บทที่ 953 ทารกหญิงฟื้นตื่น
ช่วงเวลาเดียวกันกับที่เรือกระดูกกิ้งก่าขาวลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ใบหน้าผีทั้งสามที่อยู่ข้างกายเทียนจุนที่ต่อให้จะไม่ยินยอมแค่ไหน แต่ก็ยังถูกเรือกระดูกกระชากรั้งให้ตรงดิ่งเข้าหาน้ำวนอย่างที่มิอาจขัดขืน
เมื่อเทียบกับใบหน้าผีอีกสองหน้าแล้ว ใบหน้าผีที่จะหัวเราะก็ไม่ใช่ร้องไห้ก็ไม่เชิงกลับมีความไม่ยินยอมรุนแรงมากกว่า
“โลกใบนี้…ข้าไม่ยอม ข้าอยากอยู่ต่อ ข้าไม่อยากออกไป…” มันคลุ้มคลั่งอยู่ในใจ แต่กลับทำอะไรไม่ได้ ไม่ว่าจะต้านทานอย่างไร ก็ยากที่จะหนีพ้นการควบคุมของเรือกระดูก และถูกดึงรั้งเข้าไปหาเรือกระดูกใกล้มากทุกขณะแล้ว
และเวลานี้เอง เมื่อเรือกระดูกกิ้งก่าลอยขึ้นไปหาน้ำวนขนาดใหญ่ยักษ์บนท้องฟ้า ลมหายใจของเทียนจุนก็เปลี่ยนมาเป็นถี่รัวด้วยความตื่นเต้น นัยน์ตาของเขาที่ฉายความกระหายอย่างมิอาจบรรยายจ้องเขม็งไปยังน้ำวนบนนภากาศ
ความรู้สึกของเขาแตกต่างจากใบหน้าผีหัวเราะก็ไม่ใช่ร้องไห้ก็ไม่เชิงนั่นอย่างสิ้นเชิง นั่นคือสถานที่ที่ต่อให้ฝันเขาก็ยังปรารถนาจะไปเยือน เมื่ออยู่ในโลกใบนี้ เขาได้เดินมาสู่จุดสูงสุดของชีวิตแล้ว และเขาก็อยู่ที่นี่มานานเหลือเกิน สำหรับเขา เมื่อคนคนหนึ่งถูกกักขังไว้ในสถานที่แห่งหนึ่งนานเกินไป ที่นี่ก็จะเป็นเหมือนคุกขนาดใหญ่สำหรับคนผู้นั้น!
เขาไม่ยินดีอยู่ที่นี่ เขาอยากจากไป ต่อให้เขาจะรู้ดีว่า…การจากไปของตัวเองอาจทำให้โลกใบนี้ล่มสลาย อาจทำให้ทุกคนต้องตาย แต่เขาก็ยังคงเลือกเช่นนี้!
สำหรับพวกจางต้าพั่งแล้ว การออกไปจากโลกใบนี้มีแต่อันตรายน่าหวาดหวั่น ทว่าสำหรับเทียนจุนแล้ว มันกลับเป็นอนาคตที่แปลกใหม่อย่างสิ้นเชิง
ร่างของเขาจึงพลันกลายเป็นรุ้งยาวที่พุ่งทะยานตามเรือกระดูกตรงไปหาน้ำวนที่อยู่บนท้องฟ้า คล้ายต้องการอาศัยน้ำวนนี้หนีออกไปจากที่นี่!
เพียงแต่ว่า…วินาทีที่เขาขยับเข้าไปใกล้ ท้องฟ้ากลับมีพลานุภาพสยบขุมหนึ่งเยื้องกรายลงมา ทั้งยังมีแรงดึงดูดมหาศาลส่งมาจากพื้นดิน ด้านบนมีแรงกดดัน ด้านล่างมีแรงกระชากรั้ง ทำให้เขาถูกกักตัวอยู่ที่เดิม มิอาจพุ่งออกไปได้!
