บทที่ 950 ต่างคนต่างสำแดงวิชาอภินิหาร
เมื่อลงมือ พลังของตราผนึกก็ระเบิดออกดังตูม ทำให้วงกลมขนาดใหญ่ยักษ์ของโลกมายาย่อส่วนคลุมทับกงซุนหว่านเอ๋อร์ไว้ข้างใน และขยับหดเข้าหากันอย่างต่อเนื่อง พอจะจินตนาการได้ว่า หากมันหุบเข้าหากันอย่างสมบูรณ์แบบเมื่อไหร่
กงซุนหว่านเอ๋อร์ก็จะกลายมาเป็นทาสของเทียนจุนเมื่อนั้น!
เพียงแต่ว่ากงซุนหว่านเอ๋อร์กลับไม่มีท่าทีแปลกใจ ทั้งดวงตายังเปล่งประกายดำมืดด้วยซ้ำ
“เตรียมตัวมานานถึงขนาดนี้ โจรเฒ่าทงเทียน เจ้าคงรอให้ข้ากลืนกินร่างจริงของตัวเองอยู่สินะ”
“แต่เจ้านึกหรือว่าข้าจะไม่เตรียมตัวอะไรมาเลย…เจ้าช่างน่าขันยิ่งนัก จำไว้ด้วยล่ะว่า…ความล้มเหลวของเจ้าในครั้งนี้ เกิดจากการที่เจ้าไม่เข้าใจโลกของข้า แล้วก็ไม่รู้…พลังที่แท้จริงของเรือกระดูกลำนี้!” เสียงหัวเราะของกงซุนหว่านเอ๋อร์แหลมเสียดหู วินาทีที่ดังออกมา นัยน์ตาของนางก็เปล่งแสงวาบ
แล้วทันใดนั้นเรือกระดูกที่พวกป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ก็เกิดการสั่นสะเทือน
ภายใต้แรงสั่นสะเทือนนี้ แสงสีดำหลายเส้นพลันพร่างพราวขึ้นจากกระดูกทุกท่อนที่อยู่บนเรือ สุดท้ายเรือกระดูกทั้งลำก็กลายมาเป็นต้นกำเนิดแสงสีดำ แสงนี้ประดุจหินนิลที่พุ่งไปรวมกันตรงกระจกแปดเหลี่ยมโบราณที่แขวนไว้ด้านบนเรือรบอย่างพร้อมเพรียงกัน
“โจรเฒ่าทงเทียน ก่อนหน้านี้ข้าไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวอะไร เพราะเมื่ออยู่ต่อหน้าศัตรูตัวฉกาจอย่างคนเฝ้าสุสาน เจ้าไม่กล้าบังคับใช้การปิดผนึกกับข้า วันนี้…เมื่อเจ้าคิดว่าตัวเองมีความมั่นใจมากพอ แต่เจ้ากลับไม่รู้เลยว่า การเตรียมการของข้า…ก็คือเรือกระดูกลำนี้ ข้าคือร่างจำแลงที่แปลงมาจากแขนซ้ายของมารดาแห่งผี และฝ่ามือข้างซ้ายของมารดาแห่งผี..ก็คืออาคมผนึกเรือกระดูกลำนี้!”
“ที่ข้ารออยู่…แท้จริงแล้วก็คือรอให้เจ้าลงมือกับข้า! กระจกสยบมาร จงออกมา!”
เสียงหัวเราะของกงซุนหว่านเอ๋อร์ฟังแปร่งหู น้ำเสียงนั้นล่องลอยไม่อยู่นิ่ง เมื่อคำพูดของนางดังจบ แสงสีดำของเรือกระดูกก็ระเบิดออกมาอีกครั้ง เสียงอึกทึกดังกังวาน แสงสีดำนั่นพุ่งจากทุกพื้นที่ของเรือกระดูกมารวมอยู่บนกระจกแปดเหลี่ยม ทำให้กระจกบานนั้นสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ครั้นจึงระเบิดออกในชั่วพริบตา แล้วกลายมาเป็นลำแสงเจิดจ้าที่ยิงเข้าใส่เทียนจุน!
เทียนจุนสีหน้าหนักอึ้ง ยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งที ฟ้าสะท้านแผ่นดินสะเทือน ทว่าแสงเจิดจ้าลำนั้นกลับไม่ได้พังทลาย เพียงแค่ถูกเทียนจุนโบกให้ถอยกระเด็นออกไปก็เท่านั้น ก่อนที่มันจะไปรวมตัวกันกลายมาเป็นเงาร่างขนาดใหญ่ยักษ์อยู่กลางอากาศ!
