บทที่ 969 ข้าก็ทนพวกเจ้ามานานแล้วเหมือนกัน
“ป๋ายเสี่ยวฉุน ข้าทนเจ้ามานานมากแล้ว!” เฝิงเฉินคำราม กลายร่างเป็นสายฟ้าสีชาด ความเร็วนั้นมีมากจนแค่กะพริบตาก็มาโผล่อยู่ตรงหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน คลื่นตบะคนฟ้าช่วงกลางของเขาระเบิดตูมออกมา กลายเป็นแรงโจมตีทำลายล้างที่พุ่งเข้าใกล้หว่างคิ้วของป๋ายเสี่ยวฉุนในเสี้ยววินาที!
“เฝิงเฉิน ข้าก็ทนเจ้ามานานมากแล้วเหมือนกัน!!” ตอนที่หันขวับกลับมา
ป๋ายเสี่ยวฉุนก็คำรามใส่อีกฝ่ายเช่นกัน เขาอดทนมานานมากแล้วจริงๆ นับตั้งแต่ที่มาอยู่แม่น้ำสายเหนือแห่งนี้ก็ต้องอดทนข่มกลั้นมาโดยตลอด เดี๋ยวก็บทบัญญัติสามประการ สี่ประการ ห้าประการ…
พอทุกอย่างนี้สั่งสมนานวันเข้า ต่อให้นิสัยของป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่ชอบความรุนแรงหรือการเข่นฆ่าห้ำหั่น แต่สุดท้ายก็มาถึงจุดเดือดจนได้ นิสัยที่ถูกกล่อมเกลามาจากในแดนทุรกันดารจึงเผยออกมาอย่างที่มิอาจควบคุม
ยามนี้ในดวงตาของเขาจึงฉายประกายเหี้ยมเกรียม วินาทีที่เฝิงเฉินมาถึง เงาดวงจันทร์ในตาข้างซ้ายของเขาก็เปล่งแสง มือขวาของเขาพลันยกขึ้นโบกหนึ่งครั้ง นภากาศที่เดิมทีสดใส มาบัดนี้กลับมีเมฆทะมึนเคลื่อนมาปกคลุม พริบตาเดียวรอบด้านก็มืดครึ้ม
อีกทั้งท่ามกลางความมืดดำนี้ ดวงอาทิตย์บนท้องฟ้ายังถูกบดบัง ก่อนที่ดวงจันทร์กระจ่างดวงหนึ่งจะลอยสูงขึ้นบนนภากาศ ชั่วขณะที่ดวงจันทร์นี้เผยกาย จิตวิญญาณของทุกคนในแม่น้ำสายเหนือก็แกว่งไกวคล้ายถูกสยบ
เฝิงเฉินเองก็สูดหายใจดังเฮือก เขาสัมผัสได้ถึงวิกฤตอันตรายอันแรงกล้า จึงรีบถอยกรูดออกห่างด้วยความตะลึงพรึงเพริด ทว่าขณะเดียวกันกับที่เขาชักเท้าถอยหนีนั้นเอง ปากของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเปล่งคำสองคำออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ!
“จันทร์ตก!”
ขาดคำ ฟ้าดินก็เหมือนจะยิ่งดำทะมึนมากกว่าเดิม แปดทิศส่งเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น ทันใดนั้นบนสายฟ้าสีชาดที่แปลงมาจากร่างของเฝิงเฉินก็มีรอยประทับดวงจันทร์นาบลงมา ซึ่งตราประทับนี้เพิ่งจะจำแลงกายก็ดูดดึงเอาแสงจันทร์ที่อยู่รอบด้านมาด้วยตัวเอง เป็นเหตุให้แสงของตัวมันยิ่งเจิดจ้า
“ตูมๆๆ!”
เสียงอึกทึกอื้ออึงดังออกมาจากในร่างของเฝิงเฉิน สายฟ้าสีแดงที่เขาจำแลงออกมาพลันพังทลาย เผยให้เห็นเรือนกายที่อยู่ในสายฟ้า ซึ่งตอนนี้เงาดวงจันทร์ได้แทรกซึมเข้าไปในร่างของเขาแล้ว!
