บทที่ 956 บัญญัติสามประการ
นี่ก็คือโองการของเทียนจุน!
ยามนี้เมื่อโองการถูกป่าวประกาศ ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งงัน สายเหนือตะลึงค้าง พวกซ่งเชวียยืนทื่ออยู่กับที่ ตู้หลิงเฟยและชายหนุ่มครึ่งเทพคนนั้นก็มีท่าทางครุ่นคิด
รอบด้านเงียบสงัด ผ่านไปพักใหญ่ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่เพิ่งจะฟื้นตื่นจากความตื่นตะลึงก่อนหน้านี้ หน้าผากของเขาพลันมีเหงื่อผุดพราย เขารู้ว่าคนของสายเหนือตั้งแต่บนยันล่างล้วนชังน้ำหน้าตน เดิมทีนึกว่าตนสามารถกลับไปได้ ไม่นึกเลยว่าจะถูกรั้งตัวเอาไว้!
“คือว่า…ข้าไม่เหมาะสมหรอก พวกเรากลับสายตะวันออกกันเถอะ”
ป๋ายเสี่ยวฉุนใกล้จะร้องไห้เต็มแก่ รีบทะยานร่างหมายจะเข้าไปในค่ายกล
ทว่าเขาเพิ่งจะขยับตัว ชายหนุ่มครึ่งเทพที่อยู่กลางอากาศกลับแค่นเสียงเย็นหนึ่งทีแล้วยกมือขวาขึ้นชี้ ทันใดนั้นพลังแห่งการพันธนาการก็ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนมิอาจก้าวเท้าออกไปข้างหน้าได้
ป๋ายเสี่ยวฉุนเครียดขึง ได้แต่มองไปยังพวกซ่งเชวียตาปริบๆ ซึ่งแต่ละคนของสายตะวันออกที่พอแอบเหลือบมองป๋ายเสี่ยวฉุนแวบหนึ่งก็รีบพุ่งตัวเข้าไปยังค่ายกลเร็วจี๋ พริบตาเดียวทุกคนของสายตะวันออกก็ถูกค่ายกลนำส่งจากไป
ตอนนี้ในสำนักของแม่น้ำสายเหนือจึงมีแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนคนเดียวที่เป็นคนนอกสำนัก เขายืนโดดเดี่ยวอยู่ข้างค่ายกล รอบกายของเขามีแต่สายตาของนักพรตสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าที่หันมาจ้องเขม็ง
ยิ่งพวกคนฟ้าอย่างแฝดอวิ๋นเหลยก็ยิ่งยกยิ้มหยามหยันและสาสมใจมากกว่าเดิม ส่วนตัวตนของป๋ายเสี่ยวฉุน ที่หากได้รับการแต่งตั้งเป็นทูตก็ยังถือว่าดีหน่อย แต่นี่เขาถูกแต่งตั้งให้เป็นแค่ผู้พิทักษ์เท่านั้น ถ้าเช่นนั้นหากสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าจะจัดการกับเรื่องของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เท่ากับมีข้อได้เปรียบและเป็นฝ่ายกระทำได้อย่างเต็มที่
“คาดไม่ถึงว่า เจ้าจะต้องอยู่ต่อ ป๋ายเสี่ยวฉุน จงดื่มด่ำไปกับชีวิตที่ได้อยู่ในสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าซะเถอะ”
“ไม่ว่าตอนอยู่แม่น้ำสายตะวันออก เจ้าจะโอหังมากแค่ไหน แต่เมื่อมาอยู่แม่น้ำสายเหนือของพวกเรา…เจ้าก็ต้องก้มหัวให้พวกเรา!” พวกแฝดอวิ๋นเหลยเอ่ยเนิบช้า พวกเขาคิดมาเรียบร้อยแล้ว แม้การสังหารป๋ายเสี่ยวฉุนจะเป็นเรื่องที่มิอาจเป็นไปได้ แต่เมื่ออยู่ในบ้านของตน พวกเขาจึงเป็นฝ่ายได้เปรียบ และยิ่งมีวิธีการมากมายมาใช้ทรมานและสร้างความลำบากใจให้กับอีกฝ่าย
นักพรตสายเหนือที่อยู่รอบด้านก็พากันหัวเราะครืน สำหรับทุกคนแล้ว การที่สามารถเหยียดหยามคนฟ้าคนหนึ่งได้โดยที่ไม่มีผลร้ายใดๆ ตามมาเช่นนี้เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
นั่นเป็นเพราะตอนที่อยู่ในพื้นที่การประลอง
ป๋ายเสี่ยวฉุนได้สังหารเหลยหยวนจื่อ ทั้งยังผูกปมแค้นลึกล้ำกับแฝดอวิ๋นเหลย ทำให้คนตลอดทั้งแม่น้ำสายเหนือมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นปฏิปักษ์
ข้อนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็รู้ดี ตอนนี้จึงได้แต่โอดครวญอยู่ในใจ
“ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่นี่นา…”
ตู้หลิงเฟยยิ้มจืดเจื่อน นางเองก็คิดไม่ตกเหมือนกันว่าทำไมบิดาถึงต้องทำเช่นนี้ ในความเป็นจริงแล้วการที่นางมาแม่น้ำสายเหนือก็เพราะบิดามีคำสั่งให้ไปจัดการธุระ แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะถูกรั้งตัวให้อยู่ต่อ เรื่องนี้นางไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ทำได้เพียงส่งสายตาไปปลอบใจป๋ายเสี่ยวฉุน
และเวลานี้เอง เฝิงเฉินคนฟ้าของแม่น้ำสายเหนือที่พอมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาเย็นชาหนึ่งครั้ง เขาก็เดินออกมาหนึ่งก้าวแล้วหันไปคารวะชายหนุ่มครึ่งเทพกับตู้หลิงเฟยที่อยู่กลางอากาศคนละที เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดังกังวาน
“บุรพาจารย์ ในเมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้พิทักษ์ของทงเทียน จะอยู่ต่อในแม่น้ำสายเหนือของเราก็ย่อมได้ แต่ว่า…ดูจากความอันตรายของคนผู้นี้ ข้าแนะนำว่านับแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราควรจำกัดการเดินทางของเขา!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดจะเงยหน้าโต้กลับ ทว่าตอนนี้ถูกครึ่งเทพพันธนาการร่างเอาไว้จึงกระดุกกระดิกไม่ได้ ทั้งยังไม่สามารถเปิดปาก ทำได้แค่ด่ากราดอยู่ในใจ
“มีเหตุผล คนฟ้าต่างสำนักมาอยู่ที่นี่ ต่อให้มีตัวตนเป็นผู้พิทักษ์ ก็ไม่ควรปล่อยให้เขากำเริบเสิบสานไปทั่วสำนักของพวกเรา!”
“ถูกต้อง บุรพาจารย์ แค่มองก็รู้แล้วว่าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ใจคดคิดไม่ซื่อ ควรจะสร้างขีดจำกัดเอาไว้เป็นดี” คนฟ้าคนอื่นๆ โดยเฉพาะแฝดอวิ๋นเหลยรีบเออออเห็นด้วย
ป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนใจ ตู้หลิงเฟยเองก็ขมวดคิ้วมุ่น
เฝิงเฉินเห็นว่าถึงแม้บุรพาจารย์ครึ่งเทพจะไม่ได้ตอบรับ แต่กลับไม่ได้ตัดบทคำพูดของตน ในใจพลันกระจ่างแจ้ง จึงอมยิ้มน้อยๆ แล้วกุมมือประสานคารวะอีกครั้ง
“บุรพาจารย์ ข้ามีข้อเสนออย่างหนึ่ง นั่นคือเมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ในสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้า ก็ควรต้องสร้างบัญญัติสามประการขึ้นมา!”
“ข้อแรก เขาไม่มีสิทธิ์อยู่อาศัยในโลงศพสีดำ ได้แค่อยู่ในสำนักเมฆาเท่านั้น และไม่สามารถออกไปจากขอบเขตของสำนักเมฆาได้แม้แต่ครึ่งก้าว หากฝ่าฝืน…จะต้องถูกจับขังในคุกสายฟ้าของสำนักอสนี!!”
จบประโยคนี้ หัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง เลือดลมตีขึ้นหน้า คำสบถด่าในใจยิ่งดุเดือดรุนแรง
ส่วนเฝิงเฉินนั้นก็เห็นได้ชัดว่าเดาออกถึงความอัดอั้นตันใจของป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ เขาไม่เพียงแต่ไม่มองเมินป๋ายเสี่ยวฉุน กลับยังหันหน้ามาจ้องดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเขม็งพลางเอ่ยเสียงเรื่อยเฉื่อย
“ข้อที่สอง เขาไม่สามารถหลอมยาในแม่น้ำสายเหนือของพวกเรา วิถีโอสถของคนผู้นี้แปลกประหลาด สามารถทำลายสำนักต้นแม่น้ำแห่งหนึ่งได้เลย ดังนั้นจำเป็นต้องสร้างขีดจำกัดให้กับเขา หากเขาละเมิดกฎก็จะไม่ง่ายดายเฉกเช่นจับขังไว้ในคุกสายฟ้าอีกต่อไปแล้ว ข้าแนะนำว่าควรสังหารเขาทิ้งซะ!”
