บทที่ 968 ระเบิด!
ท่ามกลางเสียงเกริกก้อง เรือนกายที่ขยายใหญ่สี่สิบจั้งของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันพองขยายไปอีกครั้ง จนกระทั่งถึงห้าสิบจั้ง บรรพจารย์อวิ๋นเหลยแปรเปลี่ยนครั้งที่ห้าก็แปลงกายได้สำเร็จ!
ป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้แผ่ปราณน่าพรั่นพรึงออกมาจากทั่วร่าง เงาดวงจันทร์ในดวงตาข้างซ้ายของเขาเปล่งประกายระยับ ทำให้แม้เขาจะเปลี่ยนได้ถึงแค่ท่าที่ห้า ทว่าหากนับพลังการต่อสู้กันจริงๆ ต้องรวมพลังของการแปรเปลี่ยนอีกสามท่าเข้าไปด้วย นั่นก็เท่ากับว่า พลังการต่อสู้ของเขาเทียบเท่า…การแปรเปลี่ยนท่าที่แปด!
ต้องรู้ว่าครานั้นหลังจากอวิ๋นเหลยจื่อผสานร่างกันแล้วก็ยังได้แค่แปลงกายถึงท่าที่แปดเท่านั้น แต่กระนั้นพลังที่เขาระเบิดออกมาก็เหนือคนฟ้าช่วงท้าย ขยับเข้าไปใกล้คนฟ้าขั้นสมบูรณ์แบบมากทุกขณะแล้ว
แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนในตอนนี้กลับน่าตะลึงยิ่งกว่าอวิ๋นเหลยจื่อเข้าไปอีก!
ทว่าเขากลับไร้ซึ่งความยินดี มีเพียงความหวาดกลัว หลังจากผลักดันคาถาบรรพจารย์อวิ๋นเหลยแปรเปลี่ยนมาได้ถึงท่าที่ห้า ร่างกายเขาก็เดินมาถึงขีดสูงสุดของการดูดซับสายฟ้าสีดำนี่แล้ว ไม่สามารถดูดซับเอามาได้มากกว่านี้แม้เพียงครึ่งเสี้ยว
แต่สายฟ้าที่อยู่รอบกายกลับยังคงเดือดปะทุพลุ่งพล่าน
ซ้ำยังแล่นเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุนพร้อมเสียงเปรี้ยงปร้างไม่หยุด ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจจนรีบเผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว ความเร็วของเขามีมากกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่านัก เช่นเดียวกัน สายฟ้าที่อยู่รอบๆ ก็ยิ่งแผ่บริเวณเป็นวงกว้าง และไล่ตามเขามาด้วยจำนวนที่มากกว่าเดิม
ไม่ใช่หลายแสนเส้นอีกต่อไป แต่เป็นเกือบล้านเส้นแล้ว…
มองออกไป ภาพเหตุการณ์สะท้านฟ้าสะเทือนดินนี้ได้ทำให้บรรพบุรุษสายฟ้าที่ถอยหนีไปเสียไกลกลืนน้ำลายถี่จนลูกกระเดือกวิ่งขึ้นๆ ลงๆ ตาค้างไปอย่างสิ้นเชิง แม้แต่ร่างก็ยังสั่นเทิ้ม ไม่คิดถึงเรื่องที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยังติดค้างสายฟ้าห้าสิบเส้นอีกแล้ว เพียงรีบควบคุมกรงขังของตัวเองให้ถอยห่างไปอีกครั้ง
