บทที่ 955 บีบบังคับทุกก้าวย่าง
คนฟ้าของแม่น้ำสายเหนือทั้งสี่คนนี้คือชายสามหญิงหนึ่ง
หญิงสาวเป็นหญิงวัยเกือบกลางคน ใบหน้าของนางดุร้าย อีกสามคน สองคนคือผู้เฒ่า และยังมีคนหนึ่งคือชายวัยกลางคนที่มองดูแล้วหน้าตาหล่อเหลาอย่างมาก คิ้วกระบี่ดวงตาคมกริบ มีเสน่ห์โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์
ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนที่เคยได้เห็นนักพรตชายหน้าตางดงามมาไม่น้อยก็อดยอมรับไม่ได้ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับคนผู้นี้แล้ว คนอื่นๆ ที่เขาเคยเห็นมานับว่าด้อยกว่าหลายส่วน
หากนับกันแค่หน้าตา ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ได้เห็นหน้าอีกฝ่ายก็ยังรู้สึกริษยาอยู่ในใจ นั่นเป็นเพราะชายวัยกลางคนผู้นี้หน้าตาหล่อเหลายิ่งนัก ตบะก็สูงล้ำ นัยน์ตาเป็นประกายระยิบระยับมีชีวิตชีวา มากพอจะล่อลวงนักพรตหญิงทุกคนได้เลย
บัดนี้พวกคนของสายตะวันตกและสายใต้ต่างก็พากันถอยหนี ต่อให้เป็นเชียนกุ่ยจื่อและหลิงเซียนซ่างเหรินก็ยังทำแบบเดียวกัน พวกเขาล้วนพานักพรตใต้บังคับบัญชาถอยห่างออกจากคนของสายตะวันออก
จ้าวเทียนเจียวและป๋ายหลินตึงเครียด ส่วนซ่งเชวียนั้นในใจซับซ้อน ด้านหนึ่งก็เครียด อีกด้านหนึ่งกลับอดอยากรู้ไม่ได้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะคลี่คลายปัญหาตรงหน้านี้อย่างไร
เพราะในความรู้สึกของเขา เรื่องนี้…ไม่สามารถคลี่คลายได้เลย และคาดว่าคนฟ้าของสายเหนือคงไม่กล้าสังหารป๋ายเสี่ยวฉุน ทว่าการที่จะรุมอัดเขาให้น่วม คงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
และความเป็นจริงก็ไม่แตกต่างไปจากการวิเคราะห์ของซ่งเชวียสักเท่าไหร่นัก ระหว่างทางตอนที่แฝดอวิ่นเหลยกลับมาได้ส่งข้อความมาบอกกล่าวคนในสำนักไว้แล้ว ดังนั้นเมื่อครู่นี้พอป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึง คนฟ้าทุกคนของสายเหนือถึงได้พร้อมใจกันเผยกาย
“หึ ข้าคนเดียวลงมือไม่ถนัด แต่หากทุกคนร่วมใจกันก็ไม่มีปัญหาแล้ว!” แฝดอวิ๋นเหลยหัวเราะเสียงเย็น นัยน์ตาฉายประกายเย็นเยียบ
แรงกดดันของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเพิ่มมากมหาศาล แม้ว่าเขาจะอารมณ์ไม่ดี แต่ภาพที่ได้เห็นในตอนนี้ก็ยังทำให้เขาสูดหายใจดังเฮือก หัวใจเต้นรัวเร็ว หากไม่นับรวมแฝดอวิ๋นเหลย คนฟ้าของสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าก็โผล่กันมาสี่คนแล้ว หากรวมแฝดอวิ๋นเหลยเข้าไปด้วยล่ะก็…
ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่รู้ว่าควรนับเป็นห้าคนหรือหกคน…แต่ไม่ว่าจะนับอย่างไร เขาก็ตกเป็นรองอยู่ดี…แล้วก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงข้อที่ว่า ในโลงผลึกใสบนท้องฟ้ายังมีครึ่งเทพอยู่อีกคนหนึ่ง