ทั้งยังขยายใหญ่อย่างต่อเนื่อง และยิ่งเงาดวงจันทร์แผ่ขยาย เฝิงเฉินก็จะยิ่งร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด เขาค้นพบด้วยว่าความหวาดผวาว่าที่ทำร้ายตนไม่ใช่แค่แสงจันทร์นี่เท่านั้น แต่ยังมีตบะของตนด้วย!!
ราวกับว่าประโยชน์ของเงาจันทร์นี้ก็คือแปลงพลังฟ้าดินทั้งหมดที่อยู่ในร่างตนให้กลายมาเป็นแสงจันทร์ และหากทำสำเร็จสมบูรณ์เมื่อไหร่ ก็เท่ากับว่าร่างและจิตวิญญาณของตนจะแหลกลาญไปหมด!
“นี่มันวิชาอภินิหารอะไรกัน!!”
ร่างของเฝิงเฉินเหมือนถูกภูเขาที่มองไม่เห็นกระแทกเข้าใส่จึงถอยร่นไปข้างหลังพร้อมเสียงอึกทึกไม่หยุด เมื่อเผชิญหน้ากับวิชาจันทร์ตกของป๋ายเสี่ยวฉุน เขากลับไม่มีเรี่ยวแรงใดให้ต้านทาน อีกทั้งวิชาอภินิหารนี้ยังเหมือนเปลี่ยนฟ้าผลัดดาวเดือนอย่างไรอย่างนั้น ไม่จำเป็นต้องสัมผัส เพียงแค่แสงจันทร์สาดส่องมาโดนก็ทำให้ตนบาดเจ็บสาหัสได้แล้ว
ก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นแค่ครึ่งเทพเท่านั้นที่จะพอมีวิชาทำนองนี้ได้
ทว่าตอนนี้กลับมาปรากฏอยู่ในมือของป๋ายเสี่ยวฉุน ร่างของเขาจึงพลันสั่นเทิ้มรุนแรง กระอักเลือดออกมาคำใหญ่ สีหน้าตื่นตะลึงนั้นแฝงไว้ด้วยความเหลือเชื่อ และยิ่งมากด้วยความหวาดกลัว
ทุกอย่างนี้พูดแล้วยาว ทว่าในความเป็นจริงแล้วนับตั้งแต่ที่เฝิงเฉินกลายร่างเป็นสายฟ้าสีแดง จนกระทั่งสายฟ้าแตกสลาย เขาถูกจู่โจมจนบาดเจ็บสาหัสล้วนเกิดขึ้นในเวลาเพียงชั่วกะพริบตา รวดเร็วฉับไวสุดประมาณ เป็นเหตุให้ทุกคนที่อยู่รอบด้านยังไม่ทันตั้งตัว เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของเฝิงเฉินก็ดังก้องไปแปดทิศแล้ว
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าคาถาสุริยันจันทราฟ้าไพศาลจะมีอานุภาพน่าครั่นคร้ามได้ถึงขนาดนี้ ยามนี้ดวงตาของเขาเป็นประกายวาบ มือขวาจึงทำมุทราแล้วชี้ไปอีกครั้ง!
การชี้ครั้งนี้ทำให้แสงจันทร์กระจ่างบนท้องฟ้ามืดดำสลัวรางลงไปเล็กน้อย และแสงจันทร์ทั้งหมดก็เหมือนจะถูกดูดเอาไป ครั้นจึงมาสาดสะท้อนลงบนร่างของเฝิงเฉินด้วยวิธีการบางอย่าง เป็นเหตุให้เค้าโครงดวงจันทร์บนร่างของเฝิงเฉินขยายปกคลุมไปทั่วร่างในชั่วพริบตา
เสียงร้องโหยหวนยิ่งชวนสังเวช วิกฤตคับขัน ร่างของเฝิงเฉินสั่นเทิ้มอย่างหนัก ไม่มีเวลาให้คิดพิจารณาอะไรมากนัก สำหรับเขาแล้วภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้านี้ประหนึ่งเคราะห์ตายครั้งใหญ่ อีกทั้งเคราะห์ครั้งนี้ยังมาเยือนกะทันหันเกินไป จนแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่กล้าเชื่อว่าด้วยตบะคนฟ้าช่วงกลางของตน ด้วยผลการต่อสู้ของศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่สั่งสมมาตลอดทางนับตั้งแต่ที่เขาเหยียบย่างเข้าสู่แม่น้ำสายฟ้า เมื่อมาอยู่ต่อหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน…แม้แต่วิชาอภินิหารวิชาเดียวเขาก็ยังไม่สามารถต้านทานได้เช่นนี้!
