Skip to content

A Will Eternal 958

บทที่ 958 ข้าจะขายยา

ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนเปลี่ยนมาเป็นถี่กระชั้นรัวแรง ดวงตาเผยประกายแสงลุกเรือง

พอได้ยินเรื่องของโชควาสนาสองอย่างนี้ ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีภาพจินตนาการปรากฏขึ้นมาทันที ภาพนั้นเป็นภาพที่ในมือตนถือกระบี่ขนาดใหญ่ซึ่งจำแลงมาจากแผ่นดินของแม่น้ำสายเหนือ เพียงแค่วาดกระบี่หนึ่งที นักพรตจำนวนนับไม่ถ้วนที่มีตบะด้อยกว่าตนก็ล้วนเงยหน้าขึ้นมองด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเคารพกริ่งเกรงและกระตือรือร้นอย่างบ้าคลั่ง

นั่นช่างเป็นภาพของจุดสูงสุดแห่งชีวิตอย่างแท้จริง ป๋ายเสี่ยวฉุนเชื่อว่าตัวเองในเวลานั้นต้องเงยหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะร่า ก่อนจะสะบัดปลายแขนเสื้อเบาๆ เชิดคางขึ้น และพูดประโยคหนึ่งด้วยเสียงเรียบเรื่อยว่า…ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนแค่สะบัดชายแขนเสื้อ สรรพสิ่งในฟ้าดินก็สิ้นราบพนาสูร…

หลังจากนั้น ในสมองของเขาก็มีภาพเหตุการณ์ที่แปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง นั่นคือภาพที่พอตนกลายมาเป็นเจ้านายของสมบัติล้ำโลกแม่น้ำสายเหนือแห่งนี้แล้ว เท้าของเขาได้เหยียบอยู่บนร่างของแฝดอวิ๋นเหลย ชี้หน้าด่าเฝิงเฉินด้วยความเกรี้ยวกราด โดยที่ชายหนุ่มครึ่งเทพที่ยืนอยู่ข้างตนก็ได้แต่เอามือทั้งสองข้างสอดเข้าไปในชายแขนเสื้อ ก้มหน้าก้มตามองภาพเหตุการณ์เหล่านี้โดยไม่กล้าเอ่ยห้ามปราม…

ทั้งหมดนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนอดตื่นเต้นไม่ได้ สีหน้าของเขาฮึกเหิม แต่กลับลังเลไปพักหนึ่ง นั่นเป็นเพราะเขารู้สึกว่าเรื่องที่มีขนมเปี๊ยะหล่นลงมาจากสวรรค์ให้เขาเก็บเช่นนี้ หากไม่ถามให้ชัดเจน จะทำให้เขาวางใจได้ไม่เต็มที่ นอกจากนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนยังรู้สึกว่าเรื่องแบบนี้ จะปล่อยให้คนอื่นคิดว่าตนกระเหี้ยนกระหือรืออยากครอบครองไม่ได้ ควรต้องสำรวมสักหน่อยถึงจะถูก

ดังนั้นเขาจึงกระแอมเบาๆ หนึ่งที ส่งกระแสจิตสำนึกออกไปในสมอง

“เรื่องนี้น่ะ ข้าผู้แซ่ป๋าย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะพูดมาถึงตรงนี้ เสียงของทารกหญิงคนนั้นกลับดังขึ้นตัดบทของเขาเสียก่อน

“ข้าไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้นานนัก จำเป็นต้องหลับสนิทอีกพักใหญ่ถึงจะตื่นขึ้นมาได้อีกครั้ง…เมื่อข้าตื่นขึ้นมาในครั้งต่อไป ค่อยบอกข้าถึงการเลือกของเจ้าก็แล้วกัน…” กล่าวจบ เสียงของทารกหญิงก็ค่อยๆ แผ่วเบา และไม่นานก็จางหายไปดั่งที่เคยเป็น

“หา?” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง เอ่ยเรียกอีกฝ่ายอยู่ในสมองอีกหลายที แต่พอไม่ได้ยินเสียงตอบรับมาจากทารกหญิง เขาก็ยกมือเกาหัวแกรกๆ แน่ใจว่าทารกหญิงหลับสนิทไปอีกครั้งหนึ่งแล้ว

“หมดสติเร็วไปหน่อยไหม ข้ายังพูดไม่จบเลยนะ” ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนคันยิบๆ เพราะโชควาสนาที่ทารกหญิงพูดถึงก่อนหน้านี้ทำให้หัวใจเขาหวั่นไหวอย่างถึงที่สุด

