บทที่ 959 บทบัญญัติสี่ประการ
อันที่จริงพวกเขาเองก็ไม่มีเวลาว่างมานั่งจับตามองป๋ายเสี่ยวฉุนทั้งวัน ในสายตาของพวกเขา เมื่ออยู่ภายใต้บทบัญญัติทั้งสามประการ ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะมีความสามารถพลิกฟ้าแค่ไหน ก็ยังจำเป็นต้องเก็บกลั้นเอาไว้เมื่ออยู่ในแม่น้ำสายเหนือแห่งนี้
เวลาล่วงผ่านไปอีกครึ่งเดือน ทุกเช้าป๋ายเสี่ยวฉุนจะต้องมาตั้งแผงขายของที่นี่ แม้ว่าเวลาครึ่งเดือนมานี้เขาแทบจะขายอะไรไม่ได้เลย แต่เขาก็ยังคงไปนั่งอยู่ที่นั่นด้วยความคึกคักมีชีวิตชีวา แนะนำอาวุธอาคมและยาให้กับลูกศิษย์สายเหนือทุกคนที่มาหยุดอยู่หน้าร้านด้วยความกระตือรือร้น
จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง เขาสังเกตได้ว่าไม่มีอำนาจจิตของคนฟ้ากวาดมามองที่ตน ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงพูดเบาๆ กับชายฉกรรจ์ร่างใหญ่คนหนึ่งที่กำลังพลิกขวดยาอยู่หน้าแผงตัวเอง
“น้องชาย ที่ข้ามียาพิเศษด้วยนะ เจ้าอยากจะดูสักหน่อยไหม?” ป๋ายเสี่ยวฉุนขยิบตา ชายฉกรรจ์คนนี้มาที่ร้านเขาสามครั้งแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนจับสังเกตอยู่นานจนแน่ใจว่าคนผู้นี้ไม่มีปัญหาถึงได้เอ่ยกับเขาเบาๆ
“ยาอะไร?” ชายฉกรรจ์ผู้นั้นมีท่าทางระแวดระวังแล้วยิ้มหยันขึ้นมาทันที
ป๋ายเสี่ยวฉุนโบกมือขวาหนึ่งครั้ง กลางฝ่ามือของเขาก็มียาหลอนประสาทเม็ดหนึ่งปรากฏขึ้นมา
พอยาหลอนประสาทเผยกาย ปราณพิเศษที่แผ่ออกมาจากเม็ดยาก็ทำเอาชายร่างใหญ่อึ้งงันไปครู่ ลมหายใจเปลี่ยนมาเป็นถี่กระชั้นน้อยๆ ดวงตาเปล่งประกายวาววับหนึ่งที ครั้นจึงคว้าเม็ดยาที่อยู่กลางมือป๋ายเสี่ยวฉุนไปโดยไม่คิดจะถามราคา หลังจากโยนหินวิเศษให้ป๋ายเสี่ยวฉุนก้อนหนึ่งก็หมุนตัวจากไปทันที
หินวิเศษก้อนหนึ่งเอามาซื้อยาหลอนประสาทหนึ่งเม็ด แค่ต้นทุนก็ยังไม่พอ เห็นได้ชัดว่าชายฉกรรจ์ผู้นี้คิดว่าป๋ายเสี่ยวฉุนถูกกำราบอยู่ในแม่น้ำสายเหนือ แค่เขามาซื้อก็ถือว่าไม่เลวแล้ว อันที่จริงคนที่คิดอย่างนี้ไม่ได้มีเพียงเขาเท่านั้น เพราะคนส่วนใหญ่ทั้งแม่น้ำสายเหนือก็แทบคิดไม่ต่างกัน
ป๋ายเสี่ยวฉุนเก็บหินวิเศษก้อนนั้นพร้อมยิ้มตาหยี ไม่ได้ถือสาอะไร ยังคงนั่งอยู่อย่างนั้นต่อไป และบางครั้งก็ร้องเรียกลูกค้า ขอแค่สบโอกาสที่ไม่มีใครสนใจ เขาก็จะเอายากระสันซ่านและยาหลอนประสาทออกมาขายให้กับลูกศิษย์ของสำนักสายเหนือที่เขาจับตามองแล้วแน่ใจว่าไม่มีปัญหา
