บทที่ 945 ครั้งแรกงั้นหรือ?
ทว่าวินาทีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกรีดร้องและกำลังจะหนีออกไปจากพื้นที่นี้นั้นเอง แรงดึงดูดมหาศาลขุมหนึ่งก็พลันระเบิดออกมาจากในรอยแยก
แรงดึงดูดนี้กลายมาเป็นพลังการดูดกระชาก ทว่ามันกลับไม่สั่นคลอนความว่างเปล่ารอบด้านแม้แต่น้อย แล้วก็ไม่ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับพื้นดินเบื้องล่าง ราวกับว่าแรงดึงดูดนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ ต่อโลกใบนี้ นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะเกิดคลื่นอะไร จึงเป็นเหตุให้ไม่มีใครสัมผัสได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่นี่
เพียงแต่ว่า…แรงดึงดูดนี้ไม่เขย่าคลอนโลก ทว่าสำหรับป๋ายเสี่ยวฉุน มันกลับน่ากลัวเกินกว่าที่เขาจะต้านทานได้ พลังนั้นเหมือนจะดูดเอาจิตวิญญาณและตบะของเขาไปในชั่วพริบตา!
ราวกับว่าถ้าป๋ายเสี่ยวฉุนดิ้นรนขัดขืน ร่างของเขาก็อาจหนีไปได้ แต่จิตวิญญาณของเขาจะต้องถูกดูดออกมาจากร่างแล้วหายเข้าไปในรอยแยกนั่น!
ที่ยิ่งทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องโหยหวนก็คือเขาพบว่าไม่เพียงแต่จิตวิญญาณของเขาเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ แม้แต่ตบะของเขาหรือหยดเลือดในร่างกายของเขาก็ยังไม่ต่างกัน หากเขาขัดขืน เกรงว่าเลือดสดคงจะพุ่งทะลักออกมาจากทุกรูขุมขนทั่วร่างแล้วถูกดูดเข้าไปในรอยแยกเป็นแน่
เพียงเท่านี้ก็มากพอจะทำให้คนขวัญกระเจิง แต่นี่ข้างหูเขากลับยังมีเสียงวังเวงอึมครึมของผู้หญิงที่กำลังพูดเจื้อยแจ้วคล้ายบรรยายภาพงดงามในความรู้สึกของนางดังขึ้นไม่ขาดสาย
“ห้ามหยุดต่อต้านเด็ดขาด เพราะทำแบบนั้นข้าถึงจะดูดเอาวิญญาณของเจ้ามาได้ก่อน จากนั้นถึงจะเป็นเลือดสด…ที่ถูกดูดมาทีละนิด จนกระทั่งเหลือแค่กระดูก…”
“จะได้ประหยัดแรงข้า เจ้าช่วยตัวเองไปแล้วกัน เปลี่ยนตัวเองให้กลายมาเป็นอาหารเลิศรสจานหนึ่งของข้า…”
เสียงนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ร้องโหยหวนยิ่งใจสั่นหนักกว่าเดิม ในสมองมีภาพหนึ่งลอยขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้…ตนที่อยู่ในภาพนั้นถูกดูดจิตวิญญาณไปก่อน จากนั้นก็เป็นตบะ ตามมาด้วยเลือดสด ชิ้นเนื้อ อวัยวะภายใน ลามไปถึงสมอง…จนกระทั่งสุดท้ายเหลือเพียงแค่โครงกระดูกที่ร่วงกระแทกกับพื้นดิน ซึ่งบางทีเนื่องจากตนมีกระดูกคงกระพัน โครงกระดูกของเขาก็คงไม่หลุดกระจายจากกันเป็นเสี่ยงๆ …