แต่ตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้ ทารกหญิงผู้นี้อ่อนแอ คงได้แต่รอให้นางฟื้นตื่นขึ้นมาอีกครั้งถึงจะพูดคุยกันได้ต่อ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงถอนหายใจ ครุ่นคิดว่าทารกหญิงนี่ตั้งใจแกล้งเขาหรือเปล่านะ…

ขณะเดียวกันในสมองก็กำลังวิเคราะห์เรื่องนี้อย่างละเอียด ใคร่ครวญว่าครั้งหน้าที่อีกฝ่ายตื่นขึ้นมา ตนควรจะเอ่ยปากเช่นไร

เมื่อมีเรื่องนี้มาให้คิดแก้เบื่อ ดังนั้นหลายวันต่อมา แม้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะยังคงมีท่าทางเหมือนคนเหม่อลอย ทว่าในความเป็นจริงในสมองของเขากลับกำลังวิเคราะห์ผลดีผลเสียของเรื่องนี้

ไม่นานเวลาก็ล่วงผ่านไปแล้วสิบวัน ป๋ายเสี่ยวฉุนรอแล้วรอเล่า แต่รอมาถึงตอนนี้ ทารกหญิงผู้นั้นก็ยังไม่ฟื้นตื่นเสียที นี่จึงทำให้ในใจเขาร้อนรนคันคะเยอไปหมดคล้ายมีมดมาไต่

ขณะเดียวกัน ในช่วงเวลาที่เขาอยู่ในสำนักเมฆาของแม่น้ำสายเหนือนี้ เขาก็ทำตัวสงบเสงี่ยมเป็นอย่างดี หนึ่งคือไม่เคยก้าวออกไปจากสำนักเมฆาแม้แต่ครึ่งก้าว สองไม่หลอมยา และสามไม่ได้ดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดิน

การที่เขาเก็บตัวอยู่อย่างเงียบเชียบเช่นนี้ทำให้คนของสายเหนือที่ต่อให้จะชังน้ำหน้าเขาแค่ไหน แต่ก็ยังหาจุดเล่นงานเขาไม่ได้ ทว่าการจับตามองเขาก็ไม่เคยลดน้อยลงเช่นกัน

คนฟ้าหกคนของแม่น้ำสายเหนือล้วนคอยเพ่งเล็งมาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นระยะ และยังมีลูกศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่บนสำนักเมฆาซึ่งต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ บางครั้งก็หัวเราะหยามหยัน คอยหันมามองจุดที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพักอยู่ตลอดเวลา

“ต่อให้อยู่ข้างนอกเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้จะผยองแค่ไหน แต่พอมาอยู่แม่น้ำสายเหนือของเราก็ต้องก้มหัวให้! ความรู้สึกที่ได้รังแกคนฟ้านี่ไม่เลวเลยจริงๆ”

“คนฟ้าแล้วอย่างไร เมื่อมาอยู่ในแม่น้ำสายเหนือของเราก็ต้องถูกจำกัดทุกการกระทำอยู่ดี! พวกเจ้าไม่ได้เห็นท่าทางหงอยเหงาของป๋ายเสี่ยวฉุนนั่น ทำเอาข้าขำกลิ้งเลยล่ะ”

“ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ ก่อนหน้านั้นข้าก็เคยได้ยินมาก่อน ต่างก็บอกว่าบนร่างของเขามีพลังแห่งหายนะ ไม่ว่าไปอยู่ที่ไหนก็ล้วนทำให้ที่นั่นเผชิญกับความฉิบหายวายป่วง ไอ้ข้าก็นึกว่าเขาจะมีสามเศียรหกกรหรือมีจุดที่ไม่ธรรมดาตรงไหน ตอนนี้ดูๆ ไปแล้วก็งั้นๆ แหละ!”