“แม้ว่าคนของสายเหนือพวกนี้จะไม่เป็นมิตรกับข้า แต่ข้าก็ยังเป็นคนที่มีคุณธรรมอย่างมาก ยากระสันซ่านขายให้แต่ผู้หญิงไม่ขายให้กับผู้ชาย ยาหลอนประสาทขายให้แต่ผู้ชายไม่ขายให้กับผู้หญิง”
ป๋ายเสี่ยวฉุนทอดถอนใจด้วยความปลงตก เขารู้สึกว่าข้อเสียที่ร้ายแรงที่สุดของตนก็คือเป็นคนมีจิตใจเมตตาเกินไป
ขณะที่กำลังส่ายหัว เขาก็หันไปพูดเบาๆ กับนักพรตหญิงเบื้องหน้าที่ร่างกายหนาใหญ่ ใบหน้าเต็มไปด้วยก้อนเนื้อ
“เจ้ามีผู้ชายในดวงใจไหม ยากระสันซ่านเม็ดหนึ่งสามารถช่วยให้เจ้าสร้างบุพเพความรักที่งดงามได้…”
นักพรตหญิงที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเนื้อไขมันจ้องมองยากระสันซ่านในมือตัวเองด้วยสายตาสงสัย นิ้วมือหนาใหญ่ของนางทำท่าคล้ายจะบีบมันให้แตกออก
ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจจนรีบห้ามปรามเสียงเบา
“อย่ามาบีบที่นี่สิ ช่างเถอะ ไม่ขายเจ้าแล้ว…”
พอป๋ายเสี่ยวฉุนพูดอย่างนั้น นักพรตหญิงผู้นี้ก็รีบถอยกรูดแล้วโยนหินวิเศษถุงหนึ่งไปให้กับป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างว่องไว ครั้นจึงหมุนกายจากไปพร้อมแววฮึกเหิมในดวงตา…
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองตาค้างเล็กน้อย สองจิตสองใจอยู่ครู่ก็รับเอาหินวิเศษมา ก่อนจะเพิ่มยาตัดรักลงไปในบรรดายาที่ตัวเองเอาออกมาวางขาย เมื่อทำเช่นนี้ เวลาที่ขายเขาก็จะมียาตัวใหม่มาแนะนำเพิ่มเติม
“เคยได้ยินยากระสันซ่านของข้าใช่ไหม ไม่ต้องกลัว ที่ข้ามียาถอนพิษ ยาตัดรักเม็ดเดียว รับรองว่าเจ้าจะไม่ได้รับอิทธิพลจากยากระสันซ่านแม้แต่น้อย!”
“ข้าจะบอกเจ้าให้นะ…นักพรตหญิงที่แข็งแกร่งแทบทุกคนในสำนักเมฆาของพวกเจ้าล้วนมาซื้อยากระสันซ่านกันไปหมดแล้ว เจ้า…ระวังตัวด้วยก็แล้วกัน”
เมื่อขายยาออกไปได้สามเม็ด ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ระมัดระวังมากขึ้นกว่าเดิม เวลาที่เลือกคนซื้อก็จะต้องสังเกตการณ์อยู่นานมากถึงจะขายออกไป ดังนั้นยาสามชนิดจึงแพร่เข้าไปในสำนักเมฆาอย่างไม่โจ่งแจ้งมากนัก แต่ก็เรียกได้ว่าแทรกซึมเข้าไปอย่างเงียบเชียบ และไม่นาน…ก็เริ่มกระจายไปทั่วสำนักเมฆา
แทบจะทุกคนที่ซื้อยาหลอนประสาทไป หลายวันหลังจากนั้นพวกเขาจะพกพาเอาอาการเคลิบเคลิ้มและความตื่นเต้นอย่างที่ไม่อาจควบคุมมาหาซื้อยาหลอนประสาทจากป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง
และราคาก็จะสูงขึ้นในทุกๆ ครั้ง แต่ว่าทุกครั้งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนขายยาจะต้องเตือนอีกฝ่ายเสมอว่ายาพวกนี้มีผลข้างเคียง นี่ไม่ใช่เพราะเขาเป็นห่วงเป็นใยคนของแม่น้ำสายเหนือ แต่เป็นคุณธรรมของปรมาจารย์หลอมโอสถ
“ปัญหาจากการหลอมยาของข้ามักจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบโดยที่ข้าไม่รู้ตัว ทว่าตอนที่ข้าขายยาสำเร็จรูปออกไป ก็จำเป็นต้องบอกลูกค้าถึงเรื่องที่ต้องระวัง” ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นด้วยกับความคิดนี้ของตัวเองอย่างยิ่ง
แม้แต่ยากระสันซ่านเองก็ยังเป็นเช่นนี้ ขนาดยาตัดรักก็ยังพลอยขายดีไปด้วย ซึ่งตัวยาแต่ละชนิดได้เผยแพร่แทรกซึมเข้าไปในสำนักเมฆาอย่างเงียบเชียบ นั่นเป็นเพราะว่า…ยาสองชนิดนี้สร้างความดึงดูดให้กับเหล่านักพรตมากเกินไป
ยากระสันซ่านเกิดจากความต้องการทางสัญชาตญาณ ส่วนยาหลอนประสาทก็คือภาพฝันทางจิตใจ และยาตัดรักนั้นก็ไม่เพียงแต่ถอนพิษยากระสันซ่านได้ ทว่าหากว่ากันในบางระดับแล้ว มันก็ยังสามารถแก้อาการประสาทหลอน นี่จึงทำให้ยอดขายของยานี้สูงตามไปด้วย
นอกจากยาตัดรักแล้ว คนของสำนักเมฆาก็เริ่มรู้ที่มาของยาอีกสองชนิด แต่ทั้งๆ ที่รู้ดีว่ายาหลอนประสาทนั่นเหมือนยาพิษที่ไม่ใช่ยาดีอะไร แต่ก็ยังมีคนไม่น้อยที่หากไม่เป็นเพราะดึงดันไม่ยอมแพ้ ก็เป็นเพราะพอได้ลองแล้วเสพติดจนต้องแอบมาซื้อใหม่เรื่อยๆ
และยังมีปรมาจารย์วิถีโอสถอีกหลายคนของสำนักเมฆาที่พอสังเกตเห็นเรื่องนี้ก็ได้อาศัยช่องทางบางอย่างมาซื้อยาเหล่านั้นไปแล้วเริ่มทำการศึกษา หนึ่งในนั้นคือสุดยอดปรมาจารย์วิถีโอสถคนหนึ่งของสำนักเมฆาที่ชื่อว่าโอวหยางเต๋อ ในฐานะที่เป็นอาจารย์หลอมยาอันดับหนึ่งของสำนักเมฆา ความเข้าใจที่เขามีต่อยาหลอนประสาทและยากระสันซ่านจึงเหนือกว่าคนอื่นๆ
“ก่อนหน้านี้ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมาเยือนแม่น้ำสายเหนือของเรา ข้าก็อยากศึกษายาของคนผู้นี้ด้วยตัวเองแล้ว…ตอนนี้ก็คือโอกาสอันดี!” โอวหยางเต๋อหัวเราะเสียงหยัน มองยาหลอนประสาทเม็ดหนึ่งที่อยู่ในมือ
“ข้าอยากจะรู้นักว่ายาหลอนประสาทกระจอกๆ เม็ดนี้จะมีจุดที่น่าตะลึงตรงไหนบ้าง!” จากนั้นโอวหยางเต๋อผู้นี้ก็เริ่มศึกษายาของป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความมาดมั่น เพียงแต่ว่าเขาใช้ทุกความรู้ด้านโอสถทั้งหมดที่มีก็ยังมองเส้นสนกลในไม่ออก นี่จึงทำให้เขารู้สึกยอมไม่ได้
“คิดจะรู้หลักการของมัน ก็มีแต่ต้องทดลองด้วยตัวเองเท่านั้น!”