“อย่าเข้ามานะ…อย่าเข้ามาเชียว…ข้าผู้อาวุโสแก่แล้วกระดูกกระเดี้ยวไม่ดี รับไม่ไหวหรอก…คนหนุ่มสมัยนี้เล่นเก่งกันจริงๆ …” จิตวิญาณของบรรพบุรุษสายฟ้าสั่นรัว กำลังจะก้าวถอย ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนที่ร้องโหยหวนอยู่ในบ่อสายฟ้ากลับหันมาเห็นบรรพบุรุษสายฟ้าเข้าเสียก่อน
วินาทีที่สายตาของคนทั้งสองสบประสาน บรรพบุรุษสายฟ้าก็ร้องเสียงแหลมขึ้นมาเหมือนกัน ก่อนจะทุ่มพลังทั้งหมดที่มีพากรงขังหนีไปได้ในชั่วพริบตา
ป๋ายเสี่ยวฉุนมีสีหน้าเจ็บใจ แต่กลับไม่กล้าหยุด ได้แต่ห้อตะบึงอยู่ในเมฆดำนี้อย่างต่อเนื่อง พยายามจะออกห่างจากบ่อสายฟ้าที่เต็มไปด้วยสายฟ้าและแรงดึงดูดนี้ให้ได้ และตอนนี้สายฟ้าที่อยู่รอบกายเขาก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว…
ไม่นานป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตาแข็งค้าง เพราะเขารู้สึกได้ว่าขณะที่ตัวเองวิ่งเต็มเหยียด และสายฟ้ารอบด้านก็ยิ่งปั่นป่วนทุกขณะนี้ บ่อสายฟ้าเริ่มเกิดลางของความไม่มั่นคง…
“จะระเบิดแล้วรึ?!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเหมือนหนังหัวระเบิดตูม ปากแผดเสียงร้อง ร่างก็ร่ายความเร็วเต็มกำลังหนีหัวซุกหัวซุนอย่างบ้าคลั่งไปด้วย
ดวงตาของบรรพบุรุษสายฟ้าที่อยู่ห่างออกไปไกลแทบถลนออกมาจากเบ้า แม้เขาจะกังวลอยู่มาก ทว่าลมหายใจกลับหอบรัวด้วยความตื่นเต้น
“จะระเบิดแล้วรึ? ดีสิ ยิ่งวุ่นวายเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ไม่แน่ว่า…ข้าอาจฉวยโอกาสหนีไปได้!!”
ทุกอย่างนี้พูดแล้วยาว แต่ในความเป็นจริงกลับเกิดขึ้นในเวลาที่สั้นมาก
ตอนนี้เมฆดำทั้งผืนของโลกใบนอกยิ่งสั่นสะเทือนรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ อีกทั้งยังมองไม่เห็นสายฟ้าเส้นใดแลบวูบวาบอีกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือมีกลิ่นกายของความบ้าคลั่งพลุ่งพล่านขุมหนึ่งที่ทำให้ทุกคนไม่เป็นสุขซึ่งคล้ายว่ากำลังก่อตัวอยู่ในเมฆดำนี้อย่างรวดเร็ว
พวกอวิ๋นเหลยจื่อ เฝิงเฉิน คนฟ้าห้าท่านของแม่น้ำสายเหนือต่างพากันเยื้องกรายลงมาที่สำนักอสนี แต่ละคนที่พอเห็นการเปลี่ยนแปลงของเมฆดำก็หน้าเปลี่ยนสีไปอย่างสิ้นเชิง
พวกเขารีบแผ่อำนาจจิตออกไปผสานรวมกับเมฆดำ ทว่าคุกสายฟ้านี้ไม่ธรรมดา อำนาจจิตของพวกเขามิอาจเข้าไปได้ไกลนักจึงมองไม่เห็นว่าด้านในเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่!!”
“สมควรตายนัก ต้องเป็นฝีมือป๋ายเสี่ยวฉุนอีกแน่นอน!!”
“เฝิงเฉิน ต้องโทษเจ้านั่นแหละ ตอนนั้นเจ้าไม่ควรตั้งบทบัญญัติสามประการอะไรนั่นให้เขาเลย!!”