เวลานี้ลมหายใจของเขาติดขัดเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าสี่ใบหน้าบนท้องฟ้าต่างก็พร้อมใจกันมามองตัวเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ร้องโอดครวญอยู่ในใจ หากแฝดอวิ๋นเหลยไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย เขาต้องทำหน้ามึนงงกวาดตามองไปรอบด้าน ช่วยหาอีกแรงว่าใครคือ ป๋ายเสี่ยวฉุนแน่นอน…
ทว่าตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้แต่สูดลมหายใจเข้าลึก ดวงตาเริ่มแดงก่ำ
“ข้าเป็นถึงคนฟ้าผู้ยิ่งใหญ่ หัวขาดได้ เลือดหลั่งได้ แต่จะไม่ยอมแสดงความขี้ขลาดออกมาเด็ดขาด!” ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องคำรามอยู่ในใจ ครั้นจึงก้าวพรวดออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เมื่อเงยหน้าขึ้น พลังอำนาจของทั่วร่างก็พลันระเบิดปะทุ ก่อนที่จะ…ตวัดแขนรัดไปที่เอวของตู้หลิงเฟยที่ยืนอยู่ข้างกาย
เดิมทีตู้หลิงเฟยที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็กำลังขบคิดว่าควรจะช่วยป๋ายเสี่ยวฉุนคลี่คลายเรื่องนี้อย่างไร อีกทั้งในใจยังเริ่มมีแผนการแล้ว แต่ยังไม่ทันรอให้นางเปิดปาก ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับปรี่ขึ้นหน้ามาโอบกอดนางเสียก่อน
ท่ามกลางอาการอึ้งตะลึงของตู้หลิงเฟย พลังอำนาจของป๋ายเสี่ยวฉุนพวยพุ่งคล้ายกำลังมองหมิ่นใต้หล้า หลังจากที่โอบกระชับตู้หลิงเฟยไว้อย่างแนบชิด ภายใต้วงล้อมของนักพรตแม่น้ำสายเหนือ สายตะวันตกและสายใต้ และภายใต้การจับตามองอย่างตึงเครียดของนักพรตสายตะวันออก
ป๋ายเสี่ยวฉุนก็…กดจูบลงไปบนแก้มของตู้หลิงเฟยดัง “จ๊วบ” ต่อหน้าต่อตาทุกคน
ภาพนี้ทำให้พวกซ่งเชวียมองเซ่อกันไปทันที แฝดอวิ๋นเหลยขมวดคิ้ว คนฟ้าคนอื่นๆ ของแม่น้ำสายเหนือก็พากันแปลกใจ…โดยเฉพาะชายวัยกลางคนหน้าตาหล่อเหลาที่ถึงกับหายใจหอบรัวขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ดวงตามีความเดือดดาลก่อตัวคล้ายจะระเบิดออกมา
“เมียจ๋า ใต้เท้าเทียนจุนบิดาของพวกเราจากไปแล้ว ให้พวกเราลาดตระเวนอยู่ที่นี่ ข้าจำได้ว่าที่สายเหนือนี่มีศิษย์พี่ของพวกเราอยู่ด้วยใช่ไหม? เจ้ารีบแนะนำให้ข้ารู้จักหน่อยสิ ไหนๆ พวกเราก็มาถึงแม่น้ำสายเหนือแล้ว จะอย่างไรก็ควรต้องพบหน้าศิษย์พี่ของเราสักหน่อยนะจ๊ะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนกระแอมให้ลำคอตัวเองโล่ง ก่อนจะตะโกนพูดเสียงดัง
พอจบประโยคนี้ของเขา ซ่งเชวียก็สูดลมหายใจดังเฮือก จ้าวเทียนเจียวและป๋ายหลินก็ยิ่งเบิกตากว้าง ในสมองมีเสียงดังอึงอล เชียนกุ่ยจื่อและหลิงเซียนซ่างเหรินต่างก็มีสีหน้าเหลือเชื่อ
ส่วนแฝดอวิ๋นเหลยที่ถึงแม้จะรู้เรื่องนี้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะไร้ยางอายถึงขั้นลามปามไปอ้างความสัมพันธ์กับบุรพาจารย์ครึ่งเทพของสำนักตน…
คนฟ้าคนอื่นๆ ของแม่น้ำสายเหนือต่างก็มีท่าทางลังเลอย่างเห็นได้ชัด นั่นเพราะตัวตนของตู้หลิงเฟยทำให้พวกเขากริ่งเกรง ในใจก็ยิ่งสัมผัสได้ว่าความหน้าด้านของป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นลึกล้ำปานใด!