ถึงขั้นที่ว่าปณิธานของโลกซึ่งเดิมทีมารวมอยู่บนร่างของเขาก็ยังเกิดลางที่จะพังทลายเพราะการกระทำนี้ของเขาด้วย เทียนจุนจึงแผดเสียงร้องคำรามสะท้านฟ้าด้วยความไม่ยินยอม
“ไอ้แก่คนเฝ้าสุสาน สักวันหนึ่ง…ข้าจะออกไปให้จงได้!!” เทียนจุนแหงนหน้าขึ้นฟ้าแผดเสียงคำราม เสียงนั้นราวกับกลายมาเป็นอสนีบาตที่พกพาเอาพลังของโลกมาสร้างความสั่นสะเทือนไปแปดทิศ ทำให้ความว่างเปล่ารอบกายกิ้งก่าขาวเกิดสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนแลบแปลบปลาบ
สายฟ้าพวกนี้มีมาก แน่นขนัดขยุกรวมเป็นก้อนเดียวกันคล้ายบ่อสายฟ้า และเหมือนจะมีมือสายฟ้าขนาดใหญ่ที่ตบลงไปบนกิ้งก่าขาว แล้วขยุ้มคว้าเต็มแรง
คล้ายต้องการใช้ความพยายามสุดท้ายมารั้งอีกฝ่ายเอาไว้!
วินาทีที่มือใหญ่สายฟ้ารวมตัวกันได้สำเร็จก็กลายมาเป็นสีทองเหมือนถูกอาบย้อมไปด้วยสีของแม่น้ำทงเทียน เมื่อมองไกลๆ จึงเห็นว่ามือใหญ่สายฟ้าสีทองนี้ได้พกพาเอาพลังเหนือเทียมทานไปเอื้อมคว้ากิ้งก่ากระดูกขาวตัวนั้นไว้
ทว่าชั่วขณะที่กำลังจะปะทะโดนนั้นเอง มารดาแห่งผีกลับยิ้มหยัน มือทั้งคู่ทำมุทราแล้วโบกอย่างแรง ทันใดนั้นควันสีดำกลุ่มหนึ่งก็ถูกปลดปล่อยออกมาจากในร่างของกิ้งก่ากระดูกขาว พริบตาเดียวควันดำก็อบอวลไปทั่วทั้งผืนฟ้าแล้วปะทะเข้าต่อต้านมือใหญ่สายฟ้าสีทองที่ขยับเข้ามาใกล้
เสียงตูมตามดังสนั่นหวั่นไหว มือใหญ่สายฟ้าไม่สามารถทำลายควันดำพวกนี้ได้ อีกทั้งยังถูกแรงกระเทือนกลับมาจนแตกทลายไปเกือบครึ่ง
แต่ขณะที่กำลังจะสลายหายไป ทันใดนั้นใบหน้าผีหัวเราะไม่ใช่ร้องไห้ไม่เชิงที่ถูกดึงรั้งและกำลังจะกลับไปสู่เรือกระดูกก็หันขวับมาร้องคำราม แล้วจู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าใช้วิธีใดถึงสามารถเปลี่ยนแปลงวิถีโคจรของการกระชากรั้ง ทำให้มันย้อนกลับมาพุ่งเข้าชนกับมือใหญ่สายฟ้าของเทียนจุนได้อีกครั้ง
ภาพนี้ทำให้ในดวงตาของมารดาแห่งผีฉายความดุดัน เทียนจุนเองก็อึ้งงันไปอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับไม่มีลังเล มือใหญ่สายฟ้าสีทองของเขาคว้าไปที่ใบหน้าผีจะร้องไห้ก็ไม่ใช่หัวเราะก็ไม่เชิงนั้นแล้วกระชากกลับมาอย่างแรง!
เสียงกัมปนาทสะเทือนฟ้าดินพลันระเบิดกึกก้อง ใบหน้าผีถูกเทียนจุนคว้าเอาไว้…แล้วกระชากออกมาจากทิศทางการโคจรที่เรือกระดูกกำหนดไว้!