โอวหยางเต๋อนิ่งคิดอยู่นาน อาศัยความมั่นใจที่เขามีต่อวิถีโอสถ อาศัยที่ว่าในมือเขาเองก็มียาตัดรักอยู่เม็ดหนึ่ง หากท่าไม่ดีก็สามารถถอนพิษได้ ดังนั้นเขาจึงยัดยาหลอนประสาทเม็ดนั้นเข้าไปในปาก
วินาทีที่ยานี้หลอมละลาย ร่างทั้งร่างของโอวหยางเต๋อก็สั่นเทิ้มอย่างรุนแรง ก่อนที่เขาจะหลับตาลง ฉับพลันนั้นเขากลับรู้สึกเลื่อนลอย ยาตัดรักที่ถืออยู่ในมือร่วงหล่น กลิ้งหลุนๆ ไปอยู่บนพื้นโดยที่เขาไม่รู้ตัว…จนกระทั่งผ่านไปได้สามวัน ร่างของเขาชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ หลังจากที่ลืมตาขึ้นช้าๆ เขาก็เหมือนคนโง่ที่ยืนบื้ออยู่อย่างนั้นนิ่งนานกว่าจะพึมพำสี่คำออกมาจากปาก
“กลายเป็นเทพเซียน…”
คนที่เป็นอย่างโอวหยางเต๋อมีอยู่มากมายในสำนักเมฆา ซึ่งหลังจากที่ลูกศิษย์แทบทุกคนในสำนักเมฆากินยายาหลอนประสาทเข้าไป สัญชาตญาณของพวกเขาทำให้พวกเขาไม่ยินดีกินยาถอนพิษเพื่อละทิ้งความรู้สึกทางจิตวิญญาณที่งดงามและเหลวไหลเหล่านั้น
ไม่นานจำนวนยากระสันซ่านที่ถูกขายออกไปก็เริ่มเทียบกับยาหลอนประสาทไม่ได้ การปรากฏตัวของยาหลอนประสาทเหมือนพายุกระหน่ำที่เริ่มก่อตัวแล้วพัดผ่านไปในสำนักเมฆาอย่างรวดเร็ว
ลูกศิษย์จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จากที่แรกเริ่มยังมาแอบซื้อ ก็กลายเป็นว่ามาซื้อกันอย่างโจ่งแจ้ง ยิ่งโอวหยางเต๋อผู้นั้นที่พอได้สัมผัสกับประสิทธิภาพยาหลอนประสาทของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถึงกับมากว้านซื้อยาจากป๋ายเสี่ยวฉุนไปรวดเดียว แล้วเอาไปเก็บไว้อย่างดี
ส่วนผลเก็บเกี่ยวของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เพิ่มพูนมากขึ้นในทุกๆ วัน จำนวนหินวิเศษที่เขาได้รับมามีมากจนป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ยังตื่นเต้น ซึ่งมันทำให้เขาสามารถกลับไปฝึกคาถาสุริยันจันทราฟ้าไพศาลได้อีกครั้งหนึ่งแล้ว
แต่เขาเองก็รู้ดีว่า เรื่องนี้อาจปกปิดได้ชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น เกรงว่าอีกไม่นานเรื่องนี้ก็คงไปชักนำความสนใจจากพวกคนฟ้าของแม่น้ำสายเหนือ
และเรื่องจริงก็เป็นอย่างที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดเอาไว้ เพียงแต่ว่าช่วงเวลาที่เรื่องนี้ถูกเปิดโปงมาถึงเร็วกว่าที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคาดการณ์ไว้มากนัก นั่นเป็นเพราะการแพร่กระจายของยาหลอนประสาทนั้นเร็วเกินไป กินไปเม็ดเดียวก็ติดงอมแงม อีกทั้งตลอดทั้งขั้นตอนนี้ยังใช้เวลาแค่ครึ่งเดือนเท่านั้น ลูกศิษย์ของสำนักเมฆาเกินครึ่งต่างก็หลงใหลในยาหลอนประสาทกันอย่างสุดขีด
และพายุกระหน่ำก็ระเบิดปะทุขึ้นเพราะลูกศิษย์หลายคนที่ไม่ระวังตัวจึงเป็นเหตุให้เกิดเรื่องไม่คาดคิด พอคนเหล่านั้นกินยาหลอนประสาทเข้าไปก็ไม่สามารถควบคุมความเบิกบานและภาพจินตนาการในสมองของตัวเองได้ แล้วก็ไม่ได้เชื่อฟังที่ป๋ายเสี่ยวฉุนบอกว่าให้พวกเขากินยาแค่ในถ้ำของตัวเองเท่านั้น พวกเขาจึงออกมาข้างนอกแล้วก็ร้องคำรามอย่างบ้าคลั่งไปทั่วสำนักเมฆา
“บินไป บินไป บิน…ข้าคือนกยักษ์ตัวหนึ่ง…”
“ฮ่าๆ ฮ่าๆ ในที่สุดข้าก็กลายมาเป็นครึ่งเทพแล้ว!!”