“เป็นถึงคนฟ้า แต่กลับพึ่งผู้หญิง มีความสามารถตรงไหน!”
“เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้เป็นอย่างคำเล่าลือจริงๆ เจ้าเล่ห์เลวทราม หน้าหนาหน้าทนยิ่งนัก!!”
เผชิญกับสายตาของคนมากมาย ป๋ายเสี่ยวฉุนทำเสียงขึ้นจมูก ไม่ได้ยี่หระแม้แต่น้อย กลับลำพองใจเสียด้วยซ้ำ ครุ่นคิดว่ามีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่จะอวดดีไปมีเรื่องกับคนอื่น พาตัวเองไปให้โดนซ้อมเกือบตายทั้งๆ ที่รู้ดีว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้
ตู้หลิงเฟยมีสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย ใบหน้าของนางแดงก่ำ
มองค้อนป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งที กำลังจะเอ่ยปาก ทว่าเวลานี้เอง จู่ๆ ก็มีเสียงคำรามเดือดดาลดังมาจากท้องฟ้า
“ป๋ายเสี่ยวฉุน ปล่อยมือสกปรกของเจ้าออกซะ!!” ตามหลังประโยคนั้นก็คือเสียงสายฟ้าที่ฟาดผ่าดังเปรี้ยง เห็นเพียงว่าชายวัยกลางคนที่หน้าตาคมคายกำลังเดือดดาลเพราะความหึงหวง เขาถึงขั้นกลายร่างเป็นรุ้งยาวเส้นหนึ่งแล้วพุ่งดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน
ตบะของเขาคือคนฟ้าช่วงกลางขั้นสูงสุด ซึ่งเวลานี้ได้ระเบิดออกอย่างเต็มกำลังโดยไม่มีกั๊กไว้ ร่างที่พุ่งมาราวกับดาวตกที่จะทำลายล้างโลก พริบตาเดียวก็ขยับเข้ามาใกล้ป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็แปลกใจไม่น้อยที่จู่ๆ ชายหน้าตาหล่อเหลาคนนี้ก็ระเบิดอารมณ์โมโห แต่ไม่มีเวลามามัวคิดมาก รีบยกมือซ้ายขึ้นกำหมัดต่อยไปกลางอากาศที่ชายผู้นั้นกำลังทะยานเข้ามา
เสียงตูมกัมปนาทดังสะเทือนแผ่นดิน ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนถอยกรูดออกไปหลายก้าว ชายหนุ่มสง่างามที่พุ่งเข้ามาก็หน้าเปลี่ยนสี ถอยร่นไปข้างหลังเช่นกัน ขณะเดียวกันใบหน้าของตู้หลิงเฟยก็ฉายความดุดัน เอ่ยขึ้นทันควัน
“เฝิงเฉิน เจ้าคิดจะทำอะไร!”
“หลิงเฟย เจ้าสวะนี่มันกล้าลวนลามเจ้าต่อหน้าข้า วันนี้ข้าต้องฆ่ามันให้จงได้!”
บัดนี้ในดวงตาของชายวัยกลางคนหน้าตาหล่อเหลานามว่าเฝิงเฉินกำลังลุกโชนไปด้วยไฟโทสะ เขาชี้หน้าป๋ายเสี่ยวฉุน ปราณสังหารก็ยิ่งดุเดือดมากกว่าเดิม
ป๋ายเสี่ยวฉุนมีสีหน้ามึนงง หลังจากได้ยินคนผู้นี้เรียกขานตู้หลิงเฟย เขาก็กะพริบตาปริบๆ แล้วหันมามองตู้หลิงเฟย
“พวกเจ้ารู้จักกันรึ?”
ตู้หลิงเฟยกำลังจะอธิบาย
แต่เฝิงเฉินกลับสะบัดตัวอีกครั้งแล้วพุ่งเข้ามาหาป๋ายเสี่ยวฉุน คราวนี้ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นที่ลงมือ คนฟ้าคนอื่นๆ ที่พอดวงตาเปล่งประกายวาบก็พุ่งออกมา ลงมือใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างพร้อมเพรียงกัน
ความเร็วนั้นมีมากจนขยับเข้ามาใกล้ในชั่วพริบตา ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนชะงักค้าง เขาสัมผัสได้ถึงปราณสังหารที่คนเหล่านี้มีต่อตน อีกทั้งคนทั้งสี่ยังลงมือพร้อมกัน ปิดผนึกพื้นที่รอบด้านของเขา ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนมิอาจหลบเลี่ยง วิกฤตคับขันมาเยือน เขาก็พลันคำรามกร้าว ในร่างมีเสียงลั่นดังเปรี๊ยะๆ ร่ายใช้คาถาคนขุนเขาโดยตรง!
