บทที่ 957 ลูกศิษย์คนแรกของเทียนจุน
“นี่จะยังให้ข้ามีชีวิตอยู่อีกไหม!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าเป็นเช่นนี้ ในใจก็มีความรู้สึกเหมือนตัวเองถูกขังอยู่ในพื้นที่ปิดตาย เคียดแค้นสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าแห่งนี้จนเกินคำบรรยาย
แต่เขากลับอับจนหนทาง คนฟ้าหกคนร่วมมือกัน เขาสู้ไม่ได้ แถมอีกฝ่ายยังมีบุรพาจารย์ครึ่งเทพคอยหนุนหลัง ทั้งหมดนี้จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้แต่อดทนข่มกลั้นเท่านั้น
“ข้าจะทน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนทึ้งผมตัวเองแรงๆ ชีวิตนี้เขายังไม่เคยรู้สึกย่ำแย่ขนาดนี้มาก่อน ยามนี้จึงได้แต่ถอนหายใจยาวเหยียด นั่งมองท้องฟ้าอยู่ตรงนั้น เหม่อลอยไปทั้งวัน
คาถาสุริยันจันทราฟ้าไพศาลไม่สามารถฝึกได้ เลือดคงกระพัน…ก็ไม่มีพลังชีวิตที่มากพอให้ใช้ฝึกฝน
ทุกวันนอกจากป๋ายเสี่ยวฉุนจะนั่งเหม่อแล้ว ก็คือนั่งเหม่อ…จนกระทั่งตู้หลิงเฟยมาหา เห็นสภาพของป๋ายเสี่ยวฉุนที่นั่งเหม่อผมเผ้ากระเซอะกระเซิง นางก็ให้รู้สึกสงสารยิ่งนัก
“เสี่ยวฉุน เจ้ารออีกหน่อยนะ อยู่ที่นี่ห้ามก่อเรื่องเด็ดขาด ครั้งนี้ข้าจะออกไปข้างนอกเพื่อทำภารกิจที่บิดามอบหมายให้สำเร็จ ข้าจะพยายามทำให้เสร็จโดยเร็วที่สุด จากนั้นพวกเราก็จะได้ไปจากที่นี่กัน” ตู้หลิงเฟยเอ่ยปลอบใจเบาๆ
ป๋ายเสี่ยวฉุนพยักหน้ารับด้วยท่าทางซึมกะทือ ไม่ได้สนใจตู้หลิงเฟย ยังคงนั่งเหม่อมองฟ้าต่อไป
ตู้หลิงเฟยถอนหายใจเบาๆ มองป๋ายเสี่ยวฉุนเงียบๆ อยู่นานถึงได้หมุนตัวจากไป แล้วจึงบินออกไปจากประตูของสำนัก
เวลาล่วงเลยไปอีกหลายวัน ป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงนั่งเหม่อ และไม่นานเมื่อพวกคนฟ้าของสายเหนือเริ่มสังเกตเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนทำตัวสงบเสงี่ยมว่าง่าย จึงพากันแค่นเสียงเย็น ทว่ากลับยังไม่เลิกจับตามองเขา
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เหม่อลอยไม่ได้เลย เพราะเขารู้สึกว่าเมื่อตนอยู่ในแม่น้ำสายเหนือแห่งนี้ หากไม่นั่งเหม่อ เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดีแล้ว เขายังถึงขั้นคอยเรียกหาเจ้าเต่าน้อยอยู่ตลอดเวลา แต่เจ้าเต่าน้อยกลับเงียบกริบไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง
ส่วนทารกหญิงที่อยู่ในโลงนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่กล้าหยิบออกมา เพราะเขารู้ว่าตัวเองถูกคนจับตามองทุกวัน จึงไม่สะดวกทำอะไรโจ่งแจ้ง
หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเหม่อลอยมาได้ครึ่งเดือน ยามสนธยาของวันนี้ก็มาถึง ป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งเหม่อลอยมองขอบฟ้าที่ถูกอาบย้อมไปด้วยสีแดงเข้มด้วยความเคยชินอยู่ตรงนั้น เขามองพระอาทิตย์ตกดิน และเตรียมรอดูพระจันทร์ที่กำลังจะลอยเด่นขึ้นมา
ทว่าเวลานี้เอง ทันใดนั้นในสมองของเขาก็มีเสียงถอนหายใจแผ่วเบาเสียงหนึ่งดังขึ้น!
