บทที่ 952 เรือกระดูกออกเดินทาง
น้ำเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนแหบเครือ ในความร้าวรานนั้นแฝงไว้ด้วยความยืนหยัดอย่างที่มิอาจบรรยายได้ อีกทั้งนาทีที่เสียงนั้นดังออกมาก็คล้ายจะไปชักนำกฎเกณฑ์ของฟ้าดินที่ดำรงอยู่ท่ามกลางความมืดมิดที่มองไม่เห็น เป็นเหตุให้เกิดพายุระห่ำที่ซัดครืนครั่นออกไปสี่ทิศ
เมื่อมารดาผีกลืนกินกงซุนหว่านเอ๋อร์เข้าไป ใบหน้าของนางที่แต่เดิมไร้เครื่องหน้าก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีดวงตาสองข้าง จมูก ปากปรากฏขึ้น และไม่นานก็กลายมาเป็นใบหน้าของหญิงสาวที่งดงามคนหนึ่ง!
มองดูแล้วนางอายุไม่มากนัก ผิวพรรณนวลเนียนน่าหลงใหล ในดวงตาก็ยิ่งมีประกายประหลาดที่สามารถมัวเมาใจคน เรียกได้ว่าเป็นโฉมสะคราญงามเลิศล้ำคนหนึ่ง!
ส่วนแขนซ้ายของนางที่ก่อนหน้านี้ขาดไป มาบัดนี้ก็งอกขยายออกมาด้วยความเร็วที่มองเห็นชัดด้วยตาเปล่า และพริบตาเดียวก็ฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติ ปราณที่แปลกประหลาดขุมหนึ่งระเบิดพวยพุ่งออกมาจากร่างของนาง รุนแรงจนเหมือนโลกใบนี้ต้องค้ำประคองเอาไว้สุดกำลัง!
“เจ้าขู่ข้าอย่างนั้นรึ?” มารดาแห่งผีเอ่ยเนิบช้า ตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน ดวงตาของนางลึกล้ำมืดดำประดุจท้องฟ้าที่มากด้วยหมู่ดาว มากพอจะทำให้คนลุ่มหลงอยู่ภายใน
ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้หลงใหลไปกับสายตานั้น ดวงตาของเขามีเพียงสีเลือดราวคนสติวิปลาส สายตาเขาจ้องมารดาแห่งผีเขม็ง ปากก็เอ่ยเน้นย้ำทีละคำอย่างชัดเจน
“ข้าไม่ได้ข่มขู่เจ้า แต่กำลัง…เตือนเจ้า!” ประโยคนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ผ่านการกลั่นกรองจากสมองเท่าใดนัก หาไม่แล้วด้วยนิสัยของเขา ย่อมไม่มีทางกล้าพูดแบบนี้กับมารดาแห่งผีแน่นอน แต่ทว่า…นิสัยของป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นมีส่วนที่ขัดแย้งกันเองอยู่บ้าง
แม้เขาจะกลัวตาย แต่หากเห็นญาติมิตรของตัวเองตกอยู่ในอันตราย เขาจะไม่หนีไปเพียงเพราะความกลัว และยิ่งไม่แสดงความอ่อนแอเพียงเพราะความกลัว!
บัดนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รู้แล้วว่าอะไรคือคำว่ากลัว เขารู้เพียงว่า ความเป็นความตายของโหวเสี่ยวเม่ยแขวนอยู่บนเส้นด้าย และเขาก็คิดเอาไว้ดีแล้วว่า ต่อให้ต้องเรียกลูกศิษย์ของตัวเองออกมา ต่อให้ต้องเรียกคนเฝ้าสุสานออกมา เขาก็ต้องทุ่มเทสุดความสามารถเพื่อขัดขวางมารดาแห่งผีให้จงได้!
ความคิดของเขา ความยืนหยัดตั้งมั่นของเขามองออกได้จากดวงตาที่บ้าคลั่งคู่นั้น…มารดาแห่งผีที่มองเห็นก็ถึงกับใจสะท้าน นางสัมผัสได้ทันใดว่านาทีนี้ปณิธานของโลกใบนี้คล้ายจะเยื้องกรายลงมาหาป๋ายเสี่ยวฉุนทีละนิด ราวกับว่าต้องการจะพิสูจน์คำสาบานที่ออกมาจากปากของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างไรอย่างนั้น!
หัวใจของมารแห่งผีเต้นรัวเร็วขึ้นอย่างไม่รู้สาเหตุ ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนในสายตาของนางจะเป็นเพียงคนฟ้ากระจอกๆ ผู้หนึ่งที่หากไม่มีหยกประดับของคนเฝ้าสุสาน นางคิดจะบีบก็ตายจะคลายก็รอด ทว่าอีกด้านหนึ่ง ลางสังหรณ์กลับบอกตัวนางเองว่า…หากนางกลืนกินโหวเสี่ยวเม่ยเข้าไปจริงๆ ในอนาคตวันใดวันหนึ่ง…นางจะต้องสร้างศัตรูตัวฉกาจที่ไม่จำเป็นให้กับตัวเองแน่นอน!