เงาร่างนี้สวมเกราะสีดำ ทั้งร่างดำสนิท มีเพียงในดวงตาเท่านั้นที่เป็นกองเพลิงสีเขียวเต้นระริก ปราณที่แผ่ออกมาจากบนร่างก็ยิ่งเต็มไปด้วยคลื่นที่ไม่ใช่ของโลกใบนี้
พอมันขยับร่างหนึ่งครั้งก็พุ่งวูบเข้าหาเทียนจุน อีกทั้งปากยังเปล่งเสียงทุ้มต่ำหนักอึ้ง
“หลิน ปิง โต้ว เจ่อ…”
(หลิน ปิง โต้ว เจ่อคืออักษรสี่คำแรกของปรัชญาเก้าคำของลัทธิเต๋า หลิน (临) หมายถึงการที่ร่างกายและจิตใจมั่นคง ปิง (兵) หมายถึงพลังงาน โต้ว (斗) หมายถึงการขานรับของจักรวาล เจ่อ (者) คือการฟื้นคืนสู่พละกำลัง) เมื่อสี่คำนี้ดังออกมา พลังอำนาจของเงาร่างเสื้อเกราะสีดำก็เหมือนไต่ทะยานขึ้นกลายมาเป็นมหาสมุทรสีดำผืนหนึ่งที่พุ่งเข้าชนกับตราผนึกโลกย่อส่วนของเทียนจุนอย่างจัง
ความว่างเปล่าแปดทิศสั่นสะเทือนแล้วพังถล่มลงมาคล้ายฟ้าถูกแหวกดินถูกผ่า พวกป๋ายเสี่ยวฉุนจิตใจสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง พลังการผนึกของโลกย่อส่วนถึงขั้นถูกคลายออกและไม่สามารถรวบผนึกต่อไปได้!
สีหน้าเทียนจุนเริ่มไม่น่ามอง
แม้เขาจะรู้ว่าขณะเดียวกันกับที่เขาคิดเล่นงานกงซุนหว่านเอ๋อร์ อีกฝ่ายก็ต้องมีการเตรียมรับมือมาก่อนเช่นกัน แต่กลับนึกไม่ถึงว่า การเตรียมการของนางจะเป็นเรือกระดูกลำนี้!
นั่นเป็นเพราะหากเขาไม่ได้รับบาดเจ็บตอนอยู่แดนทุรกันดาร เขาก็คงมีวิธีมากมายมาคลี่คลายปัญหานี้ แต่เนื่องจากตอนนี้ตบะของเขาไม่มั่นคง พลังการต่อสู้ได้รับความเสียหายอย่างสาหัส นี่ทำให้เขาหงุดหงิดงุ่นง่านใจมากขึ้นเรื่อยๆ
“แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ แล้วจะอย่างไร …การเตรียมการของข้า จะมีแค่อย่างเดียวได้อย่างไร!” ดวงตาของเทียนจุนเปล่งแสงวาบ พลันยกมือขวาขึ้นโบก นิ้วมือข้างหนึ่งของเขา…ถึงกับหลุดออกจากฝ่ามือของตัวเองแล้วบินพรวดออกไป จากนั้นก็กลายมาเป็นหินภูเขาก้อนใหญ่ยักษ์ลอยอยู่กลางอากาศ!
หินภูเขานี้เป็นสีม่วงเข้ม มองดูแล้วไม่สะดุดตา แต่เมื่อนิ้วซ้ายของเทียนจุนชี้ออกไป หินนั่นก็ระเบิดปราณขุมหนึ่งที่ทำให้ลมหายใจของทุกคนแข็งค้าง!
ปราณนี้เหมือนจะสามารถสยบความชั่วช้าได้ทั้งหมด!
หลังจากที่มันจำแลงออกมากลางอากาศก็ผสานรวมเข้าไปในตราผนึกโลกย่อส่วนทันที ทำให้พลังการผนึกของโลกย่อส่วนใบนั้นปะทุแกร่งกร้าวยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ เสียงตูมตามกึกก้อง เงาที่สวมเกราะดำนั่นก็ถึงกับถอยกรูดอย่างที่มิอาจต้านทานได้
“หินมารสวรรค์!! สมควรตายนัก เจ้ามีหินมารสวรรค์ที่ต่อให้เป็นนอกโลกก็ยังหาได้อย่างยิ่งก้อนนี้อยู่ได้อย่างไร!!”