ตามหลังเสียงถอนหายใจก็คือคลื่นเคลื่อนไหวที่แผ่ออกมาจากถุงเก็บของของป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง…
“กลิ่นอายของบ้าน…”
เมื่อประโยคนี้ดังออกมา ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันติดขัด แต่กลับฝืนข่มกลั้นให้ตัวเองมองดูเหมือนเหม่อลอยดั่งปกติ เพียงแต่ว่าในสมองกลับมีลูกคลื่นนับพันชั้นโถมตัวจู่โจม ในใจเริ่มตื่นเต้น
“เจ้ากำลังพูดอยู่หรือ เจินหลิง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบแผ่กระแสจิตของตัวเองออกไปจากสมองอย่างไม่มีลังเล
แต่รออยู่นานมากก็ยังไม่ได้ยินเสียงตอบรับ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ร้อนใจกำลังครุ่นคิดว่าควรจะเสี่ยงหยิบโลงออกมาดูสักหน่อยดีไหม ทว่าเวลานี้เอง ในสมองของเขากลับมีเสียงแผ่วเบาดังขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้าเอง…ขอบคุณเจ้ามากที่ทำให้ข้าสัมผัสได้ถึง…กลิ่นอายของบ้านอีกครั้ง…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนมีสีหน้าฮึกเหิม นั่นเป็นเพราะช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เขาเบื่อหน่ายอย่างถึงที่สุด ทว่าจู่ๆ กลับพบว่าทารกเจินหลิงฟื้นตื่นขึ้นแล้ว ในใจของเขาจึงเอ่อท้นไปด้วยความตื่นเต้น รีบส่งกระแสจิตออกไปทันที
“ไม่มียาร้อยชั่วลมหายใจ เจ้าก็ฟื้นตื่นขึ้นมาได้งั้นหรือ?”
“ที่ฟื้นตื่นหาใช่ร่างกายของข้าไม่ แต่เป็นจิตสำนึกของข้า…สายเหนือ เคยเป็นบ้านของข้า ปราณของที่แห่งนี้มีประโยชน์ต่อข้าอย่างมาก…หากผ่านการสั่งสมที่ยาวนาน มันจะมีประสิทธิภาพที่เอามาแทนที่ยาร้อยชั่วลมหายใจได้หนึ่งเม็ด…”
“แต่ว่า จิตสำนึกของข้าก็ไม่สามารถฟื้นตื่นได้นานนัก…” เสียงของทารกหญิงดังสะท้อนอยู่ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนแบบขาดๆ หายๆ
“ปราณของบ้าน? ข้าเคยได้ยินบุรพาจารย์ธาราเทพเล่าว่า สำนักธาราเทพเคยเป็นสำนักต้นแม่น้ำของสายเหนือ…ชื่อว่าสำนักหันเหมิน” ป๋ายเสี่ยวฉุนกลัวว่าอีกฝ่ายจะหลับไปอีกรอบเลยรีบหาเรื่องมาชวนคุย
“หันเหมิน…” เหมือนทารกหญิงจะหัวเราะ เพียงแต่ในเสียงหัวเราะนั้นมีความขมขื่น และยิ่งมากด้วยการทวนความทรงจำ
“ใช่แล้ว หันเหมิน…ข้าในอดีต ในฐานะที่เป็นลูกศิษย์คนแรกของเทียนจุน เคยยกทัพปราบปรามราชวงศ์จักรพรรดิขุย สังหารราชาสวรรค์ไปมากมายเพื่อเขา จนกระทั่งขับไล่ราชวงศ์จักรพรรดิขุยออกไปจากแม่น้ำทงเทียนได้สำเร็จ…หลังจากนั้น ข้าก็คอยเฝ้าพิทักษ์แม่น้ำทงเทียนเขตเหนือให้แก่เขา สร้างสำนักต้นแม่น้ำสายเหนืออย่าง…หันเหมินขึ้นมา!”
เดิมทีป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังเบื่อหน่าย เมื่อเห็นว่าทารกหญิงฟื้นตื่นจึงคิดจะพูดคุยกับอีกฝ่ายแก้เบื่อสักหน่อย อันที่จริงเขาไม่ได้คิดจะสืบเสาะเรื่องราวในอดีตด้วยซ้ำ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเพียงประโยคเดียวของเขา กลับทำให้ทารกหญิงพูดความลับออกมาราวสายฟ้าฟาดโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัวแบบนี้!