“ตีข้าสิ รีบเข้ามาตีข้าสิ!!”
ภาพเหตุการณ์เหล่านี้ดึงดูดความสนใจจากเหล่าคนฟ้าได้ทันที เดิมทีนี่เป็นแค่เรื่องที่ลูกศิษย์ไม่กี่คนคลุ้มคลั่งเสียสติ ทว่าเมื่อคนฟ้าทำการตรวจสอบ สุดท้ายก็ค้นพบด้วยความตะลึงพรึงเพริดว่า เวลาสั้นๆ เพียงแค่ครึ่งเดือนกลับมีลูกศิษย์เกินครึ่งของสำนักเมฆาที่กินยาหลอนประสาทเข้าไป!
เรื่องนี้นำมาซึ่งความตื่นตะลึงและความครึกโครมอย่างหนัก ทำให้ไฟโทสะของคนฟ้าแม่น้ำสายเหนือพวยพุ่งเทียมฟ้าทันที!
พวกเขาจึงออกคำสั่งจัดยาหลอนประสาทอยู่ในประเภทยาต้องห้าม ไม่ว่าใครก็ตามที่ยังกินยาหลอนประสาทต่อจะถูกขับไล่ออกจากสำนัก พอคำสั่งนี้ป่าวประกาศออกมา ลูกศิษย์ของสำนักเมฆาก็พากันหวาดผวา แล้วก็ไม่รู้ว่าใครที่เป็นตัวตั้งตัวตี ถึงกับร่วมแรงร่วมใจกันไปเอาเรื่องป๋ายเสี่ยวฉุน
“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าไร้ยางอาย หลอกให้พวกเรากินยาหลอนประสาท!!”
“ถูกต้อง ทั้งหมดนี้ล้วนมีสาเหตุมาจากป๋ายเสี่ยวฉุน สมควรตายนัก เจ้าเอาหินวิเศษของข้าคืนมาเลยนะ!”
“เขาเป็นคนบอกให้ข้ากิน หากไม่เป็นเพราะเขา ข้าก็ไม่มีทางกินยาหลอนประสาทระยำนี่เด็ดขาด!” ทุกคนของสำนักเมฆาที่บ้างก็หวาดกลัว บ้างก็เสียดายหินวิเศษที่จ่ายไปในช่วงที่ผ่านมา ด้วยสาเหตุหลากหลายประการ ทำให้พวกเรารีบหันหัวหอกเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุนทันที
ยามนี้ทุกคนจึงพากันยกขบวนบุกเข้าไปประหัตประหารป๋ายเสี่ยวฉุน ส่วนพวกคนฟ้าของแม่น้ำสายเหนือก็ยิ่งเดือดดาล พวกแฝดอวิ๋นเหลย เฝิงเฉินถึงกับมาเยือนสำนักเมฆาด้วยตัวเอง
“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าละเมิดกฎ รนหาที่ตายหรืออย่างไร!!” เฝิงเฉินคำรามกร้าว
ท่ามกลางเสียงเอ็ดอึง ที่พักของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถูกวิชาอภินิหารของทุกคนทำลายจนพังย่อยยับ ป๋ายเสี่ยวฉุนวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนออกมา มองเห็นคนมากมายที่รายล้อม เขาก็โกรธขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน
“ข้าทำผิดกฎตรงไหน?”