“ข้าไม่ยอม!!” เฝิงเฉินร้องคำราม นัยน์ตาฉายความบ้าคลั่ง ตอนนี้เรือนกายของเขาได้หายไปแล้วเป็นบริเวณกว้าง มีแสงจันทร์เป็นจุดๆ แผ่ออกมาจากเรือนกายที่จางหายไปของเขา คล้ายว่าจะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของแสงจันทร์นั้น
ไม่ได้นิ่งรอความตาย เฝิงเฉินที่ร้องคำรามแหบโหยยกมือขวาที่นิ้วทั้งห้าหายไป แม้แต่ฝ่ามือก็ยังสลายไปแล้วครึ่งหนึ่งตบลงไปบนหน้าผากของตัวเองอย่างแรง
เสียงตูมดังลั่น พริบตานั้นร่างของเขาก็แตกทลายด้วยตัวเอง คลื่นการระเบิดตัวเองของคนฟ้าพลันซัดครืนครั่นออกไปสี่ทิศ
อาศัยการระเบิดตัวเองนี้ วิญญาณต้นกำเนิดของเขาจึงเผ่นหนีไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว ทว่ายังไม่ทันรอให้เขาหายใจหายคอได้คล่อง เขากลับค้นพบด้วยความตะลึงพรึงเพริดว่าบนวิญญาณต้นกำเนิดของตน กลับ…มีรอยของพระจันทร์นั่นอยู่เหมือนกัน!!
“เป็นไปไม่ได้ นี่จะเป็นไปได้อย่างไร!!” เฝิงเฉินตะลึงลานถึงขีดสุด เขาร้องอุทานเสียงหลง น้ำเสียงนั้นทั้งสั่นเครือทั้งสิ้นหวัง สิ่งที่ผุดขึ้นมากลางใจของเขาตอนนี้ไม่ได้มีเพียงแค่วิกฤตอันตราย แต่ยังมีความตายด้วย!!
“นี่คืออาคมแห่งเต๋า!! เฝิงเฉินรีบเข้าไปหลบในโลงผลึกแก้วเร็วเข้า ป๋ายเสี่ยวฉุนหากเจ้ากล้าฆ่าคน สายเหนือของข้าไม่จบกับเจ้าง่ายๆ แน่!!”