ในที่สุดสีหน้าของกงซุนหว่านเอ๋อร์ก็แปรเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ในความทรงจำของนาง หินมารสวรรค์นี้ ต่อให้เป็นนอกโลกก็ไม่นับว่ามีมากนัก ทุกครั้งที่ใช้ล้วนต้องเผาผลาญหมดไป ถือเป็นของที่สิ้นเปลืองมากเพราะใช้ได้ครั้งเดียว
ของสิ่งนี้ไม่มีประโยชน์อะไรกับเผ่ามนุษย์ แต่สำหรับพวกผู้ฝึกตนที่อยู่นอกโลกแล้ว ประโยชน์ของมันมีมากมหาศาล สามารถบดขยี้ทุกสิ่งอย่างได้ในเสี้ยววินาที!
เมื่อเห็นว่าวิกฤตมาเยือน กงซุนหว่านเอ๋อร์ก็ไม่สนใจการผสานรวมร่างอีกแล้ว เพียงรักษาระดับการผสานรวมไว้ที่เจ็ดส่วน นางกรีดร้องคำรามเสียงแหลม มือขวาทำมุทราแล้วชี้ออกไป ทันใดนั้นกระบี่เหล็กที่มาจากมหาราชาบรรพกาลนอกโลกผู้แข็งแกร่งก็พลันเผยกาย หลังจากถูกนางคว้ามากุมไว้ในมือ นางก็ตวัดมันฟาดฟันเข้าใส่ตราผนึกที่หดรวบเข้ามาจากรอบด้าน!
ขณะเดียวกันเงาร่างที่สวมเกราะดำก็เหมือนจะถูกเผาไหม้ เปลวเพลิงสีเขียวในดวงตาลุกโชนอย่างบ้าคลั่ง ปากก็คำรามกร้าวเสียงดัง
“เจีย เจิ้น เลี่ย ไจ้ เฉียน!!”
(เจีย เจิ้น เลี่ย ไจ้ เฉียน คืออักษรห้าคำหลังของปรัชญาเก้าคำของลัทธิเต๋า เจีย (皆) หมายถึงกการรับสัมผัสต่ออันตราย เจิ้น (阵) หมายถึงการรับสัมผัสทางใจหรือการอำพรางตัว เลี่ย (列) หมายถึงการควบคุมเวลา ไจ้ (在) หมายถึงการควบคุมห้าธาตุอย่างทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน และเฉียน (前) หมายถึงแสงสว่าง ) เมื่อเสียงคำรามดังกึกก้อง ปราณของเงาร่างเกราะดำก็เปลี่ยนมาเป็นพลุ่งพล่านถึงขีดสุด ร่างนั้นกำลังแตกสลายอย่างรวดเร็ว ทว่าท่ามกลางการแตกสลายนี้ ด้านในร่างของมันกลับมีปราณที่เขย่าคลอนโลกใบนี้พวยพุ่งออกมาบางๆ!
ราวกับว่าเมื่อพบกับวิกฤตอันตราย มันจึงเผาไหม้ทุกสิ่งที่เป็นของตัวเอง เพื่อแลกมาด้วยการระเบิดพลังโจมตีน่าครั่นคร้ามครั้งนี้!
ท่ามกลางความพร่าเลือน ปราณนี้ก็เหมือนจะลอดทะลวงนภากาศของโลกทงเทียน อีกทั้งบนท้องฟ้ายังปรากฏน้ำวนขนาดใหญ่ นอกน้ำวนเหมือนจะมีกฎเกณฑ์ที่สามารถเชื่อมโยงไปยังภายนอกของโลกทงเทียนได้
ซึ่งกฎเกณฑ์นั้นเกิดจากการชักนำของเงาเกราะดำ ใช้การพังทลายของมันเป็นตัวนำให้กฎเกณฑ์นั้นเยื้องกรายมาเยือน!
หากมันร่วงลงมาเมื่อไหร่ ต่อให้เป็นวินาทีเดียวก็ต้องทำให้กฎเกณฑ์ของโลกทั้งสองใบปะทะกัน พลังอำนาจนั้นมากมหาศาล…จนอาจทำลายผนึกของโลกย่อส่วนเลยก็เป็นได้!
ภาพเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ทำให้พวกป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่บนเรือมองตาค้าง นั่นเป็นเพราะตั้งแต่การร่วมมือกันระหว่างเทียนจุนและกงซุนหว่านเอ๋อร์ จนกระทั่งมาถึงความขัดแย้งภายใน ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป แถมแต่ละคนยังมีแผนรับมือมากมายแบบกินกันไม่ลง และตอนนี้ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะแจ่มแจ้งแล้ว
มารดาแห่งผีอ่อนแอจนคล้ายจะไม่เหลือเรี่ยวแรงให้แก้ไขในสิ่งใด
ส่วนกงซุนหว่านเอ๋อร์ที่เป็นวิญญาณซึ่งแปลงมาจากแขนซ้ายอันเป็นอาคมฝ่ามือของมารดาแห่งผี สามารถควบคุมกระจกแปดเหลี่ยมได้ เวลานี้ก็ไม่เสียดายที่จะทำให้สมบัติล้ำค่าชิ้นนี้พังลงเพียงเพื่อแลกมาด้วยพลังสะท้านฟ้า ผสานกับกระบี่เหล็กที่อยู่ในมือ หมายฝ่าตราผนึกให้แตกออก!
ส่วนเทียนจุนที่แม้จะบาดเจ็บสาหัสตอนอยู่แดนทุรกันดาร ทว่าเขาเตรียมการมาอย่างพร้อมเพรียง อันดับแรกก็ใช้ภาพย่อส่วนของโลกมาผนึกทาส จากนั้นก็เป็นหินมารสวรรค์ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเตรียมมาเพื่อกำราบกงซุนหว่านเอ๋อร์โดยเฉพาะ อีกทั้งเวลาที่เขาเลือกใช้ก็ยิ่งเป็นช่วงเวลาที่กงซุนหว่านเอ๋อร์มิอาจขยับตัว เพราะอยู่ในช่วงเวลาอันเป็นกุญแจสำคัญของการกลืนกินพอดี
เมื่อมองปราดๆ ก็แยกไม่ออกว่าใครกันแน่ที่ได้เปรียบ ทว่าวินาทีที่เงาเกราะดำแตกสลายออกอย่างสมบูรณ์แบบ น้ำวนบนท้องฟ้าที่มีกฎเกณฑ์ของโลกภายนอกเยื้องกรายลงมา ผสานรวมกับกระบี่เหล็กในมือของกงซุนหว่านเอ๋อร์ที่กำลังจะฟาดฟันลงไป…
สถานการณ์กลับเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง!!
จู่ๆ เทียนจุนกลับหัวเราะขึ้นมา เสียงหัวเราะนั้นมีความสมใจ ความดูหมิ่น ก่อนที่เขาจะเอ่ยขึ้นช้าๆ
“กระบี่เล่มหนึ่งที่ตกมาอยู่ในโลกของข้านานหลายปีขนาดนี้ เจ้านึกจริงๆ หรือว่า…มันอยู่ในการควบคุมของเจ้า? ข้าก็แค่ทำให้เจ้ารู้สึกว่าเจ้าสามารถควบคุมมันได้ก็เท่านั้น!” เมื่อจบคำพูดของเทียนจุน ดวงตาของเขาก็พลันระเบิดแสงลุกโชน
แสงนี้คล้ายกระบี่คมกริบ มือซ้ายของเขาถูกยกขึ้นแล้วชี้ไปยังกระบี่เหล็กที่อยู่ในมือของกงซุนหว่านเอ๋อร์!
ชั่วขณะที่ประโยคนี้หลุดออกมา สีหน้าของกงซุนหว่านเอ๋อร์ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แต่ยังไม่ทันรอให้นางได้ทำอะไร กระบี่เหล็กในมือของนางก็พลันหลุดออกจากการควบคุม ไม่เพียงแต่หลุดไปจากมือนาง ทั้งยังหมุนตัวหันปลายกระบี่ให้ลอดทะลวงตราผนึก ไม่ได้หันเข้าหากงซุนหว่านเอ๋อร์ แต่หันเข้าหาน้ำวนที่อยู่บนท้องฟ้า!
ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้างอยู่ตลอดเวลา ลมหายใจเดี๋ยวๆ ก็ชะงักค้าง เดี๋ยวๆ ก็หอบหนัก อีกทั้งหลายครั้งที่เขาถึงกับลืมหายใจ เหตุพลิกผันของศึกครั้งนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป ราวกับว่าทุกคนต่างก็มีกลอุบายและวิธีการเป็นของตัวเอง ยากจะมองออกถึงสถานการณ์ที่แท้จริง
อีกทั้งในนาทีนี้ที่ได้รู้ว่ากระบี่อุกาบาตถูกเทียนจุนแอบควบคุมอย่างลับๆ ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน ทว่าเขากลับโยนมันไว้ที่นั่น ปล่อยให้กงซุนหว่านเอ๋อร์ผสานรวมกับมันหลังจากที่ฟื้นตื่นขึ้นมาแล้ว…
ทั้งหมดนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่นทั้งที่ไม่หนาว ในใจประหวั่นพรั่นพรึงไปกับการแผนการอันลึกล้ำแยบยลของเทียนจุน
“นี่เขาวางแผนมาแล้ว…กี่ปีกันแน่? หรือเขารู้มาตั้งแต่ต้นแล้วว่ากงซุนหว่านเอ๋อร์จะต้องฟื้นตื่นขึ้นมา?”
“ไม่!!” กงซุนหว่านเอ๋อร์กรีดร้องโหยหวน นัยน์ตาฉายความสิ้นหวังออกมาเป็นครั้งแรก กระบี่เหล็กเล่มนั้นพุ่งทะยานเร็วเกินไปราวลูกธนูสวรรค์ที่พุ่งแหวกอากาศ พริบตาเดียวก็พุ่งไปถึงสุดขอบฟ้า วินาทีที่ปะทะกับน้ำวนก็พลันระเบิดออกด้วยตัวเอง!
การระเบิดตัวเองครั้งนี้ก่อกลายมาเป็นพลังแห่งการดับทำลายที่ปกคลุมน้ำวนไว้ภายใน ทำให้น้ำวนที่สามารถชักนำกฎเกณฑ์ของนอกโลกมาได้ถูกบังคับลบทิ้งไปทันที!
อีกทั้งท่ามกลางการไม่ยินยอมแตกสลายของน้ำวน มันเลยกลายมาเป็นพลังแว้งโจมตีกลับ เป็นเหตุให้ร่างของเกราะดำที่กำลังแหลกสลายส่ายโอนอย่างรุนแรง ประกายมืดดำในดวงตาก็อ่อนจางลงคล้ายรู้สึกเสียดาย ร่างทั้งร่างแหลกสลายและระเบิดกระจัดกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมเสียงกัมปนาทกึกก้อง!
เหตุพลิกผันทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป พริบตาเดียววิธีการของกงซุนหว่านเอ๋อร์ก็ถูกเทียนจุนคลี่คลายได้หมด และตราผนึกโลกย่อส่วนใบนั้นก็หดตัวเข้าหากันอย่างรวดเร็ว ครั้นจึงนาบประทับลงไปในร่างของกงซุนหว่านเอ๋อร์อย่างเหี้ยมเกรียม!
“กลายมาเป็นทาสของข้า เมื่ออาศัยการควบคุมจากเจ้า ข้าก็สามารถใช้เรือรบลำนี้…ชักนำกฎเกณฑ์ของโลกภายนอก ไม่จำเป็นต้องเปิดประตู ก็สามารถออกไปจากโลกใบนี้ได้!
และตอนนี้ จักรพรรดิหมิงคนใหม่ก็ยังมีพละกำลังไม่มากพอ เจ้าแก่คนเฝ้าสุสานอ่อนแออย่างยิ่ง แล้วใครจะยัง…ขัดขวางข้าได้อีก!!” น้ำเสียงที่ตื่นเต้นและเย่อหยิ่งของเทียนจุนพลันดังวานไปทั่วทิศ เขามองเห็นว่าความสำเร็จของตราผนึกโลกย่อส่วนที่กำลังหุบเข้าหากัน เหมือนจะ…มารออยู่ตรงหน้านี้แล้ว!
ทว่าทันใดนั้นเอง ในจิตสำนึกของกงซุนหว่านเอ๋อร์ที่กำลังสิ้นหวัง พลันมี…เสียงที่แผ่วเบาล่องลอย ทว่ากลับเต็มไปด้วยสติปัญญาของมารดาแห่งผีลอยขึ้นมา!
“แขนซ้ายของข้า…ตอนนี้ ทางเลือกของเจ้าก็คือกลายมาเป็นทาสอาคมของนักพรตทงเทียน หรือเลือกที่จะ…ผสานรวมกับข้า แล้วข้าจะพาเจ้า…กลับบ้านด้วยกัน!”