ความรู้สึกนี้มาเยือนอย่างฉับพลัน พอดวงตาทั้งคู่ของมารดาแห่งผีเปล่งแสงวาบ ปากที่อ้ากว้างหมายกลืนกินดวงวิญญาณของโหวเสี่ยวเม่ยก็พลันหายวับไปในพริบตา นางล้มเลิกความคิดที่จะฉวยโอกาสกลืนกินวิญญาณของโหวเสี่ยวเม่ยไปพร้อมกัน และเมื่อโบกมือขวาหนึ่งครั้ง วิญญาณของโหวเสี่ยวเม่ยก็ย้อนกลับเข้าไปในร่างของตัวเอง
“เป็นร่างสิงวิญญาณร่างหนึ่งที่ไม่เลวเลยทีเดียว ทั้งยังมีความสัมพันธ์กับเจ้าเด็กที่มีความเกี่ยวข้องโลกใบนี้อย่างลึกลับ ถือว่าเป็นตัวเลือกลูกศิษย์ที่ดีมากคนหนึ่ง” มารดาแห่งผีฉุกคิดขึ้นมาได้ ครั้นจึงหอบเอาร่างโหวเสี่ยวเม่ยที่วิญญาณเพิ่งหวนคืนสู่ร่างเข้ามาเก็บไว้ในชายแขนเสื้อของตัวเอง แล้วสะบัดตัวพุ่งกลับไปที่เรือกระดูก
ภาพนี้ทำให้ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนแทบหลั่งเลือด ลมหายใจหอบหนัก ส่วนเทียนจุนที่กำลังประมือกับใบหน้าผีร้ายทั้งสามก็พลันถอยกรูด เงยหน้าขึ้นมองมารดาแห่งผีพลางเอ่ยเร่งร้อน
“มารดาแห่งผี เจ้ากับข้าก็ร่วมมือกัน พวกเรา…”
“ร่วมมือกับเจ้างั้นรึ?” ยังไม่ทันรอให้เทียนจุนกล่าวจบ เสียงหัวเราะของมารดาแห่งผีก็ดังออกมาตัดบทอย่างไม่มีเกรงใจ!
“น่าขัน!” นางมองเทียนจุนด้วยสายตาเหยียดหยาม ก่อนหน้านี้นางยังต้องแสร้งทำเป็นอ่อนแอ ทว่าเมื่อตอนนี้ร่างผสานรวมได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว บนโลกใบนี้ นอกจากคนเฝ้าสุสานที่นางยังคงมองไม่ออก นางก็ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาอีก
ต่อให้คนที่อยู่ตรงหน้าคือว่าที่เทียนจุนในสายตาของนาง แต่กระนั้นนางก็ยังคงไม่สนใจ ถึงขั้นที่ว่าหากไม่เป็นเพราะอีกฝ่ายมีพลังของโลกใบนี้มาใช้ปลุกเสก นางก็ไม่ยี่หระหากต้องสังหารเทียนจุนผู้นี้แล้วนำมาชุบหลอมเป็นผีร้ายใส่ธงเรือผืนที่สี่ของตัวเอง!