ชนาเขย่าภูเขาก็ถูกกระตุ้นพร้อมกัน ตามหลังมาด้วยผนึกมิวางวาย ท่ามกลางเสียงอึกทึกก้องกึงก็ยิ่งมีหมัดจักรพรรดิมิดับสูญห้าเท่าถูกเขาร่ายออกมาหมดโดยไม่มีกั๊กไว้
และไอความเย็นของฟ้าดินแห่งนี้ก็ยิ่งหนาวสะท้านขั้วหัวใจยิ่งกว่าเก่า ขณะที่แปดทิศเกริกก้องไปด้วยเสียงดังสนั่นหวั่นไหว หมัดสะท้านฟ้าสะเทือนดินนั้นก็ทำให้คนฟ้าทั้งสี่ของสายเหนือหน้าเปลี่ยนสี แต่กลับไม่ได้ถอยหนี เพียงลงมือต้านทานไว้อย่างสุดกำลัง
เสียงตูมตามดังไม่ขาดสาย ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนถอยกรูดไปข้างหลัง และเวลานี้เอง จู่ๆ แฝดอวิ๋นเหลยก็ขยับเข้ามาใกล้
คราวนี้มีคนฟ้าถึงหกคนร่วมมือกันกำราบป๋ายเสี่ยวฉุน อันดับแรกพวกเขาได้สยบปณิธานแห่งสวรรค์เอาไว้ เพื่อปิดผนึกไม่ให้ป๋ายเสี่ยวฉุนดูดซับพลังวิญญาณจากในฟ้าดินมาได้ ตัดฐานกำลังการร่ายใช้วิชาอภินิหารของเขา
เมื่อวิกฤตมาเยือน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ร้องคำราม เตรียมจะบีบเลือดคงกระพันหยดหนึ่งในร่างให้แตกออกได้ทุกเวลา เขาไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว ในเมื่อคนเหล่านี้รังแกกันมากขนาดนี้ เขาก็คงได้แต่ร่ายวิชาพิฆาตเทพที่อาจจะทำให้เขาบังคับตัวเองไม่ได้!
“พวกเจ้าทั้งสามสายจงถอยออกไปเดี๋ยวนี้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามดังลั่น กำลังจะร่ายใช้ท่าไม้ตายสุดท้าย และ นับตั้งแต่ที่สายเหนือลงมือจนมาถึงตอนนี้ ก็เป็นเวลาแค่ไม่กี่อึดใจเท่านั้น ตู้หลิงเฟยร้อนใจ รีบหันไปมองโลงผลึกใสแล้วตะโกนขึ้นเสียงดัง
“ศิษย์พี่โจว น้องหญิงพาคนมาเยือน ท่านให้การต้อนรับอย่างนี้น่ะหรือ! ในพื้นที่การประลอง ความเป็นความตายล้วนอยู่ที่ชะตาฟ้ากำหนด นี่คือกฎเกณฑ์ที่บิดาของข้ากำหนดเอาไว้ หรือว่าแม่น้ำสายเหนือของพวกท่านจะใช้พลังส่วนรวมมาแก้แค้นส่วนตัว!”
แทบจะวินาทีเดียวกับที่ตู้หลิงเฟยเอ่ยจบ ก็พลันมีเสียงหัวเราะดังออกมาจากในโลงผลึกใส เสียงหัวเราะนี้ดังก้องไปแปดทิศ ทำเอานภากาศเปลี่ยนสี ก่อนที่เงาร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งจะปรากฏกายอยู่ระหว่างฟ้าดินอย่างเงียบเชียบ เขายกมือขวาขึ้นโบกอย่างไม่ใส่ใจ ทว่ากลับมีแรงระเบิดปรากฏขึ้นตรงกลางพื้นที่การต่อสู้ระหว่างป๋ายเสี่ยวฉุนกับพวกคนฟ้าของสายเหนือ!