นับตั้งแต่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมาอยู่แม่น้ำสายเหนือ คำพูดทำนองนี้ก็มีให้ได้ยินไม่ขาดสาย เขาถูกคนหยิบยกมาวิจารณ์อย่างต่อเนื่อง ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่อยากจะฟัง แต่พอเขากวาดอำนาจจิตคนฟ้าออกไป คำพูดเหล่านี้กลับไหลบ่ามาเข้าหูเขาไม่หยุดหย่อน

“เกินไปแล้ว ข้าอยู่อย่างเจียมตัวขนาดนี้แล้วกลับยังมาพูดจาเยาะเย้ยข้ากันอยู่ได้!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งฟังก็ยิ่งโมโห บวกกับที่ทารกหญิงยังไม่ตื่นเสียที เขาจึงรู้สึกว่าการอยู่ในแม่น้ำสายเหนือแห่งนี้ หนึ่งวันช่างยาวนานราวกับหนึ่งปี

“ไม่ได้นะ อยู่ที่นี่ไม่มีอิสระก็ยังพอทำเนา แต่ข้าก็ต้องฝึกตนนี่นา” ก่อนหน้านี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองจะชอบการฝึกตนขนาดนี้ แต่พอมาถูกกักตัวไว้ในแม่น้ำสายเหนือ จึงทำให้เขาคิดถึงการฝึกตนอย่างยิ่งยวด

นั่นเป็นเพราะทุกครั้งที่เขาปิดด่านฝึกตนจะเหมือนการนอนหลับหนึ่งครั้ง เวลาผ่านพ้นไปไวมากเป็นพิเศษ

“เลือดคงกระพันจำเป็นต้องใช้พลังชีวิต ที่นี่ก็ไม่มีทรัพยากร แถมยังเอาโครงกระดูกสีทองออกมาไม่ได้ด้วย…และการฝึกคาถาสุริยันจันทราฟ้าไพศาลก็จำเป็นต้องใช้พลังวิญญาณฟ้าดิน ทว่าคนของแม่น้ำสายเหนือนี่ดันไม่อนุญาตให้ข้าดูดซับมัน…”

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกร้อนรุ่มในใจ แต่กลับอับจนปัญญา เขารู้สึกว่านี่คือวงโคจรปิดตายอย่างหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถฝ่าทำลายมันออกไปได้ ไม่นานดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มแดงก่ำ ลมหายใจของเขาหอบรัว ความคิดในสมองหมุนวนเร็วจี๋ ครุ่นคิดไม่หยุดว่าภายใต้สถานการณ์ที่ไม่สามารถละเมิดบทบัญญัติสามประการนี้ ควรจะทำให้อย่างให้ตัวเองยังคงฝึกตนได้ต่อ

หลายวันต่อมา จู่ๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่เส้นผมพันกันยุ่งเหยิงก็พลันเงยหน้าขึ้น แม้ว่าในดวงตาจะเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย ทว่ากลับเผยประกายแห่งความตื่นเต้น ตบขาตัวเองฉาดใหญ่แล้วหัวเราะร่า

“ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนนี่ช่างเป็นอัจฉริยะจริงๆ!!”

“ฮ่าๆ ไม่ให้ข้าออกไปจากสำนักเมฆา ข้าก็ไม่ออกไป ไม่ให้ข้าดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดิน ข้าไม่ดูดเอามาก็ได้ หึหึ ไม่ให้ข้าหลอมยา ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่หลอมมันแล้ว แต่ข้าขายยาก็คงได้อยู่หรอกกระมัง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกฮึกเหิมไม่น้อย นี่คือวิธีการที่เขาคิดขึ้นมาได้ จึงเตรียมจะเอายาไปขาย หวังแลกมาด้วยหินวิเศษ

เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็จะสามารถใช้หินวิเศษมาฝึกคาถาสุริยันจันทราฟ้าไพศาล ส่วนความเร็วในการฝึกตน ก็ต้องดูว่าเขาแลกหินวิเศษมาได้มากน้อยแค่ไหน

“ยาธรรมดาคงขายไม่ดี แต่ว่ามียาอยู่สองชนิดที่ต้องขายได้แน่นอน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าตื่นเต้น ครั้นจึงตบถุงเก็บของแล้วหยิบขวดยาออกมาสองขวด

มองยาสองขวดที่อยู่ตรงหน้า หัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันเร่าร้อน เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

“ยากระสันซ่าน ทุกคนต่างก็ต้องการ!”