“น่าเสียที่เขามีพลังของโลกมาใช้ปลุกเสก หากคิดจะสังหารคนผู้นี้ในโลกใบนี้…เว้นเสียแต่ว่าตบะของข้าฝ่าทะลุเทียนจุน เลื่อนสู่ขั้นบุพกาล…ถึงจะสามารถฝืนกฎเกณฑ์แห่งโลกสังหารเขาได้ หาไม่แล้ว หากคิดจะฆ่าคนผู้นี้ ก็มีเพียงต้องเป็นคนของโลกใบนี้เท่านั้นถึงจะมองข้ามการปลุกเสกพลังของโลกใบนี้ อีกทั้งยังถึงขั้นช่วงชิงพลังนั้นมาเป็นของตนแล้วสังหารคนผู้นี้ได้”
เมื่อถูกมารดาแห่งผีมองด้วยสายตาหยามหยันต่อหน้าต่อตานักพรตมากมายขนาดนี้ สีหน้าของเทียนจุนก็เริ่มไม่น่ามอง ดวงตาก็ยิ่งโชนแสงคมกล้า
หัวใจของเขาไม่ยินยอมอย่างถึงที่สุด ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ความสำเร็จมารออยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ ทว่ากลับต้องล้มเหลวอีกครั้ง ไม่เพียงแต่ผนึกทาสไม่สำเร็จ กลับยังปล่อยให้มารดาแห่งผีลุกผงาดได้อีกครั้งด้วย
“ไอ้แก่เฝ้าสุสาน เจ้าขัดขวางข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ที่แดนทุรกันดารทำเช่นนี้ และที่นี่ก็ยิ่งมีร่องรอยของแผนการเจ้าเหลืออยู่…ข้าไม่ยอม ข้าต้องออกไปจากโลกใบนี้ให้จงได้!! ข้าต่างหากที่เป็นนายของโลกใบนี้!!” หัวใจเทียนจุนใกล้คลุ้มคลั่งเต็มที เพียงเพราะว่าก่อนหน้านี้เขาบาดเจ็บหนักเกินไป หาไม่แล้ว ในสายตาของเขา เรื่องในวันนี้ต้องมีผลลัพธ์เป็นอื่นแน่นอน
แต่ยังไม่ทันรอให้เขาได้เอ่ยต่อ มารดาแห่งผีก็ได้ทะยานร่างเหยียบเข้าไปในเรือกระดูกเรียบร้อยแล้ว ใบหน้างามเป็นเอกของนางเชิดขึ้นน้อยๆ ความดูหมิ่นเหยียดหยามพลันแผ่ออกมาจากร่างของนางแล้วทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในทันที
“ตอนนี้คือช่วงเวลาที่จะไปจากโลกใบนี้…และกลับบ้านกันแล้ว…เรือกระดูกเสียจุน ออกเดินทาง!” นางยกมือขวาขึ้นแล้วกดผ่านอากาศลงไปยังเรือกระดูกที่อยู่เบื้องล่าง!
การกดครั้งนี้ของนางทำให้เรือกระดูกสั่นสะเทือนพร้อมเสียงอึกทึกกึกก้อง พาให้แผ่นดินสั่นไหว ทะเลกระดูกที่อยู่รอบด้านก็แตกสลายกลายเป็นผุยผงในบริเวณกว้าง…
ขณะเดียวกันนั้น พื้นดินตลอดทั้งเขตต้องห้ามแห่งชีวิตก็มีรอยแยกขนาดใหญ่ยักษ์ปรากฏขึ้น รอยแยกนี้มีเรือกระดูกเป็นจุดศูนย์กลาง เสียงเปรี๊ยะๆ ดังลั่นไม่กี่ทีก็ลุกลามออกไปรอบด้านอย่างต่อเนื่อง
อีกทั้งในรอยแยกนี้ยังมีหนามกระดูกขนาดมหึมาลอดทะลุขึ้นมาช้าๆ …โดยเฉพาะหนึ่งในรอยแตกเส้นที่ใหญ่ที่สุดซึ่งอยู่ห่างไปไกลที่ถึงกับระเบิดออก แล้วเผยให้เห็น…หางกระดูกน่าขนลุกหางหนึ่ง!
เหมือนจะมีสิ่งมีชีวิตเรือนกายขนาดมโหฬารทำท่าจะพุ่งออกมาจากใต้ดิน อีกทั้งภายใต้แรงสั่นสะเทือนอันรุนแรงนี้ นักพรตจำนวนไม่น้อยที่อยู่บนเรือกระดูกก็ได้ถูกแรงสั่นสะเทือนกระแทกลงบนร่างอย่างหนักหน่วง แต่ละคนกระอักเลือด ร่างปลิวกระเด็นออกไปจากเรือกระดูกอย่างที่ไม่อาจควบคุม!
เมื่อเงาร่างเหล่านั้นทยอยกันถูกแรงสะเทือนเหวี่ยงออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น พละกำลังมหาศาลขุมนั้นส่งผ่านจากเรือกระดูกมาระเบิดอยู่บนร่างของเขา ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าซีดเผือด เสียงปังดังลั่น ร่างของเขาก็ถูกเหวี่ยงกระเด็นออกมาจากเรือ…
และเวลานี้เอง ผืนแผ่นดินก็เหมือนระเบิดออก เรือกระดูกที่เดิมทีมีขนาดใหญ่โตค่อยๆ ลอยตัวขึ้นไปบนฟ้า ส่วนพวกคนที่กระเด็นออกมาก็พากันหอบหายใจด้วยความตะลึงพรึงเพริด เพราะพวกเขามองเห็นว่าตอนนี้แผ่นดินใต้เรือกระดูกกำลังมี…ตัวเรือ…ที่ขนาดใหญ่กว่าเรือกระดูกหลายเท่าโผล่ออกมา!!