แฝดอวิ๋นเหลยร้องคำรามอย่างร้อนใจขึ้นมาครามครัน ร่างสองร่างของเขาก็บินออกไปพร้อมกัน และขณะที่ก้าวเท้าออกไป ร่างก็พลันผสานรวมเป็นหนึ่งเดียว คลื่นตบะคนฟ้าช่วงท้ายพวยพุ่งขึ้นมาจากร่างของอวิ๋นเหลยจื่อที่ผสานรวมเป็นร่างเดียวทันที
ไม่เพียงเขาเท่านั้นที่ทำเช่นนี้ คนฟ้าอีกสามคนที่เหลือเองก็รู้ว่าเรื่องตอนนี้ใหญ่หลวงยิ่งนัก ทุกคนจึงแผ่ตบะออกเต็มกำลัง คนทั้งสี่กลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาวที่พุ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุนในชั่วพริบตา
เวลาเดียวกันนั้น เฝิงเฉินที่ตัวสั่นเทิ้มพอได้คำเตือนจากอวิ๋นเหลยจื่อก็ไม่สนใจอะไรอีกต่อไป ต่อให้ต้องเผาไหม้วิญญาณต้นกำเนิดก็ยังยอมเพื่อแลกมาด้วยความเร็วสุดขีด ขณะที่พวกอวิ๋นเหลยจื่อช่วยสกัดกั้นป๋ายเสี่ยวฉุนไว้ให้ ในที่สุดเขาก็ได้โอกาสพุ่งหายเข้าไปในโลงผลึกใส อาศัยถ้ำสถิตของครึ่งเทพมาตัดขาดการเชื่อมโยงกับจันทร์กระจ่างบนท้องฟ้า
นั่นถึงจะสกัดกั้นการแผ่ลุกลามของรอยดวงจันทร์ที่อยู่บนวิญญาณต้นกำเนิดของเขาได้ แต่ถึงกระนั้นวิญญาณต้นกำเนิดก็ยังถูกหลอมละลายไปเล็กน้อย ต่อให้ฟื้นตัวกลับมาได้อีกครั้ง ตบะของเขาก็มีแต่จะถดถอยไปตลอดกาล!
ในโลงผลึกแก้ว วิญญาณต้นกำเนิดของเฝิงเฉินตัวสั่นเทิ้ม เมื่อเห็นว่าในที่สุดตนก็พ้นวิกฤตมาได้ เขาก็พลันมีความรู้สึกเหมือนคนที่เพิ่งรอดพ้นจากประตูนรก และสำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นั้น ต่อให้เขาจะไม่อยากยอมรับแค่ไหน ลึกๆ ในใจก็ยังเกิดความหวาดกลัวแรงกล้าอย่างห้ามไม่ได้
“ตบะของเขาไม่ใช่คนฟ้าช่วงต้น เขา…เขาคือคนฟ้าช่วงกลาง!! แต่ต่อให้เป็นคนฟ้าช่วงกลาง เขาจะ…แข็งแกร่งปานนั้นได้อย่างไร!!”
บัดนี้ไม่เพียงแต่เฝิงเฉินเท่านั้นที่ตื่นตะลึง อวิ๋นเหลยจื่อและคนฟ้าอีกสามคนของสายเหนือก็ใจสั่นกันอย่างบ้าคลั่ง นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนักพรตสายเหนือรอบด้านที่พากันสูดลมหายใจดังเฮือก สายตาที่มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนเปี่ยมล้นไปด้วยความพรั่นพรึงและหวาดกลัว
“คุณพระช่วย ป๋ายเสี่ยวฉุน…เขา…ที่แท้เขาก็แข็งแกร่งถึงเพียงนี้!!”
“ก่อนหน้านี้ข้ายังเคยเย้ยหยันเขา ยังดูแคลนเขา ข้า…”
“ไม่ถูกสิ หากก่อนหน้านี้เขาแข็งแกร่งขนาดนี้ มีหรือจะยอมถูกกำราบง่ายๆ หรือว่า…หรือว่าช่วงเวลาที่เขาอยู่ในแม่น้ำสายเหนือของพวกเรา เขาฝ่าทะลุขั้น?”
ขณะที่รอบด้านเอ็ดอึงไปด้วยเสียงอุทานและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถอยกรูดไปข้างหลังอย่างว่องไว หลบเลี่ยงการร่วมมือกันของพวกอวิ๋นเหลยจื่อสี่คน ขณะที่ถอยหลังนี้ สีหน้าของเขาก็มืดทะมึนอย่างถึงที่สุด นัยน์ตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยแดงก่ำ
“สายเหนือ วันนี้พวกเรามาชำระความกันให้เรียบร้อย นายท่านป๋ายของพวกเจ้าเหลือจะทนแล้ว มาสิ มาสู้กันเลย!”