“หา?” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงงัน ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คาดไม่ถึงว่าทารกหญิงจะเป็นลูกศิษย์คนแรกของเทียนจุน นี่จึงทำให้หัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นรัวอย่างบ้าคลั่ง พอนึกไปถึงครึ่งเทพของสี่สำนักต้นน้ำที่ต่างก็เป็นลูกศิษย์ของเทียนจุน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกทันทีว่ามีความเป็นไปได้ถึงแปดเก้าส่วนว่าที่ทารกหญิงพูดมาจะเป็นความจริง
“แล้วเจ้า…” ป๋ายเสี่ยวฉุนลังเลไปครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็พูดไม่จบ
“เจ้าคงอยากจะถามใช่ไหมว่า ในเมื่อข้ามีตัวตนเช่นนี้ แล้วเหตุใดหันเหมินถึงถูกแทนที่ด้วยสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้า…”
“แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะ…ความต้องการของเทียนจุนอยู่แล้ว หาไม่แล้ว แม้ว่าตอนนั้นโจวเต้าอีจะเป็นครึ่งเทพ ทว่าคนอย่างเขาน่ะหรือ…จะมาเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง ลมหายใจหอบรัว นั่นเป็นเพราะข้อมูลที่ทารกหญิงบอกมาสร้างความตื่นตะลึงให้เขามากเกินไป เขาอยากรู้ว่าผู้แข็งแกร่งครึ่งเทพของสำนักหันเหมินผู้นี้ทำเรื่องอะไรไว้กันแน่ ถึงได้ทำให้เทียนจุนมองข้ามความสัมพันธ์ของอาจารย์และศิษย์จนสังหารนางทิ้ง และทั้งๆ ที่นางถูกสังหารแล้ว แต่เหตุใดถึงยังมีร่างทารกหญิงที่เป็นเหมือนเศษดวงวิญญาณเช่นนี้หลงเหลืออยู่!
ดูเหมือนว่าทารกหญิงจะมองความคิดของป๋ายเสี่ยวฉุนออก นางเงียบงันไปพักใหญ่ แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า
“เด็กน้อย ข้าจะมอบโชควาสนาค้ำฟ้าให้แก่เจ้า เจ้ากล้ารับมันไว้หรือไม่!”
“มีความเสี่ยงไหม?” ป๋ายเสี่ยวฉุนสองจิตสองใจจึงถามหยั่งเชิงไปก่อน
พอประโยคนี้ดังออกไป เสียงของทารกหญิงก็เงียบหายไปนานถึงครึ่งก้านธูป ก่อนที่น้ำเสียงซึ่งมีคลื่นแทรกของนางจะดังก้องอยู่ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุน
“ข้าสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าเหตุใดสำนักธาราเทพถึงได้มอบโลงศพของข้าไว้ให้แก่เจ้า…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนมีท่าทีกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ก่อนจะรีบอธิบาย
“เรื่องนี้…อาจเป็นเพราะว่าข้าเป็นคนทำอะไรมั่นคง เชื่อถือได้กระมัง ฮ่าๆ …” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะแห้งๆ ตบท้าย
“ปีนั้นเทียนจุนต้องการสังหารข้า แต่ข้าเองก็เตรียมการรับมือมานานแล้ว ดังนั้นแม้ตัวข้าจะตายไป ทว่ากลับแบ่งวิญญาณทิ้งเอาไว้…ช่วงชิงร่างของเจินหลิงมาได้ แล้วจึงลบปราณทั้งหมดทิ้งไป ทำให้เทียนจุนสัมผัสไม่ถึง” ทารกหญิงไม่ได้สนใจคำตอบของป๋ายเสี่ยวฉุน เพียงเอ่ยเสียงเรียบเฉยต่อไป
“และการเตรียมการของข้าในปีนั้น ก็ไม่ใช่แค่ร่างของเจินหลิงร่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีสมบัติล้ำโลกอีกชิ้นหนึ่ง!”
“น่าเสียดายที่ปีนั้นสมบัติล้ำโลกยังชุบหลอมไม่เสร็จสมบูรณ์แบบ หาไม่แล้ว ด้วยตบะของเทียนจุนในตอนนั้น ใครจะแพ้หรือชนะในศึกนั้นก็ยังมิอาจรู้แน่!”
“สมบัติล้ำโลก?” ป๋ายเสี่ยวฉุนอดไม่ไหวถามขึ้นมาอีกประโยค
“ใช้แผ่นดินทั้งหมดของแม่น้ำสายเหนือเป็นรากฐาน ชุบหลอมแผ่นดินของแม่น้ำสายเหนือจากจุดลึกของใต้ดินที่เป็นน้ำแข็ง สามารถพูดได้ว่าแผ่นดินที่กว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดของแม่น้ำสายเหนือก็คือเรือนกายของสมบัติชิ้นนี้…สมบัติประเภทนี้ข้าเรียกมันว่าสมบัติล้ำโลก เจ้าพอจะเข้าใจหรือไม่!” ทารกหญิงเอ่ยเนิบช้า เสียงนั้นแฝงไว้ด้วยความเผด็จการ ทั้งยังเปี่ยมล้นไปด้วยบารมีน่าเกรงขาม!