“ยังมีอวิ๋นเหลยจื่ออีกคน เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้มันตัวหายนะชัดๆ เจ้าไปมีเรื่องกับเขาทำบ้าอะไร!!” พอร้อนใจมากเข้า คนฟ้าอีกสามคนของแม่น้ำสายเหนือก็อดหันมาตำหนิเอาเรื่องอวิ๋นเหลยจื่อและเฝิงเฉินไม่ได้
สีหน้าของอวิ๋นเหลยจื่อและเฝิงเฉินไม่น่ามอง แต่กลับไม่กล้าพูดอะไรออกมา และขณะที่ทุกคนกำลังกระวนกระวายกันอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีอำนาจจิตเส้นหนึ่งที่ทำให้คนทั้งห้าสะดุ้งตกใจพุ่งลงมาจากโลงผลึกใสบนท้องฟ้าแล้วไหลกรากเข้าไปในเมฆดำ ไม่นานในโลงผลึกใสก็มีเสียงคำรามเดือดดาลเขย่าคลอนฟ้าดินดังออกมา
“ป๋ายเสี่ยวฉุน!!”
วินาทีที่เสียงนี้ดังออกมา ร่างของครึ่งเทพสายเหนือก็โผล่พรวดอยู่กลางอากาศด้วยสีหน้าร้อนใจ พอมาถึงก็ยกมือขวาขึ้นโบกทันทีราวกับว่าแม้แต่เวลาพูดก็ยังไม่มี!
พายุลูกหนึ่งที่มาพร้อมเสียงครืนครั่นพลันหมุนคว้างไปทั่วสำนักอสนี หอบเอานักพรตทุกคนของสำนักอสนีออกห่างไปไกลในชั่วพริบตา
และวินาทีที่ครึ่งเทพสายเหนือทำทุกอย่างนี้เสร็จ เสียงกัมปนาทน่ากลัวเสียงหนึ่งที่แทบไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในสายเหนือก็พลันระเบิดออกมาจากในพื้นดินเมฆดำของสำนักอสนี แรงระเบิดสั่นสะเทือนไปทั้งชั้นฟ้า!!
ตูมๆๆ!
เสียงนี้ดังมากจนกระเทือนให้นักพรตจำนวนนับไม่ถ้วนกระอักเลือด ต่อให้เป็นพวกอวิ๋นเหลยจื่อก็ยังร่างสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง พวกเขารีบถอยกรูดออกห่างพลางหันไปมองพื้นดินเมฆดำด้วยความตะลึงพรึงเพริด
พื้นดินเมฆดำทั้งผืนระเบิดกระจาย สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดที่อยู่บนนั้นกลายเป็นเถ้าธุลีไปในเสี้ยววินาที สายฟ้าแต่ละเส้นพวยพุ่งจากเมฆดำทะยานขึ้นสู่นภากาศ มองไกลๆ ก็ราวกับมังกรสายฟ้าที่กำลังแหวกทะลุชั้นฟ้าขึ้นไป
ซ้ำยังมีแรงโจมตีน่าครั่นคร้ามขุมหนึ่งที่ซัดครืนครั่นออกไปรอบทิศ ทุกที่ที่ผ่าน ฟ้าดินถอดสี ลมกระโชกเมฆซัดหลุนๆ เสียงกัมปนาทนั้นดังสะก้องอยู่เนิ่นนาน และพื้นดินเมฆดำในตอนนี้ที่…กำลังพังทลาย ก็มีพื้นที่เกือบสี่ส่วนที่…แตกกระจายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
แม้แต่รูปปั้นเทพสงครามของสำนักอสนีที่อยู่ใต้เมฆสีดำก็ยังเกิดรอยปริร้าวหลายเส้น…มองไป สำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าในเวลานี้เหมือนถูกศัตรูบุกจู่โจม สำนักเมฆาเซื่องซึม นิ้วหัวแม่มือของรูปปั้นก็หายไป สำนักอสนียิ่งเสียหายหนัก ไม่เพียงแต่รูปปั้นเกิดรอยร้าวแผ่ลามไปทั่ว แม้แต่พื้นดินเมฆดำก็ยังหดเล็กลงไปไม่น้อย…
อวิ๋นเหลยจื่อยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น เฝิงเฉินมองตาค้าง คนฟ้าอีกสามคนก็ยืนบื้อ ต่อให้เป็นครึ่งเทพสายเหนือเองก็ยังสั่นเทิ้มไปทั้งร่างเพราะความโกรธ โมโหหนักจนเส้นผมแทบลุกตั้ง ในสมองมีเสียงอื้ออึงระเบิดไม่หยุด
นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนักพรตของสำนักอสนีที่ถูกหอบร่างพาหนีออกไปก่อนหน้านี้เลย เวลานี้แต่ละคนเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ มองสำนักอสนีที่ไม่คุ้นตาด้วยสีหน้าเลื่อนลอย ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป เป็นเหตุให้พวกเขายังไม่ทันคืนสติ
เมื่อเทียบกับสำนักอสนีแล้ว นักพรตของสำนักเมฆากลับพากันสูดหายใจดังเฮือกๆ ขณะเดียวกันก็รู้สึกโชคดียิ่งนัก…ดีนะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ถูกขังอยู่ในสำนักเมฆา…
พวกเขาพลันหวาดกลัวกริ่งเกรงต่อความสามารถในการสร้างความฉิบหายวอดวายของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างถึงที่สุดแล้ว!
“ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้…มีเรื่องด้วยไม่ได้เลย…”
“บุรพาจารย์ครึ่งเทพเลอะเลือนกันแล้วหรือไร อยู่ดีไม่ว่าดีกลับกักตัวเขาไว้ในสำนักเมฆา แต่ไอ้หมอนี่ก็ยังเอายาพิษมาขายให้นักพรตสำนักเมฆาของเราได้ แถมพอไม่ให้เขาขาย เขาก็ยังสามารถปลูกดอกไม้มาทำลายรากฐานของสำนักเมฆาเรา…”
“มาถึงท้ายที่สุด ขนาดเอาเขาไปขังไว้ในคุกสายฟ้าที่มีชื่อเสียงเลื่องลือว่าต่อให้เป็นครึ่งเทพก็ยังต้องทนรับความทรมาน ทว่าไอ้หมอนี่…ไอ้หมอนี่กลับทำให้คุกสายฟ้าระเบิดได้!! ทั้งยังทำให้แผ่นดินของสำนักอสนีหายไปถึงสี่ส่วน!!”
“สวรรค์ เขายังเป็นคนอยู่ไหม!! นักพรตของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารามีชีวิตรอดกันมาได้ยังไง!!”
“ไหนบอกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้จะน่ากลัวแค่ตอนหลอมยาอย่างไรล่ะ แต่นี่ขนาดเขาไม่ได้มาหลอมยาในสายเหนือของเรา เรายังมีสภาพแบบนี้…หากให้เขาหลอมยาอีก เขาคนเดียวก็ทำลายทั้งสายเหนือของเราได้เลยนะ!!”
