยเองก็คืนสติแล้ว นางกวาดตามองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสีหน้าครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง หลังจากครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยก็หันไปมองทางอวิ๋นเหลยจื่อ ตอนที่มองอวิ๋นเหลยจื่อ ใบหน้าของนางไม่มีรอยยิ้มอีกต่อไป แต่สีหน้านั้นราวกับนางพญาหงส์ที่อยู่สูงบนชั้นฟ้า ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย

“สหายนักพรตอวิ๋นเหลยจื่อ เสี่ยวฉุนมีนิสัยชอบทำตัวเหลวไหล เรื่องที่เขาพูดจะคิดเป็นจริงไม่ได้ แต่ว่าระหว่างพวกเจ้ามีความขัดแย้งอะไรกัน หากคลี่คลายได้ก็ควรคลี่คลายเป็นดี”

ประโยคนี้พูดอย่างเป็นทางการมาก คล้ายกำลังบอกกับอวิ๋นเหลยจื่อว่าคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนก่อนหน้านี้เป็นเพียงการล้อกันเล่นเท่านั้น

แต่อวิ๋นเหลยจื่อกลับไม่คิดอย่างนั้น เพราะแค่ดูจากคำเรียกขานของตู้หลิงเฟยก็ฟังออกถึงความแตกต่างแล้ว ตู้หลิงเฟยเรียกตนว่าสหายนักพรตอวิ๋นเหลยจื่อ แต่กลับเรียกป๋ายเสี่ยวฉุนว่า…เสี่ยวฉุน

คำเรียกขานนี้มากพอจะอธิบายทุกอย่างชัดเจนแล้ว ในใจของอวิ๋นเหลยจื่อสั่นสะเทือนอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็คล้ายตู้หลิงเฟยจะกังวลว่าอวิ๋นเหลยจื่อจะเข้าใจผิด ดังนั้นนางจึงเดินมาหยุดอยู่ด้านหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วจัดชายอาภรณ์ให้เขาพลางพูดกระซิบอะไรเบาๆ ต่อหน้าต่อตาอวิ๋นเหลยจื่อ จากนั้นถึงได้จากไปไกลพร้อมกับชายหนุ่มและพวกองค์รักษ์โดยไม่มองอวิ๋นเหลยจื่อแม้แต่หางตา

ภาพนี้ชัดเจนยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น อวิ๋นเหลยจื่อพลันหอบหายใจดังเฮือก รู้สึกแค่ว่าเบื้องหน้ามืดดำ

ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ ประโยคที่ตู้หลิงเฟยกระซิบก่อนจากไปเป็นคำพูดที่ธรรมดาอย่างมาก นางแค่บอกให้เขาดูแลตัวเองให้ดี นางยังมีเรื่องให้ต้องจัดการ

ทว่าท่าทางของนางกลับทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนพึงพอใจอย่างมาก เวลานี้จึงยกแขนขึ้นกอดอก เชิดคางขึ้นแล้วมองไปยังอวิ๋นเหลยจื่อด้วยสายตาหยิ่งผยอง

แฝดอวิ๋นเหลยขมขื่นอยู่ในใจ พวกเขายืนอยู่ตรงนั้นแล้วหันมามองหน้ากันไปมา ต่างคนต่างไม่รู้ว่าควรจะจัดการเช่นไร นั่นเป็นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ทำให้พวกเขารับมือไม่ทัน ก่อนหน้านี้ยังตะโกนว่าจะฆ่าจะแกง ทว่าวินาทีถัดมาตัวตนของอีกฝ่ายกลับพลิกเปลี่ยนมาเป็นน่าตะลึงขนาดนี้

ในใจพวกเขาเริ่มร้องโอดครวญกันแล้ว ทั้งยังรู้สึกไม่พอใจป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างยิ่งยวด แอบพูดกับตัวเองว่านี่ต้องเป็นความจงใจของป๋ายเสี่ยวฉุนแน่นอน หาไม่แล้ว หากอีกฝ่ายบอกความจริงมาตั้งแต่แรก ตนก็คงจะไม่เป็นฝ่ายถูกกระทำแบบนี้

“ท่าไม้ตายที่ร้ายที่กาจที่สุดของเจ้าคนแซ่ป๋ายผู้นี้ไม่ใช่หมัดนั้น ไม่ใช่หมอกเลือดที่ทำให้เขาเสียจิตสำนึก แล้วก็ยิ่งไม่ใช่ยาประหลาดนั่น แต่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเทียนจุนต่างหาก!”

“ทีนี้จะทำยังไงดี…” ท่ามกลางอาการคิดไม่ตกของอวิ๋นเหลยจื่อ ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่ร้อนใจ ยังคงกอดอกเชิดหน้า บางคราก็แค่นเสียงขึ้นจมูก แม้จะไม่ได้เอ่ยอะไร ทว่าท่าทางแบบนี้ของเขากลับทำให้อวิ๋นเหลยจื่อยิ่งกดดันเข้าไปใหญ่

หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่น อย่างมากพวกเขาก็แค่สะบัดชายแขนเสื้อแล้วเดินจากไป เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาล่วงเกินป๋ายเสี่ยวฉุนหนักหนายิ่งนัก ตอนนี้เมื่อตัวตนของป๋ายเสี่ยวฉุนถูกเปิดเผย พวกเขาจะไม่พิจารณาถึงสำนักของตนไม่ได้

“คือว่า…น้องป๋าย เรื่องก่อนหน้านี้เป็นความเข้าใจผิดกัน…”

“ถูกต้องๆ ฮ่าๆ สำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าของพวกเราและสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราของพวกเจ้าเป็นสหายกันมาหลายชั่วอายุคน…”