“ยาประสาทหลอน แค่กินไปหนึ่งเม็ด รับรองว่าติดงอมแงมแน่!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนทอดถอนใจด้วยความปลงอนิจจัง

ครุ่นคิดว่ายังดีที่ตอนอยู่สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราได้หลอมยาเอาไว้ไม่น้อย จำนวนของยาสองชนิดนี้จึงมีเก็บไว้มากพอ หาไม่แล้ว เมื่อต้องมาถูกกักตัวอย่างเข้มงวดอยู่ในแม่น้ำสายเหนือแห่งนี้ เขาคงไม่มีทางออกจริงๆ

ส่วนจะไปขายอย่างไร ป๋ายเสี่ยวฉุนก็คิดไว้แล้ว จะขายแค่ยาสองอย่างนี้ไม่ได้ ยังต้องเพิ่มวัตถุอย่างอื่นเข้าไปขายพร้อมกันด้วยถึงจะได้ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มลังเลอีกครั้ง แต่พอนึกถึงวิธีการเกินเลยที่พวกคนของสายเหนือกระทำ คำเย้ยหยันที่ลูกศิษย์พวกนั้นมีต่อตน รวมไปถึงแค้นเลือดระหว่างสำนักหันเหมินและสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้า ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กัดฟันกรอด!

“พวกเจ้าบีบบังคับข้าเองนะ!” เขาพลันพุ่งพรวดออกไปจากที่พัก

เพิ่งจะเดินออกมาก็ถูกสายตาของนักพรตสายเหนือทุกคนหันมาเพ่งเล็งทันที สายตาเหล่านั้นมากด้วยความดูแคลน รอยยิ้มหยันก็มีไม่น้อย ก็เป็นดั่งที่พวกเขาว่าไว้ โอกาสที่ได้รังแกคนฟ้าเช่นนี้ นับว่าเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกสำหรับแม่น้ำสายเหนือ จึงทำให้พวกเขาสนุกสนานกันไม่น้อย

โดยเฉพาะเมื่ออยู่ภายใต้ท่าทีเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ของครึ่งเทพ ลูกศิษย์เหล่านี้ก็ย่อมไม่กลัวเกรง ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่สนใจ ตอนนี้เขากลับรู้สึกด้วยซ้ำว่ายิ่งมีคนให้ความรู้สึกสนใจมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีมากเท่านั้น

ดังนั้นจึงตั้งใจไปยังจุดที่มีคนรวมตัวกันเยอะ หลังจากดึงดูดความสนใจได้มากพอแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เดินอาดๆ ไปยังลานประลองที่วันปกติคนของสำนักเมฆาไปรวมตัวกันมากที่สุด

สถานที่แห่งนี้มีประตูใหญ่เก้าบานซึ่งเชื่อมโยงไปยังพื้นที่ลับเก้าแห่งของสำนักเมฆา มีไว้เพื่อให้ลูกศิษย์มาฝึกตน ก็เหมือนกับที่สำนักอันตมรรคาฟ้าดารา ในพื้นที่ลับทั้งเก้าแห่งนี้ต่างก็มีการจัดอันดับ ทำให้การแข่งขันกันระหว่างพวกลูกศิษย์ในสำนักดุเดือดมากขึ้น

เมื่อหาพื้นที่เหมาะๆ แห่งหนึ่งได้แล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนที่พกพาเอาความคาดหวังก็นั่งขัดสมาธิลงไป ปูผ้าขาวผืนหนึ่งไว้ด้านหน้า ครั้นจึงวางอาวุธอาคม ยาและพวกของกระจุกกระจิกอีกหลายอย่างที่อยู่ในถุงเก็บของของตัวเองลงไป แต่ในบรรดาของเหล่านั้นกลับไม่มียากระสันซ่านและยาหลอนประสาท

จากนั้นก็เริ่มรอให้มีลูกค้ามาถามไถ่

การกระทำเช่นนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนดึงดูดความสนใจจากลูกศิษย์แม่น้ำสายเหนือที่อยู่รอบด้านทันที พอทุกคนได้เห็นก็มีท่าทางอึ้งงันไปอย่างเห็นได้ชัด ทว่าหลังจากนั้นกลับมีคนไม่น้อยที่หัวเราะครืนขึ้นมา

“มาวางแผงขายของเลยหรือนี่? เป็นถึงคนฟ้าผู้ยิ่งใหญ่ แต่กลับมาวางแผงขายของ ฮ่าๆ”

“ดูท่าพวกเราคงบีบจนเขาร้อนใจเสียแล้ว ไม่สามารถจากไปได้ ไม่สามารถหลอมยาได้ ทั้งยังไม่สามารถฝึกตน ตอนนี้เขาก็เลยได้แต่มานั่งขายของ”

ไม่เพียงแต่พวกลูกศิษย์แม่น้ำสายเหนือที่พากันหัวเราะเย้ยหยัน แม้แต่พวกแฝดอวิ๋นเหลยที่อยู่ในโลงศพสีดำบนท้องฟ้าก็ยังกวาดอำนาจจิตลงมามอง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version