ไม่นานเสียงฮือฮาก็ดังระงมเซ็งแซ่ เสียงอุทานที่แฝงไว้ด้วยความเหลือเชื่อดังอื้ออึงอยู่ในสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้า และเวลานี้เอง…มีคนสังเกตเห็นว่า บนพื้นดินเมฆดำที่หายไปสี่ส่วนนั้น มีเงาร่างหนึ่งที่สภาพกระเซอะกระเซิงสุดขีดกำลังค่อยๆ คลานออกมา…
ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าขาวเผือด หน้าผากมีเหงื่อไหลลงมาเป็นสาย เมื่อครู่นี้เขาเกือบจะโดนระเบิดตายไปแล้ว
“ต่อไปข้าจะไม่ดูดสายฟ้าอีกแล้ว อันตรายยิ่งนัก!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าบิดเบ้ เพิ่งจะคลานออกมาก็พลันได้ยินเสียงคำรามเกรี้ยวกราดเสียงหนึ่งที่มากพอจะทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือนดังมาจากเหนือศีรษะของตัวเอง
“ป๋ายเสี่ยวฉุน!!” เสียงคำรามเดือดดาลนี้มาจากครึ่งเทพของสายเหนือ
ยามนี้เขาโกรธจนสติหลุดไปแล้ว เสียงที่แผดออกมาจึงเกินอานุภาพสวรรค์ ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจสะดุ้งโหยง หน้าตาตื่นตระหนก และตอนนี้ครึ่งเทพสายเหนือก็เดินออกมาแล้วหนึ่งก้าว ดูจากท่าทางแล้วคงกำลังจะพุ่งมาเอาเรื่องป๋ายเสี่ยวฉุน ทว่าทันใดนั้น ครึ่งเทพสายเหนือกลับหน้าเปลี่ยนสี ก่อนจะรีบเปลี่ยนทิศทาง เมื่อเท้าของเขาเหยียบลงก็ไปปรากฏตัวอยู่ตรงพื้นที่ว่างเปล่าแห่งหนึ่งบนนภากาศที่ห่างไปไกล
“บรรพบุรุษสายฟ้า เจ้ากล้าหนีรึ!!” ระหว่างที่พูด ครึ่งเทพสายเหนือก็ยกมือขวาขึ้นกดลงไป พื้นที่นั้นจึงถล่มครืนลงมาในชั่วพริบตา เรือนกายราวลิงผอมแห้งของบรรพบุรุษสายฟ้าจึงเผยกายทันที ทว่าเขาไม่คิดจะหยุดชะงัก หมุนตัวได้ก็เผ่นไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ร่างทั้งร่างกลายเป็นสายฟ้าเส้นหนึ่ง ประเดี๋ยวเดียวก็ห่างไปไกล
ครึ่งเทพสายเหนือไม่ได้สนใจป๋ายเสี่ยวฉุนอีกแล้ว เวลานี้เขาที่สีหน้ามืดดำรีบก้าวเท้าไล่กวดไปทันที สำหรับเขาแล้ว ความสำคัญของบรรพบุรุษสายฟ้าเหนือกว่าการลงโทษป๋ายเสี่ยวฉุนมากนัก
เหตุการณ์พลิกผันนี้ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจจนเหงื่อเย็นๆ แตกพลั่กไปทั้งร่าง
“สายเหนือนี่อยู่ไม่ได้อีกแล้ว ต้องรีบหนี!” สีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ แล้วก็ไม่สนโองการของเทียนจุนอะไรอีกแล้ว ร่างของเขาพุ่งพรวดออกไป หมายจะหนีออกไปจากสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้า
ทว่าวินาทีที่เขาพุ่งตัวออกมานั้นเอง เฝิงเฉินหนึ่งในคนฟ้าของสายเหนือก็พลันคำรามกร้าวแล้วไล่ตามป๋ายเสี่ยวฉุนไปติดๆ
เขาคับแค้นใจมากจริงๆ เขาหลงรักตู้หลิงเฟย จึงเป็นเหตุให้เกลียดขี้หน้าป๋ายเสี่ยวฉุนหนักกว่าใคร ดังนั้นถึงได้คิดบทบัญญัติสามประการขึ้นมา ตอนนั้นบทบัญญัติสามประการนี่ทำให้เขาลำพองใจอย่างยิ่งยวด เดิมทีคิดว่าจะทรมานป๋ายเสี่ยวฉุนให้หนำใจ แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะฝ่าทางตันออกไปได้ครั้งแล้วครั้งเล่า มาถึงท้ายที่สุด คนทั้งสำนักก็พากันตำหนิเขาไปหมด
ยามนี้ความโกรธเคืองของเขาจึงพวยพุ่งเทียมฟ้า ลงมือทีก็เป็นท่าไม้ตาย ร่างทั้งร่างกลายมาเป็นสายฟ้าสีแดงเส้นหนึ่งซึ่งคล้ายจะสามารถบดขยี้ทุกจิตวิญญาณให้แหลกลาญ พริบตาเดียวก็ขยับเข้าไปใกล้ป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนหันขวับกลับมา เขาเองก็โมโหแล้วเหมือนกัน