“เฝิงเฉิน ไหนเจ้าลองบอกข้าสิ บัญญัติสามประการ ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนไปละเมิดข้อไหน?!”
“ข้าออกไปจากสำนักเมฆาสักครึ่งก้าวแล้วหรือไง? ข้าหลอมยาแล้วอย่างนั้นหรือ? ข้าไปดูดปราณวิญญาณฟ้าดินของแม่น้ำสายเหนือพวกเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ข้าทำผิดกฎข้อไหน มาๆๆ ไหนเจ้าลองบอกข้ามาสิ!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดอย่างมีเหตุมีผล น้ำเสียงแทบจะใกล้เคียงกับฟ้าคำรณ นั่นเป็นเพราะเขาอัดอั้นตันใจมานานเหลือเกินแล้ว ยามนี้เมื่อคว้าโอกาสได้จึงคำรามระบายมันออกมาเสียเลย
“เจ้า…” เฝิงเฉินชี้หน้าป๋ายเสี่ยวฉุน หมายจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับสะอึกอึ้งพูดไม่ออกไปเป็นนาน เพราะเป็นอย่างที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดจริง ในบทบัญญัติสามประการ ไม่มีข้อไหนที่ห้ามไม่ให้ป๋ายเสี่ยวฉุนขายยา…
แฝดอวิ๋นเหลยก็เต็มไปด้วยความคลั่งแค้นเช่นกัน ในใจมีไฟโทสะ แต่กลับระเบิดมันออกมาไม่ได้…
ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าคนฟ้าพวกนี้ถูกตัวเองตอกกลับจนหน้าหงาย สีหน้าเขาก็เปลี่ยนมาเป็นห้าวเหิม หันขวับไปมองพวกลูกศิษย์ของสำนักเมฆาที่มีท่าทางขุ่นเคือง
“แล้วยังมีพวกเจ้า ข้าถามพวกเจ้าหน่อย…ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนบีบบังคับให้พวกเจ้าซื้อยาหรือไง?”
“ข้าไม่ได้บอกผลข้างเคียงจากการใช้ยาให้พวกเจ้าฟังหรือ?”
“ข้าไม่ได้ขายยาถอนพิษให้กับพวกเจ้าหรือ?”
“ข้าไม่ได้เตือนพวกเจ้าหรือไงว่าเวลากินยาให้ระวังสถานที่ที่ตัวเองอยู่ด้วย?”
“พวกเจ้ารังแกข้าจนกลายเป็นความเคยชิน เลยลืมไปแล้วใช่ไหมว่าข้าป๋ายเสี่ยวฉุนก็คือคนฟ้าเหมือนกัน สายเหนือ พวกเจ้ารังแกกันมากเกินไปแล้ว!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนระบายความแค้นเคืองที่อัดอั้นอยู่ในใจตลอดหนึ่งเดือนเต็มออกมา เสียงนั้นแฝงไว้ด้วยปณิธานแห่งสวรรค์จึงเป็นดั่งทัณฑ์อสนีที่สะเทือนเลือนลั่นไปทั้งแผ่นฟ้าและปฐพี อีกทั้งบนท้องฟ้ายังมีใบหน้าใหญ่ยักษ์ของป๋ายเสี่ยวฉุนลอยขึ้นมา ทำเอาลูกศิษย์สายเหนือทุกคนที่ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนด่าใจสั่นรัว เงียบกริบพูดไม่ออกกันแม้แต่คำเดียว
ขณะที่สองฝ่ายคุมเชิงกันอยู่นี้เอง ทันใดนั้นในโลงผลึกใสบนท้องฟ้าก็มีเสียงเย็นชา แต่ไม่ยอมให้ปฏิเสธของชายหนุ่มครึ่งเทพดังออกมา!
“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ไม่ใช่บัญญัติสามประการแล้ว แต่เป็นบัญญัติสี่ประการ!”
“ไม่อนุญาตให้เจ้าขายสิ่งของใดๆ ในสายเหนือ หากละเมิดกฎ ถูกส่งเข้าคุกสายฟ้า!”