ทว่า…เมื่อมือใหญ่สายฟ้าหดเล็กลงแล้วมาหยุดอยู่ตรงหน้าเทียนจุน พอเขาแบมือออก ใบหน้าผีที่ไม่ใช่ทั้งหัวเราะและไม่ใช่ทั้งร้องไห้ซึ่งถูกเขาคว้ามาไว้ในมือ กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่มีใครรู้ได้…
ดวงตาของเทียนจุนเป็นประกายวาบ ฉายแววครุ่นคิด
มารดาแห่งผีที่มองเห็นภาพทุกอย่างนี้ ประกายดุร้ายในดวงตาของนางก็ยิ่งเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่มองโลกใบนี้ด้วยสายตาลึกล้ำหนึ่งครั้งแล้วไม่ให้ความสนใจอีก กิ้งก่ากระดูกขาวยังคงพุ่งทะยานด้วยเสียงอึกทึกเข้าไปใกล้น้ำวนมากขึ้นเรื่อยๆ …
เพียงแต่ว่าเวลานี้เอง แม้แต่เทียนจุนก็ยังคาดไม่ถึงว่าจู่ๆ มหาสมุทรกระดูกบนพื้นที่พังทลายจะมีเงาร่างหนึ่งทะยานขึ้นมาด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ พริบตาเดียวก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า!
เงาร่างนั้นก็คือ…ป๋ายเสี่ยวฉุน!
“มารดาแห่งผี คืนโหวเสี่ยวเม่ยและศิษย์พี่ใหญ่ของข้ามา!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนดวงตาแดงก่ำ ตอนนี้เขาพร้อมทุ่มสุดตัวแล้ว เขาไม่สามารถทนมองโหวเสี่ยวเม่ยถูกพาตัวไปต่อหน้าต่อตาของตัวเอง แล้วก็ไม่สามารถนิ่งดูดายให้จางต้าพั่งถูกเรือกระดูกลำนั้นพาเข้าไปยังน้ำวน
เขาร่ายใช้ความเร็วถึงขีดสุดจนเกิดเป็นเสียงแหวกอากาศที่ทะยานเข้าหากิ้งก่ากระดูกขาว เมื่อเงาร่างของเขาในเวลานี้สะท้อนอยู่ในดวงตาของนักพรตที่เหลืออยู่เบื้องล่าง แต่ละคนก็พากันตะลึงตาค้าง
เทียนจุนเองก็หรี่ตามองไปเช่นกัน เรื่องของเรือกระดูกครั้งนี้มีแต่ร่องรอยแผนการของคนเฝ้าสุสานอยู่เต็มไปหมด และในใจของเทียนจุนก็ระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ อีกฝ่ายกลับไม่มีทีท่าที่จะเผยตัว นี่จึงทำให้เขาอัดอั้นอยู่ในใจ ขณะเดียวกันก็เกิดความสงสัยอย่างล้ำลึก
“ตาเฒ่านั้นกลอุบายลึกล้ำเกินไป…ข้าไม่เชื่อหรอกว่าครั้งนี้เขาจะแค่ขัดขวางไม่ให้ข้าจากไป เขายังต้องมีเป้าหมายอื่นที่ข้าไม่รู้อยู่อีกแน่นอน!”
บนกิ้งก่ากระดูกขาว มารดาแห่งผีก้มหน้ามองป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังพุ่งมาด้วยความเร็วสุดขีด นางมองเห็นสีแดงฉานในดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุน มองเห็นความบ้าคลั่งของป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ เพียงแต่ว่าต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะเร็วแค่ไหนก็ยังมิอาจไล่ตามกิ้งก่ากระดูกขาวได้ทัน ยิ่งตอนนี้กิ้งก่ากระดูกขาวขยับเข้ามาใกล้น้ำวนและเริ่มทำการผสานรวมด้วยแล้ว ซึ่งอันดับแรกที่ถูกหลอมรวมเข้าไปคือเรือกระดูก แล้วก็ตามมาด้วยส่วนหัวของกิ้งก่ากระดูกขาว ร่างกาย และสุดท้ายมันก็…หายวับไปอย่างสมบูรณ์แบบ!