ลูกตาของป๋ายเสี่ยวฉุนแทบจะถลนออกมาจากเบ้า เกือบจะร้องอุทานเสียงหลงออกมาเสียแล้ว
“เอาแผ่นดินของแม่น้ำสายเหนือมาชุบหลอมเป็นสมบัติชิ้นหนึ่ง? นี่…สายเหนือกว้างใหญ่ขนาดนั้น…” ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งค้างไปอย่างสมบูรณ์แบบ เขารู้ว่าความกว้างขวางของแม่น้ำสายเหนือพอๆ กับแม่น้ำสายตะวันออก สามารถพูดได้ว่านี่คือแผ่นดินใหญ่ผืนหนึ่งเลยทีเดียว
แต่ตอนนี้ทารกหญิงดันมาพูดว่าปีนั้นนางคิดจะชุบหลอมแผ่นดินของสายเหนือให้เป็นสมบัติชิ้นหนึ่ง แม้ว่าจะยังทำไม่สำเร็จ แต่ก็เสร็จไปแล้วเกินครึ่ง…
สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว ต่อให้เขาจะเป็นถึงคนฟ้า แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าเรื่องนี้แทบไม่ต่างอะไรไปจากนิทานพันหนึ่งราตรีแม้แต่น้อย
“สวรรค์ ข้าก็แค่หาคนมาคุยเล่นแก้เบื่อ นึกไม่ถึงเลยว่าจะกลายเป็นสืบข่าวใหญ่ขนาดนี้ได้” ป่ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าในสมองมีเสียงดังอึงอล เพราะคำว่าสมบัติซึ่งก็คืออาวุธอาคมที่อีกฝ่ายพูดถึง ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเหลือเชื่อจนเขาต้องก้มหน้าลงมองแผ่นดินใหญ่อย่างห้ามไม่ได้
“ตอนนี้ข้าสามารถสัมผัสได้ว่าเมื่อผ่านเวลามานานหลายปี อาวุธอาคมชิ้นนี้…ได้ก่อตัวสำเร็จแล้ว”
“ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า จงทำให้ข้าและสมบัติอาคมชิ้นนี้ผสานรวมเข้าด้วยกันเป็นขั้นสุดท้าย ทำให้ข้ากลายเป็นวิญญาณวัตถุที่อยู่ในสมบัติชิ้นนั้น และข้ารับปากว่า สมบัติอาคมชิ้นนี้จะเป็นของเจ้า…จะรับเจ้าเป็นนาย!”
“เงื่อนไขของข้ามีเพียงข้อเดียว…สังหารเทียนจุนซะ!”
“สมบัติชิ้นนี้จะมีอานุภาพมากมหาศาลไร้ที่สิ้นสุด แค่เขย่าก็สามารถทำให้แม่น้ำสายเหนือแยกออกจากโลกทงเทียน ถอนตัวออกจากแผ่นดิน กลายมาเป็นกระบี่ใหญ่ที่เต็มไปด้วยความหนาวเย็นเล่มหนึ่ง!”
“และนักพรตทุกคน ทุกสิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้นมาในแผ่นดินแห่งนี้ซึ่งไม่ว่าจะดำรงอยู่มานานแค่ไหน พวกเขาจะไม่มีทางตาย แต่จะได้มีชีวิตอยู่ในโลกสมบัติอาคมใบนี้ เจ้าจะกลายเป็นนายของสมบัติชิ้นนี้ แล้วก็จะกลายเป็นเจ้านายของพวกเขา…ในทางอ้อม!”
“ขณะเดียวกัน…ท่ามกลางขั้นตอนการผสานรวมของข้ากับสมบัติแห่งโลกชิ้นนี้ ด้านในของโลกใบนั้นก็จะมีปราณวิญญาณฟ้าดินที่สั่งสมผ่านกาลเวลามายาวนานหลายปี…ซึ่งเจ้าสามารถดูดดึงมาฝึกตน ทำให้ตบะของเจ้า…ระเบิดถึงขีดสุดในช่วงเวลาสั้นๆ …การกลายมาเป็นครึ่งเทพ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป!”
“นี่ก็คือโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่สองอย่างซึ่งข้ามอบให้เจ้า…ถ้าเช่นนั้นตอนนี้เจ้าก็จงบอกข้าว่า โชควาสนาครั้งนี้ เจ้าจะกล้ารับหรือไม่!” น้ำเสียงของทารกหญิงเด็ดเดี่ยวทรงพลัง ราวกับว่านิสัยโดยแท้จริงของนางก็เป็นคนเด็ดขาดมากอยู่แล้ว!