บางทีหลายพันปีต่อมา หากมีคนผ่านมาทางนี้ก็อาจตะลึงระคนดีใจคิดว่าได้พบวัตถุล้ำค่า จึงเก็บเอากระดูกของตนไป ถ้าไม่เอาไปหลอมเป็นยา ก็เอาไปหลอมเป็นอาวุธ หรือไม่ก็ทำเป็นหุ่นเชิดโครงกระดูก…
“ไม่….” ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่อยากจินตนาการไปไกลถึงเพียงนี้ ทว่าเมื่ออยู่ภายใต้แรงดึงดูดและคำพูดของอีกฝ่าย ความคิดในสมองของเขากลับโลดแล่นอย่างที่มิอาจควบคุมได้ มาถึงท้ายที่สุด เมื่อเห็นว่าแรงดึงดูดนี่ยิ่งน่าตกใจ และจินตนาการของตนก็คล้ายจะกลายมาเป็นความจริง
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่สิ้นหวังจึงล้มเลิกการต่อต้าน พริบตาเดียวร่างของเขาก็กลายเป็นรุ้งยาวเส้นหนึ่งที่ถูกแรงดึงดูดพัดหอบกลืนกินเข้าไปในรอยแยก หายวับไปไม่เหลือร่องรอย
เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนถูกดูดเข้าไป รอยแยกในความว่างเปล่าก็ประสานตัวเข้าหากันอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็อำพรางตัวเองเอาไว้ ตั้งแต่ต้นจนจบ ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ แม้แต่ชายหนุ่มที่ข้างกายตู้หลิงเฟยที่กำลังจะไปทำลายม่านแสงในทะเลทรายก็ยังสัมผัสไม่ได้แม้แต่น้อย
มีเพียงโหวเสี่ยวเม่ยที่อยู่ใกล้กับม่านแสงและมองไปที่ม่านแสงด้วยสายตารอคอยคนเดียวเท่านั้นที่ขมวดคิ้วน้อยๆ ก่อนจะหันไปมองยังเขตพื้นที่หนองบึงด้วยสายตาคลางแคลงใจ แต่ไม่นาน เมื่อม่านแสงบนทะเลทรายบิดเบือนและทำท่าจะแตกทลาย โหวเสี่ยวเม่ยก็ดึงสายตากลับคืนมา แววรอคอยในดวงตายิ่งมากขึ้น แต่ที่มากกว่าคือความตื่นเต้นลุ้นระทึก
“ในที่สุดก็จะ…ได้กลับไปแล้ว…หากไม่เป็นเพราะจนใจ มารดาแห่งผี ข้าก็ไม่อยากกลับมาอีกครั้งหรอกนะ…แต่ข้าเองก็รอคอยที่จะเห็นความตะลึงระคนดีใจยามที่ท่านได้เห็นข้า…”
และขณะที่ม่านแสงเหนือทะเลทรายใกล้จะพังทลายลงทุกเมื่อนั้นเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนเวลานี้ก็รู้สึกเพียงว่าเบื้องหน้าพร่าลาย พอมองเห็นได้ชัดเจนอีกครั้ง เขาก็มาปรากฏตัวตรงสถานที่ที่เขาคุ้นเคยดีอีกครั้ง…
ห้องขนาดไม่ใหญ่ คล้ายห้องของหญิงสาว…
เตียงหลังหนึ่งที่ฝุ่นเกรอะหนาชั้นเต็มไปด้วยหยากไย่ โต๊ะเครื่องแป้งตัวหนึ่ง และยังมีกระจกแตกบานนั้น…
เหม่อมองทุกอย่างที่อยู่รอบด้านด้วยอาการอึ้งงัน ก่อนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะกรีดร้องขึ้นมา ร่างถอยกรูดไปข้างหลังรวดเร็ว หมายจะหาทางออกให้เจอ แต่ไม่นานเขาก็คิดขึ้นได้ว่า ที่นี่ไม่มีทางออก…
ก็ไม่รู้ว่านี่เป็นความบังเอิญหรือไม่ เพราะตำแหน่งที่เขาอยู่ในเวลานี้ เป็นจุดเดียวกับ…ตอนที่เขามาที่นี่ครั้งแรกอย่างไม่มีผิดเพี้ยน!