เมื่อจบคำพูดของเขาก็พลันมีปราณสังหารเหี้ยมโหดปกคลุมไปทั่วทั้งสี่ทิศ หัวใจป๋ายเสี่ยวฉุนเต้นกระหน่ำรัวแรง คับแค้นใจสุดขีด ครุ่นคิดว่าหลังจากที่ตนผ่านเหตุการณ์ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารามา ก็ไม่คิดจะหลอมยาอีกแล้ว…
“ส่วนข้อที่สาม…หึ พลังวิญญาณฟ้าดินของแม่น้ำสายเหนือเราถือเป็นของนักพรตสายเหนือเราเท่านั้น มีหรือจะปล่อยให้คนของที่อื่นมาดูดซับเอาไป ดังนั้นขอแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้ากล้าดูดดึงพลังวิญญาณของพวกเราไปแม้แต่คำเดียว ก็ต้องจับเขาขังไว้ในคุกสายฟ้า!”
บทบัญญัติสามประการนี้อำมหิตเกินประมาณ ทั้งยังบีบคั้นอย่างถึงที่สุด เมื่อดังออกมา นักพรตของแม่น้ำสายเหนือที่อยู่รอบด้านก็ยังรู้สึกว่าข้อห้ามทั้งสามนี้แทบจะปิดผนึกทุกหนทางของป๋ายเสี่ยวฉุน แฝดอวิ๋นเหลยเองก็อึ้งตะลึง หันไปมองเฝิงเฉิน แต่ในใจกลับเห็นดีเห็นงามด้วย
อีกทั้งคำพูดของเฝิงเฉินก็มีเหตุมีผล ทั้งยังทำราวกับว่าคิดพิจารณาเพื่อแม่น้ำสายเหนือ ต่อให้นี่จะเป็นกฎข้อห้ามสามข้อที่ไร้เหตุผลมากที่สุด แต่ก็ยังทำให้นักพรตทุกคนของแม่น้ำสายเหนือคิดว่าสมควรต้องเป็นเช่นนี้
คนของแม่น้ำสายเหนือ ดูดซับปราณวิญญาณฟ้าดินของแม่น้ำสายเหนือ เจ้าเป็นแค่คนฟ้าที่มาจากสายตะวันออก มาเยือนก็ยังพอทำเนา แต่มีสิทธิ์อะไรมาแย่งปราณวิญญาณของพวกเราไป!
ตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนคลุ้มคลั่งเต็มทีแล้ว ลมหายใจของเขาถี่กระชั้น ร่างของเขาที่ถูกพันธนาการสั่นเทิ้มไม่หยุด ดวงตาของเขามีเส้นเลือดฝอยปรากฏ ร้องคำรามอยู่ในใจนานแล้ว
“รังแกกันมากเกินไป รังแกกันมากเกินไปแล้ว!!”
แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ เขาไม่รู้ว่าตู้หลิงเฟยมีภารกิจอะไรที่แม่น้ำสายเหนือแห่งนี้ แต่กลับรู้ว่าที่เทียนจุนทำเช่นนี้ต้องเป็นเพราะคิดจะแก้แค้นเรื่องที่ตนตบหัวเขาตอนอยู่ในพื้นที่การประลองแน่นอน
บนใบหน้าของตู้หลิงเฟยเต็มไปด้วยปราณดุร้ายและความเดือดดาลที่ปิดไม่มิด นางจ้องมองเฝิงเฉินด้วยสายตาเย็นยะเยียบพลางเอ่ยเสียงเรียบ
“เหลวไหลเกินไปแล้ว เขามีฐานะเป็นถึงผู้พิทักษ์แห่งทงเทียน แต่กลับถูกห้ามด้วยบทบัญญัติสามประการนี้ ช่างน่าขันยิ่งนัก!”