ในเมื่อลงมือไปแล้ว เขาก็พร้อมจะทุ่มสุดตัว เวลานี้ตบะทั้งร่างจึงระเบิดตูมตาม คลื่นคนฟ้าช่วงกลางพวยพุ่งขึ้นฟ้า ต่อให้ตอนนี้ท้องฟ้าจะค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพปกติ ไม่ใช่สีดำอีกต่อไป ทว่าใบหน้าของเขาที่อยู่บนนภากาศกลับแจ่มชัดยิ่งกว่าทุกที อีกทั้งพลานุภาพสยบฟ้าดินที่เข้มข้นก็ยังเยื้องกรายลงมาปกคลุมทั่วแปดทิศ
“คนฟ้าช่วงกลาง…บัดซบ เจ้าฝ่าทะลุขั้นแล้วจริงๆ หรือนี่!!” หลังจากที่อวิ๋นเหลยจื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างชัดเจน เขาก็เหมือนจะคลุ้มคลั่งไปทันใด
นั่นเป็นเพราะเขารู้สึกหมดสิ้นเรี่ยวแรงเมื่อต้องเผชิญหน้ากับป๋ายเสี่ยวฉุน ครานั้นที่เขาไล่ฆ่าป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ในพื้นที่การประลอง ตอนแรกอีกฝ่ายเอายาประหลาดมารับมือเขา ภายหลังยังเรียกตู้หลิงเฟยว่าเมีย ทุกอย่างนี้เป็นการลดทอนความได้เปรียบของอวิ๋นเหลยจื่อลงอย่างฮวบฮาบอยู่แล้ว มาถึงท้ายที่สุด เขาไม่เพียงแต่ไม่เหลือความได้เปรียบ กลับยิ่งกลายมาเป็นฝ่ายถูกกระทำ ซ้ำร้ายยังเคยถูกป๋ายเสี่ยวฉุนบีบคั้นอยู่พักใหญ่ เดิมทีเขานึกว่าเมื่อมาอยู่สายเหนือ อยู่ในสำนักของตน จะต้องทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเจอกับความทุกข์ทรมานได้แน่นอน แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่า ต่อให้ถูกกักบริเวณ ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ก็ยังขายยาได้ ต่อให้ถูกห้ามขายยา เขาก็ยังสามารถปลูกพืชหญ้า สุดท้ายครึ่งเทพยังจำต้องโยนอีกฝ่ายเข้าไปขังในคุกสายฟ้าโดยไม่สนใจว่าจะโดนตราหน้าว่าเป็นผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย
แต่…
“ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้มันยังเป็นคนอยู่ไหม จับเขาไปขัง เขาไม่เพียงแต่ทำให้คุกสายฟ้าพังทลาย ตบะของตัวเองยังดันฝ่าทะลุขั้นไปได้อีก การทะลุขั้นจากคนฟ้าช่วงต้นสู่คนฟ้าช่วงกลาง เรื่องยากขนาดนี้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น เขา…เขากลับยังสามารถฝ่าทะลุขั้นได้อีก!!”
อวิ๋นเหลยจื่อใกล้บ้าเต็มที คนฟ้าอีกสามคนก็เป็นเช่นเดียวกัน ความเดือดดาลของพวกเขาปะทุพลุ่งพล่าน แต่ขณะเดียวกันเมื่อหันไปเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยังกระโดดโลดเต้นได้อย่างมีชีวิตชีวา ในใจก็พลันรู้สึกจนปัญญาอย่างห้ามไม่ได้
“นี่มันเม่นตัวหนึ่งชัดๆ ไม่ว่าจะจับด้วยวิธีไหนก็ไม่ได้ผล…ทางที่ดีที่สุดก็คือรวมพลังกันสังหารโดยไม่ต้องสนใจว่าเขามีวิธีการที่แปลกประหลาดแค่ไหน!”
ดวงตาของอวิ๋นเหลยจื่อเปล่งแสงเหี้ยมเกรียม ร้องคำรามพลางกระโจนเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน คนฟ้าอีกสามคนก็มีความคิดทำนองเดียวกัน บัดนี้ร่างของพวกเขาจึงแผ่ปราณดุร้ายแล้วทะยานตัวออกไปพร้อมเสียงดังอึกทึก