เสียงตูมดังสะเทือนเลือนลั่น วิชาอภินิหารทั้งหมดของคนฟ้าหกคนถูกกำราบไว้ ร่างก็ถูกพละกำลังอ่อนโยนขุมหนึ่งผลักให้ถอยห่างออกไป
ทว่าทางฝ่ายของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไม่เป็นเช่นนี้ วิชาอภินิหารของเขาถูกกำราบรุนแรง พลังที่ผลักเขาออกซึ่งดุเดือดมากกว่าก็ยิ่งมาระเบิดอยู่บนร่างของเขาโดยตรง
ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องอึกอักในลำคอก่อนกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ร่างโซเซถอยไปข้างหลัง ลมหายใจหอบหนัก เมื่อเงยหน้าขึ้นมองด้วยดวงตาแดงก่ำ เขาก็เห็นเงาร่างของชายหนุ่มที่อยู่บนท้องฟ้า คลื่นครึ่งเทพที่แผ่ออกมาจากร่างของอีกฝ่าย สั่นคลอนจิตวิญญาณของเขาอย่างรุนแรง
สีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเปลี่ยนมาเป็นมืดดำ การโจมตีเมื่อครู่นี้ หากไม่เพราะเรือนกายของเขาแข็งแกร่ง เกรงว่าตอนนี้เขาคงบาดเจ็บสาหัสไปแล้ว
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่บนท้องฟ้าปรายตามองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งทีก็ดึงสายตากลับ ก่อนจะหันมายิ้มให้ตู้หลิงเฟยแล้วเอ่ยเนิบนาบ
“ศิษย์น้องหญิง ทำไมถึงได้พูดจากับศิษย์พี่สี่เช่นนี้เล่า เอาเถอะๆ ข้าจะไม่คิดเล็กคิดน้อยก็แล้วกัน ใครก็ได้ จงเปิดค่ายกลนำส่งขนาดใหญ่ ส่งนักพรตของทั้งสามสายกลับคืนสู่สำนักตัวเอง!”
ชายหนุ่มโคลงศีรษะ เมื่อจบคำพูดของเขา ไม่นานก็มีผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าทำการเปิดค่ายกลนำส่งขนาดใหญ่ขึ้น เมื่อเสียงอึกทึกดังกึกก้อง พวกเชียนกุ่ยจื่อและหลิงเซียนซ่างเหรินที่พอหันมาคารวะชายหนุ่มอย่างนอบน้อมแล้วก็พานักพรตใต้บังคับบัญชาเดินเข้าไปในค่ายกลใหญ่ ครั้นจึงถูกนำส่งกลับไป
ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนก็สูดลมหายใจเข้าลึก ข่มกลั้นไฟโทสะเอาไว้ในใจ ครั้นจึงเดินนำพวกซ่งเชวียมุ่งหน้าไปยังค่ายกลใหญ่ท่ามกลางเสียงแขวะและเสียงหัวเราะหยันของนักพรตสายเหนือ รวมไปถึงสายตาที่ปกปิดไอสังหารไว้ไม่มิดของพวกคนฟ้าสายเหนือ
ทว่าเวลานี้เอง…จู่ๆ คลื่นพลังขุมหนึ่งที่แกร่งกร้าวยิ่งกว่าของชายหนุ่มครึ่งเทพก็พลันเยื้องกรายมาเยือนสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้า ชายหนุ่มที่ยืนอยู่กลางอากาศอึ้งตะลึง ตู้หลิงเฟยเองก็งงงัน พวกป๋ายเสี่ยวฉุนรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที
เมื่อมองไปทุกคนจึงค้นพบว่ามีอักขระขนาดใหญ่มหึมาตัวหนึ่งปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าแล้วเยื้องกรายลงมาจากฟ้า
ก่อนที่อักขระนี้จะแตกออกกลางอากาศ ตามมาด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยบารมีน่าเกรงขามซึ่งเกริกก้องเขย่าคลอนฟ้าดินไปแปดทิศ!
“แต่งตั้งป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นผู้พิทักษ์ ช่วยทูตแห่งทงเทียน ตู้หลิงเฟย…ลาดตระเวนตรวจสอบแม่น้ำสายเหนือ!”