เฝิงเฉินลังเลไปครู่ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ทว่าชายหนุ่มครึ่งเทพที่อยู่กลางอากาศกลับหัวเราะออกมา
“แต่ข้ารู้สึกว่าไม่เลว งั้นเอาตามนี้ก็แล้วกัน”
“ศิษย์พี่สี่ ท่าน…” ตู้หลิงเฟยร้อนใจขึ้นมาครามครัน
“ศิษย์น้องหญิง ข้าไม่รู้ว่าระหว่างเจ้ากับป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้มีความสัมพันธ์ใดต่อกัน แต่มีข้อหนึ่งที่เจ้าสามารถวางใจได้ ในฐานะที่เขาเป็นผู้พิทักษ์ เว้นเสียแต่ว่าเขาสังหารลูกศิษย์ของสายเหนือเรา หาไม่แล้วเขาก็ไม่มีทางมาตายอยู่ที่นี่ นอกจากนี้มีข้อหนึ่งที่ข้าต้องขอเตือนเจ้าสักหน่อย…ที่นี่…คือแม่น้ำสายเหนือ” ชายหนุ่มครึ่งเทพอมยิ้ม หลังจากเอ่ยเนิบนาบจบ เขาก็หมุนตัวสะบัดกายหายเข้าไประหว่างฟ้าดิน
เมื่อเขาจากไป พันธนาการที่อยู่บนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็หายไปด้วย เขาพลันเงยหน้าขึ้น หอบหายใจฟืดฟาด ขณะเดียวกันก็มองเห็นการปกป้องจากตู้หลิงเฟย แล้วก็มองเห็นรอยยิ้มหยันของชายหนุ่มครึ่งเทพ ลึกๆ ในใจพลันมีความจนใจผุดขึ้นมา
“ช่างเถอะๆ ข้าจะยอมทนอยู่ที่นี่ไปสักช่วงเวลาหนึ่งก็แล้วกัน หวังว่าตู้ตู้น้อยจะลาดตระเวนเสร็จเร็วหน่อย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจยาวหนึ่งที
สีหน้าตู้หลิงเฟยเต็มไปด้วยความกังวลใจ นางรู้ดีว่าเพราะอาการบาดเจ็บของบิดา เพราะผลลัพธ์ที่ไม่น่ามองของการประลองครั้งนี้ เกรงว่าคนที่ไม่พอใจ คงไม่ได้มีเพียงแค่ครึ่งเทพของสายเหนือคนเดียวเท่านั้น…
และท่ามกลางผลลัพธ์ที่ไม่อาจแก้ไขนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่หน้าตาบูดบึ้งก็ถูก “ส่งตัว” ไปยังก้อนเมฆสีขาวที่อยู่บนฝ่ามือของรูปปั้นฝั่งซ้าย และที่นึกไม่ถึงเลยก็คือที่พักที่สำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าจัดเตรียมไว้ให้เขา กลับเป็นแค่บ้านพักของลูกศิษย์ชั้นฟ้าที่หนึ่งเท่านั้น
เรียบง่ายอย่างถึงที่สุด แถมรอบด้านยังเปลี่ยวร้าง พอป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นเข้าก็ถึงกับถอนหายใจยาวเหยียด ได้แต่เดินหน้านิ่วคิ้วขมวดเข้าไปข้างใน
เวลาล่วงผ่าน ไม่นานก็ผ่านไปแล้วหลายวัน ป๋ายเสี่ยวฉุนใกล้บ้าเต็มที เขาพบว่าไม่ว่าตนจะเดินไปทางไหนในสำนักเมฆาแห่งนี้ก็ล้วนมีคนคอยจับตามองอยู่ตลอดเวลา และเห็นได้ชัดว่านักพรตของแม่น้ำสายเหนือเหล่านั้นมีตบะอ่อนแอกว่าตน แค่ตนพ่นลมหายใจหนึ่งทีก็สามารถเอาชีวิตอีกฝ่ายได้ แต่อีกฝ่ายกลับใช้สายตาเยาะเย้ยมองตน ราวกับตนเป็นนักโทษชั้นเลว สำหรับเรื่องการล่วงเกินผู้แข็งแกร่งเพราะทำตามกฎเกณฑ์เช่นนี้ ในแม่น้ำสายเหนือมีให้เห็นแทบทุกที่
และหากตนเดินไปถึงริมขอบของสำนักเมฆาเมื่อไหร่ ก็จะต้องมีอำนาจจิตคนฟ้าเพ่งเล็งมาเมื่อนั้น
ราวกับว่าถ้าเขากล้าเดินออกไปแม้แต่ก้าวเดียว คนฟ้าก็จะเยื้องกรายมาจับเขาเข้าคุก
แม้แต่ฝึกตนเขาก็ยังทำไม่ได้ นั่นเป็นเพราะรอบกายเขามีคลื่นของการจับตามองโอบล้อมอยู่ตลอดเวลา หากเขาฝึกตนแล้วดูดซับเอาปราณวิญญาณฟ้าดินมาก็เท่ากับละเมิดกฎข้อสาม
ขีดจำกัดเช่นนี้เป็นสิ่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เคยสัมผัสมาก่อน ความอัดอั้นในใจเขาจึงใกล้ถึงจุดระเบิดเต็มที เขายังถึงขั้นรู้สึกเลยว่า ที่สายเหนือนี่คงเป็นสถานที่แห่งเดียวในชีวิตที่จะไม่เพียงทำให้เขาไม่รู้สึกผิดยามยาหลอมยา ทั้งยังหวังให้การหลอมยาของตัวเองเกิดเรื่องไม่คาดคิดหลายๆ อย่างด้วย…
“แต่ไอ้คนพวกนี้กลับ…บังคับไม่ให้ข้าหลอมยาเสียได้!!”