ทว่าก่อนที่มันจะหายตัวไป มารดาแห่งผีได้ลืมตาขึ้น ขยับริมฝีปากเบาๆ ส่งคำพูดประโยคหนึ่งให้แก่ป๋ายเสี่ยวฉุน
“เห็นแก่ข้อตกลงระหว่างข้าและคนเฝ้าสุสาน เจ้าวางใจได้ เด็กผู้หญิงคนนี้มีเรือนกายที่พิเศษ สอดคล้องกับวิชาการฝึกตนของข้า ข้าจะรับนางเข้าเป็นศิษย์ ส่วนนักพรตที่อยู่บนเรือกระดูกลำนี้ แต่ละคนก็ให้ดูที่ชะตาฟ้ากำหนดเถิด”
เห็นกิ้งก่ากระดูกขาวหายไปไม่เหลือร่องรอย ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ชะงักกึกอยู่กลางอากาศ ผวาเอื้อมมือออกไปไขว่คว้า เหม่อมองน้ำวนที่ค่อยๆ สลายหายไป
“เสี่ยวเม่ย…ศิษย์พี่ใหญ่…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำ รู้สึกหดหู่ที่ใจอยากช่วย แต่กลับไม่มีความสามารถ
เขานึกไปถึงความฝันที่จางต้าพั่งเคยเล่าให้ฟัง…เห็นได้ชัดว่า ศิษย์พี่ใหญ่ของเขามีลางสังหรณ์ต่อเรื่องนี้มานานแล้ว
เขาเองก็ได้แต่เชื่อว่าทุกอย่างที่มารดาแห่งผีพูดไว้ จะเป็นความจริง…
เมื่อเติบโต เมื่อตบะขยับขึ้นสูงไปทีละขั้น เมื่อสั่งสมอายุขัยมากขึ้นเรื่อยๆ
ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตระหนักได้ถึง…ค่าตอบแทนของการเติบโตแล้ว
ค่าตอบแทนนี้ เขาไม่ได้เพิ่งเคยจ่ายเป็นครั้งแรก เพียงแต่ว่าประสบการณ์แต่ละครั้งที่ต้องเผชิญทำให้เขามีความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงอย่างลึกล้ำ เขาไม่รู้ว่าเป็นความผิดของตน หรือเป็นความผิดของโลกใบนี้กันแน่
เขาแค่อยากฝึกตนอย่างมีความสุข แค่อยากเดินไปด้วยรอยยิ้มตลอดทางก็เท่านั้น…
ท่ามกลางความเงียบงัน หัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่อท้นไปด้วยความขมปร่า เขาไม่รู้ว่าชีวิตนี้ตนจะยังได้เจอกับจางต้าพั่งและโหวเสี่ยวเม่ยอีกหรือไม่…
“น่าจะได้เจอนะ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำ ไม่ทันสังเกตเห็นว่าเมื่อน้ำวนหายไป เมื่อพื้นดินของเขตต้องห้ามแห่งชีวิตพังทลาย พลังกักกันทั้งหมดในพื้นที่แห่งนี้ก็หายไปด้วย
สถานที่ที่เดิมทีเป็นเขตต้องห้ามแห่งชีวิต บัดนี้ไม่มีพันธนาการใดๆ ต่อนักพรต ซึ่งบางทีอีกหลายปีให้หลัง สถานที่แห่งนี้อาจฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง เพียงแต่ว่าช่วงเวลานี้ ที่นี่…สามารถเดินทางผ่านได้อย่างไร้อุปสรรคแล้ว!
แล้วก็ไม่รู้ว่าเทียนจุนจากไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาไม่ได้พาใครไปด้วย เขาต้องการไล่ตามใบหน้าผีร้องไห้ไม่ใช่หัวเราะไม่เชิงนั่นไป และตู้หลิงเฟยก็ไม่ได้ไปด้วย เทียนจุนทิ้งนางไว้ที่นี่ นางยืนเงียบๆ อยู่บนพื้นดิน เงยหน้ามองป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่กลางอากาศด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างซับซ้อน เงาร่างของนางที่ยืนอยู่ตรงนั้นมองดูโดดเดี่ยว
ทว่าสุดท้ายก็ยังสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วทะยานตัวบินไปหยุดอยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุน เอื้อมมือไปจับมือของเขาเอาไว้แล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ
“เสี่ยวฉุน อย่าเสียใจไปเลย…ข้าเชื่อว่าสักวันหนึ่ง เจ้าต้องได้เจอกับพวกเขาอีกแน่”
ป๋ายเสี่ยวฉุนหันมามองตู้หลิงเฟยเงียบๆ มือข้างที่ถูกนางกุมไว้คล้ายได้รับความอบอุ่นและความมั่นใจส่งผ่านมาให้ เนิ่นนานหลังจากนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พยักหน้ารับแรงๆ
บนทะเลกระดูกที่แหลกสลาย นักพรตของสี่สายที่แต่เดิมมีนับพัน ทว่าตอนนี้กลับเหลือไม่ถึงสองร้อยคน คนเหล่านี้ต่างก็มีอาการบาดเจ็บอยู่กับตัว
ต่อให้เป็นตู้หลิงเฟยเองที่ถึงแม้บิดาจะเก็บนางไว้ในถุงเก็บของ ทว่าเมื่อครู่ตอนที่เพิ่งโผล่เข้าไปยังชั้นที่สาม นางก็ยังได้รับบาดเจ็บเพราะการต่อสู้ระหว่างมารดาแห่งผีและกงซุนหว่านเอ๋อร์อยู่ดี
แม้จะไม่ได้สาหัสนัก แต่ก็ยังจำเป็นต้องใช้เวลาในการรักษาตัว คนอื่นๆ เองก็เป็นเช่นเดียวกัน ดังนั้นไม่นานคนทั้งกลุ่มก็พากันห้อตะบึงไปยังทางออกของเขตต้องห้ามแห่งชีวิต ด้านหนึ่งพวกเขาต้องการไปจากเขตต้องห้ามแห่งชีวิตแล้วหาสถานที่รักษาอาการบาดเจ็บ อีกด้านหนึ่งก็จำเป็นต้องยืนยันทิศทางให้รู้แน่ชัดว่าที่นี่คือเขตต้องห้ามแห่งชีวิตของแม่น้ำสายไหนกันแน่ และหลังจากหาสำนักต้นแม่น้ำที่อยู่ใกล้ที่สุดเจอก็จะได้ใช้ค่ายกลนำส่งของที่นั่นจากไป
ตลอดทางคนทั้งกลุ่มตกอยู่ในความเงียบงัน หัวใจกดดันหนักอึ้ง
ในฐานะคนฟ้าของแม่น้ำสามสายอย่างแฝดอวิ๋นเหลย หลิงเซียนซ่างเหรินและยังมีเชียนกุ่ยจื่อ พวกเขาต่างก็มีอาการบาดเจ็บอยู่กับตัว เวลานี้ในใจของแต่ละคนฟุ้งซ่านไม่น้อย นั่นเป็นเพราะการประลองครั้งนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่เกินไป ความลับที่ซุกซ่อนไว้ลึกล้ำเกินไป ทุกอย่างเหนือการคาดการณ์ของทุกคนอย่างสิ้นเชิง
แต่ไม่นานเมื่อทุกคนค่อยๆ ทะยานมาถึงปลายทางเขตต้องห้ามแห่งชีวิตของพื้นที่นี้ มองเห็นแผ่นดินที่เกาะตัวเป็นน้ำแข็ง สัมผัสได้ถึงไอความเย็นจากรอบด้าน แฝดอวิ๋นเหลยก็ดูอึ้งงันไปอย่างเห็นได้ชัด ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ ดวงตาของพวกนักพรตแม่น้ำสายเหนือที่อยู่ในกลุ่มคนก็ค่อยๆ ฉายความตะลึงระคนยินดีเช่นกัน
“สายเหนือ ที่นี่คือสายเหนือ!!”
“ข้าสัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณความเย็นของสายเหนือ!!”
เขตต้องห้ามแห่งชีวิตนี้คือเขตที่อยู่ติดกับ…แม่น้ำสายเหนือ!
ป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นเดิมทีอารมณ์หดหู่ซังกะตาย ทว่าวินาทีนี้เขากลับหน้าเปลี่ยนสี พลันก้มลงมองถุงเก็บของของตัวเอง
“มีอะไรหรือ?” ตู้หลิงเฟยถามอย่างแปลกใจ
“ไม่มีอะไรหรอก” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก หลีกเลี่ยงคำถามข้อนี้ ทว่าในใจกลับมีคลื่นใหญ่โถมตัวขึ้นมานานแล้ว นั่นเพราะเมื่อครู่นี้เขาสัมผัสได้ว่าในถุงเก็บของมีคลื่นส่งออกมา คลื่นนั้นมาจากทารกหญิงที่หลับสนิทอยู่ในโลงศพที่บุรพาจารย์สายธาราเทพมอบให้แก่เขา มันคือเสียงกระซิบแผ่วเบา…ที่แทบจะไม่ได้ยิน!
“กลิ่นอายของบ้าน…”