และตรงโต๊ะเครื่องแป้งด้านหน้าเขาก็มีหญิงสาวสวมชุดกระโปรงยาวสีแดงคนหนึ่งกำลังนั่งหันหลังให้เขา นางหวีผมพลางส่องกระจก ทั้งยังมีบทเพลงน้ำเสียงชวนขนหัวลุกที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคุ้นเคยเป็นอย่างดีดังสะท้อนอยู่ในห้องที่เงียบสงัดห้องนี้…
น้ำตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่อขึ้นมาคลอในดวงตา เขากลัวจริงๆ นะ…
“ทำยังไงดี ทำยังไงดี…”
หนังหัวของป๋ายเสี่ยวฉุนกระตุกตุบๆ เหมือนจะระเบิดออก ความหวาดกลัว ความสยองขวัญที่ได้สัมผัสตอนนี้ทำให้เขาอยากจะคิดหาวิธีไปจากที่นี่ให้ได้เสียเดี๋ยวนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าวิธีที่ว่านั้นไม่มีอยู่จริง ป๋ายเสี่ยวฉุนได้แต่หยิบเอาหยกประดับที่คนเฝ้าสุสานมอบให้มากำไว้ในมือแน่น ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
“พี่สาว ข้าไม่อร่อยหรอก…”
“พี่สาว คือว่า…ท่านรู้จักคนเฝ้าสุสานไหม? เขาคืออาจารย์ของข้าเอง พวกเราคือคนกันเองนะ…”
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่งนะพี่สาว ข้างนอกมีคนประสงค์ร้ายกับท่าน ท่านออกไปดูก่อนดีไหม ไม่ต้องสนใจข้า…พี่สาว ข้าเองก็ไม่อยากกลับมาอีกครั้งเหมือนกันนะ ท่าน…ท่านเป็นคนจับข้ามาเอง…” ขนาดป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่ เสียงของเขายิ่งพูดก็ยิ่งสั่น โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่าไหล่ของหญิงสาวสั่นไหวน้อยๆ คล้ายกำลังจะหันหน้ากลับมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบแผดเสียงตะโกนดังก้อง
“ไม่ต้องหันกลับมา…ท่าน…ท่านอย่าหันกลับมานะ…มีอะไรก็พูดกันดีๆ …”
วินาทีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเปิดปาก เสียงเพลงก็หยุดลงกลางคัน หญิงสาวยังคงหวีผมดังเดิม ทว่ากลับมีเสียงแผ่วๆ ดังสะท้อนไปรอบด้าน
“เจ้าเพิ่งมาเป็นครั้งแรก”
“อ๋า? พี่สาว ท่านบอกว่าครั้งแรกก็คือครั้งแรก…” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบเออออ ผงกศีรษะหงึกๆ ราวไก่จิกข้าวสาร
“พอมาแล้ว เจ้าก็ยืนอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่…” หญิงสาวยังคงเอ่ยเสียงเบาหวิว น้ำเสียงของนางเย็นเยียบอย่างน่าพิศวง ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังจะพยักหน้ารับ แต่จู่ๆ เขากลับอึ้งค้าง
“ข้ามาเป็นครั้งแรก? ไม่ถูกสิ ข้ามาเป็นครั้งที่สองแล้วนะ ท่านเป็นคนจับข้ามา”
“ไม่มีใครจับตัวเจ้ามา…สหายสองคนของเจ้ายังอยู่ด้านบน” หญิงสาวชี้ไปที่กระจกแตกบานนั้น ฉับพลันในกระจกก็มีภาพหนึ่งลอยขึ้นมา ภาพนั้นก็คือภาพชั้นสองบนเรือซึ่งซ่งเชวียและเสินซ่วนจื่อกำลังยืนเหม่อไม่กระดุกกระดิกอยู่สองฝั่งของเก้าอี้โยก
วินาทีที่ภาพเหตุการณ์นี้สะท้อนสู่ดวงตาและน้ำเสียงของหญิงสาวดังเข้าหูของป๋ายเสี่ยวฉุน ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีเสียงระเบิดติดๆ กันหลายที ลมหายใจหอบรัวจนบางครั้งก็หายใจติดขัด