“นี่…นี่…”
“สวรรค์ ที่แท้เรือกระดูกนั่นเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ที่ฝังอยู่ใต้ดินนั่นต่างหาก…ถึงจะเป็นตัวเรือทั้งหมดที่แท้จริง!!” ท่ามกลางเสียงร้องอุทานฮือฮาของคนรอบด้าน ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็จิตใจสั่นรัวเช่นกัน เขามองเห็นเรือกระดูกขนาดมหึมายิ่งกว่าเก่าที่กำลังผุดออกมาจากใต้ดิน!
หากจะพูดให้ถูกต้องยิ่งกว่านั้น ก่อนหน้านี้ที่โผล่ออกมาด้านนอกเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของเรือกระดูกเท่านั้น ยามนี้เมื่อทะเลกระดูกแตกกระจาย เขตต้องห้ามแห่งชีวิตพังทลาย เรือกระดูกถึงได้เผยกายออกมาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แบบ!
นั่นคือ…กิ้งก่ากระดูกขาวโพลนขนาดใหญ่ยักษ์ตัวหนึ่ง!!
เรือนกายของกิ้งก่าตัวนี้ใหญ่มโหฬารสุดประมาณ มองปราดเดียวยังไม่เห็นจุดสิ้นสุดของร่างมัน เห็นเป็นเพียงเค้าโครงคร่าวๆ เท่านั้น และเรือกระดูกที่เผยตัวอยู่ภายนอก…อันที่จริงแล้วกลับเป็นเพียงแค่สิ่งปลูกสร้างที่ก่อสร้างไว้บนยอดส่วนหัวของกิ้งก่าตัวนี้เท่านั้น!
ภาพนี้เขย่าคลอนจิตวิญญาณของทุกผู้ทุกคน และอยู่เหนือการคาดการณ์ของคนทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง ไม่มีใครคาดคิดได้ว่า สุดท้ายแล้วเรือกระดูกลำนี้จะมีลักษณะเป็นอย่างนี้!
ขณะเดียวกันก็ยังคงมีนักพรตทยอยกันถูกเหวี่ยงออกมาจากเรือกระดูกอย่างต่อเนื่อง พวกป๋ายหลิน จ้าวเทียนเจียวต่างก็กระอักเลือด ร่างถูกเหวี่ยงกระเด็นไปสี่ทิศ
ฟ้าดินอึงอลไปด้วยเสียงอึกทึกเกริกก้อง นภากาศบิดเบือน เมื่อมารดาแห่งผีที่อยู่บนเรือกระดูกกางแขนทั้งสองข้างออก น้ำวนขนาดมหึมาลูกหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้นมาบนขอบฟ้า!
ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนแน่วนิ่ง จ้องเขม็งไปยังน้ำวนลูกนั้นเป็นจุดเดียว และเขาก็พอจะมองออกได้อย่างเลือนรางว่าในน้ำวนลูกนั้นเหมือนจะมีโลกอยู่อีกใบหนึ่ง…แม้ว่าโลกใบนั้นจะพร่าเลือน ทว่ากลับแจ่มชัดในความรู้สึกของเขา!
“กลับบ้าน!!” เสียงหวีดแหลมของมารดาแห่งผีดังก้องไปทั่วทิศ ท่ามกลางการยุบยวบของแผ่นดินในเขตต้องห้ามแห่งชีวิต กิ้งก่ากระดูกขาวตัวนั้นก็คลานขึ้นมาจากใต้ดิน แล้วทะยานตัวตรงดิ่งเข้าหาน้ำวนบนท้องฟ้า!
เมื่อมองไกลๆ ก็ราวกับว่ากิ้งก่ายักษ์ตัวนั้นกำลังจะฉีกทึ้งท้องฟ้า!
และเวลานี้เอง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันค้นพบว่า นอกจากโหวเสี่ยวเม่ยที่ถูกพาตัวไปแล้ว เรือกระดูกลำนั้นไม่ได้เหวี่ยงทุกคนออกมา…เพราะอย่างน้อยก็ยังมีคนเหลืออยู่ในเรือกระดูกลำนั้น…อีกหลายสิบคน!
และหนึ่งในนั้นก็คือ…จางต้าพั่ง!
จางต้าพั่งในเวลานี้ก็ยืนตัวสั่นอยู่บนเรือกระดูก เขาทอดสายตามองน้ำวนบนท้องฟ้าที่ขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ด้วยสายตาเลื่อนลอย พอเห็นมารดาแห่งผีที่ทั่วร่างแผ่ปราณสยบฟ้ากำราบดินซึ่งยืนกางแขนทั้งสองข้างอยู่ตรงนั้น
ร่างของจางต้าพั่งก็ยิ่งสั่นเทิ้ม ในสมองพลันมีภาพความฝันนั้น…ที่เกิดขึ้นก่อนตนจะมาที่นี่ลอยขึ้นมา…
“โลกใบใหม่อย่างนั้นหรือ…”