แฝดอวิ๋นเหลยรีบเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางกระอักกระอ่วน เพียงแต่ว่าตลอดชีวิตมานี้น้อยครั้งนักที่พวกเขาสองคนจะเป็นฝ่ายประจบเอาใจใคร ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือสีหน้าจึงดูแข็งทื่อไม่เข้ากัน

ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตาทันที รู้สึกได้ว่าแฝดอวิ๋นเหลยไม่จริงใจ แต่เขาเองก็เป็นคนรู้หนักรู้เบา เข้าใจดีว่าในเมื่อตนสู้อีกฝ่ายไม่ได้ ต่อให้จะไม่ยินยอมแค่ไหน แต่ก็รู้ดีว่าควรต้องหยุดเมื่อพอสมควร ดังนั้นจึงกระแอมหนึ่งที

“เอาเถอะ ในเมื่อเป็นความเข้าใจผิดกัน ข้าเองก็จะไม่คิดเล็กคิดน้อย แต่ว่าตลอดทางมานี้ข้าถูกพวกเจ้าไล่ฆ่ามาอย่างกระเซอะกระเซิงยิ่งนัก ทำให้วิญญาณคนฟ้าข้าหายไปหนึ่งดวง แถมคัมภีร์วิชาอภินิหารที่มีชื่อว่าบรรพจารย์อวิ๋นเหลยร้อยแปรเปลี่ยนก็ยังหายไปด้วย เฮ้อ” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดจบก็ถอนหายใจตบท้ายหนึ่งทีแล้วมองไปยังแฝดอวิ๋นเหลย

ในใจของแฝดอวิ๋นเหลยใกล้จะแหลกสลายเต็มที

สบถด่าในใจถึงความหน้าด้านของป๋ายเสี่ยวฉุน นั่นมันคือวิชาลับของแม่น้ำสายเหนือเชียวนะ ไม่สามารถยกให้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้เด็ดขาด ต่อให้ตอนนี้พวกเขาจะเป็นฝ่ายถูกกระทำ และคงได้แต่ปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม แต่แฝดอวิ๋นเหลยก็เข้าใจดีว่าหากเรื่องนี้ไม่มีคำอธิบายให้ป๋ายเสี่ยวฉุน เกรงว่าคงยากที่จะคลี่คลายได้ ดังนั้นหนึ่งในพวกเขาจึงกัดฟันกรอด ครั้นจึงหยิบเอาผลึกใสก้อนหนึ่งที่ด้านในผนึกวิญญาณคนฟ้าเอาไว้หนึ่งดวงออกมา

“เอ๊ะ? วิญญาณคนฟ้าของข้าอยู่ที่เจ้าจริงๆ ด้วยหรือนี่?” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงระคนดีใจ แอบพูดกับตัวเองว่าวิธีนี้ของหลี่เสี่ยนเต้าใช้ได้ผลดียิ่งนัก จึงรีบยื่นมือออกมาคว้าผลึกนั้นไว้ แต่พอพลิกมองไปมา ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับขมวดคิ้วเป็นปม

“สหายนักพรตแฝดอวิ๋นเหลย พวกเจ้าทำเกินไปหน่อยนะ ข้าจำได้ว่าเมื่อวานนี้ที่หายไปพร้อมกับวิญญาณคนฟ้ายังมีหินวิเศษอีกเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงอาวุธล้ำค่าอีกแปดเก้าชิ้น แล้วก็ยาอีกนับไม่ถ้วนด้วย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดจบก็หันไปมองแฝดอวิ๋นเหลยตาปริบๆ

แฝดอวิ๋นเหลยได้ยินประโยคนี้ร่างก็ใกล้ระเบิดเต็มที แต่กลับจำต้องข่มกลั้นความเดือดดาลเอาไว้ พวกเขารู้สึกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเรียกร้องค่าทำขวัญเยอะเกินไปแล้ว

“สมควรตายนัก ทำไมไอ้หมอนี่มันไม่ตายๆ ไปซะ ทำไมมันถึงได้หน้าด้านกล้าพูดออกมาว่าตัวเองทำของหายตั้งมากมายขนาดนั้น นั่นมันมากจนกองกันเป็นคลังสมบัติได้เลยนะ เขาจะทำมันหายได้ยังไง!”

ทว่าต่อให้คนทั้งสองจะคับแค้นใจมากแค่ไหนก็ได้แต่กัดฟันฝืนใจหยิบเอาของที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดมารวมๆ กันแล้วโยนพรวดออกไปด้วยสีหน้าดำคล้ำ

ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าเป็นเช่นนี้ก็ให้ลำพองใจยิ่งนัก ไม่คิดจะสร้างความลำบากใจให้อีกฝ่ายต่อ ทว่าขณะที่เขากำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง จู่ๆ แผ่นดินกับสั่นสะเทือนคล้ายมังกรดินพลิกตัว

ตามมาด้วยเสียงกัมปนาทสะเทือนเลือนลั่นเกินเสียงฟ้าผ่าที่ระเบิดดังกึกก้องไปทั่วแปดทิศ!

ประหนึ่งฟ้าถล่มลงมา อานุภาพนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าศึกระหว่างป๋ายเสี่ยวฉุนกับแฝดอวิ๋นเหลยหลายสิบเท่า อีกทั้งที่สั่นคลอนยังไม่ใช่แค่พื้นที่ราบแห่งนี้ ยังมีผืนป่า หนองบึงและทะเลทรายด้วย สามารถพูดได้ว่าบัดนี้…ตลอดทั้งพื้นที่การประลองล้วนสั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่ง!!

เหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นกะทันหัน!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version