“เป็นไปไม่ได้ นี่จะเป็นไปได้อย่างไร…ก่อนหน้านี้ข้าหนีออกไปแล้ว ข้ากลับไปยังสำนักสยบธาร กลับไปยังสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา ข้า…ครั้งนี้ข้ามาเข้าร่วมการประลอง ดังนั้นถึงได้มาที่นี่…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าความคิดในสมองตีกันให้วุ่นไปหมด เขาไม่อยากเชื่อคำพูดของอีกฝ่าย และยิ่งไม่ยินดีเชื่อว่าตนไม่เคยออกไปจากเรือกระดูกลำนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสำนักสยบธารหรือที่สำนักอันตมรรคาฟ้าดารา ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นเพียงภาพมายาที่เกิดขึ้นขณะที่เขาเพิ่งมาถึงที่นี่เป็นครั้งแรก…
แต่ไม่รู้ว่าทำไม พอได้ยินเสียงของหญิงสาวคนนี้ ความคิดของเขาก็คล้ายควบคุมไม่ได้ จึงเกิดการย้อนทวนความทรงจำอย่างเป็นธรรมชาติ
ท่ามกลางการทวนความทรงจำนั้น แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้สึกว่ามือที่กำแผ่นหยกเอาไว้แน่น บัดนี้ค่อยๆ คลายออกช้าๆ …
“เจ้าไม่เคยไปจากที่นี่…” เสียงของหญิงสาวดังผะแผ่วขึ้นมาอีกครั้ง ไหล่ของนางเคลื่อนไหวน้อยๆ ศีรษะของนางก็ค่อยๆ หมุนกลับมา เพียงแต่ว่ามือที่หวีผมของนางไม่เพียงแต่ไม่หยุดชะงัก กลับกันคือยิ่งหวีก็ยิ่งเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ
ราวกับว่าจะหวีกระชากให้เส้นผมหลุดออกมา ภาพชวนขนหัวลุกนี้เดิมทีควรจะทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงพรึงเพริด ทว่าในดวงตาที่เลื่อนลอยของเขาตอนนี้กลับมีแววระแวงภัยปรากฏขึ้น
“ไม่ว่าใครก็ตามที่เห็นสภาพนี้ของข้า ในใจจะต้องเกิดเรื่องราวที่ตัวเองวาดฝันขึ้นมา…เจ้ามาเป็นครั้งแรกจริง แต่กลับไม่ใช่ครั้งแรก…ที่ได้เห็นใบหน้าของข้า”
เสียงของหญิงสาวล่องลอยไม่อยู่นิ่ง ดังสะท้อนอยู่ในห้องแห่งนี้ ทันใดนั้นไหล่ของนางก็พลิกกลับมาเต็มที่ และศีรษะของนางก็…เปลี่ยนจากที่หันตรงเข้าหากระจกแตกมาเป็น…กำลังจะหันตรงเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน!
และเวลานี้เอง ความทรงจำของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ดวงตาเลื่อนลอย ร่างกายสั่นสะท้านก็พลันยุ่งเหยิงอย่างเห็นได้ชัด มือของเขาที่กำแผ่นหยกเอาไว้คลายออกเต็มที่!
วินาทีที่มือคลายออกและแผ่นหยกหลุดร่วงไปจากมือ ร่างของหญิงสาวก็หันขวับกลับมาอย่างรวดเร็วราววิญญาณร้ายดวงหนึ่ง เผยให้เห็นใบหน้าที่ไร้เครื่องหน้าใดๆ คล้ายกระดาษเปล่าแผ่นหนึ่ง!!
ชั่วขณะที่นางหันหน้ากลับมา ใบหน้าของนางก็พลันมีรอยแตกเส้นหนึ่งปริขึ้นแล้วกลายมาเป็นปากใหญ่น่าสะพรึงกลัว ร่างก็บิดเบือนอย่างน่าพิศวง ก่อนที่ปากนั้นจะอ้ากว้างพุ่งมาหมายเขมือบป๋ายเสี่ยวฉุน
ทว่า…วินาทีที่นางกำลังจะขยับเข้ามาใกล้และกลืนกินเขานั้นเอง
มือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันลดลงต่ำแล้วเอื้อมคว้าหยกประดับที่เพิ่งจะหลุดจากมือ เมื่อเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขามีความเลื่อนลอยเหลืออยู่ที่ไหน สิ่งที่เห็นมีเพียงสติแจ่มแจ้ง มือขวาที่กำแผ่นหยกพลันยกขึ้นกระแทกใส่ปากใหญ่ของหญิงสาวที่เขมือบกลืนเข้ามา!
“ในเมื่อเจ้ากลัวมัน ข้าก็อยากจะรู้นักว่าเจ้ายังจะกล้ากลืนมันเข้าไปไหม!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามดังลั่น ทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นเป็นความจงใจของเขา ที่เขารออยู่ก็คือโอกาสนี้ และตอนนี้เขาก็พร้อมจะทุ่มสุดชีวิตแล้ว!