Skip to content

A Will Eternal 967

บทที่ 967 ความแปลกใจของสำนักอสนี

ขณะที่บรรพบุรุษสายฟ้ากำลังปากอ้าตาค้างอยู่นั้น สายฟ้ารอบกายป๋ายเสี่ยวฉุนก็ค่อยๆ สลายหายไป เขาสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง บนศีรษะมีควันลอยกรุ่น ร่างทั้งร่างถูกสายฟ้าหลายหมื่นเส้นพวกนั้นกลบทับจนกรอบนอกนุ่มในไปหมดแล้ว ยังดีที่ปราณตบะของเขาตอนนี้ไม่ใช่คนฟ้าช่วงต้นอีกต่อไป แต่เลื่อนเข้าสู่…คนฟ้าช่วงกลาง!!

คาถาสุริยันจันทราฟ้าไพศาลฉบับบกพร่อง ตอนนี้ก็ฝึกได้ถึงขั้นสมบูรณ์แบบ ในดวงตาข้างซ้ายของเขามีจันทร์กระจ่างดวงหนึ่งลอยขึ้นมา มองดูแล้วแปลกประหลาดยิ่ง ราวกับว่าดวงจันทร์นี้สามารถบินออกมาจากตาซ้ายของเขา ทำให้นภากาศมีดวงจันทร์เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งดวงได้ตลอดเวลา!

ภาพเหตุการณ์ประหลาดที่แปลงมาจากวิชาอภินิหารอันน่าตื่นตะลึงเช่นนี้ หากมีคนประสานสายตากับเขา เกรงว่าคงรู้สึกเหมือนจิตวิญญาณจะถูกจันทร์กระจ่างของเขาดูดดึงออกไปเป็นแน่

แต่สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว ตอนนี้ไม่เพียงแต่ร่างของเขาเท่านั้นที่สั้นเทิ้ม แม้แต่จิตใจของเขาก็ยังสั่นรัวไปด้วย แต่หากเป็นไปได้ เขาก็ไม่มีทางคิดใช้ประสบการณ์อย่างเมื่อครู่นี้มาแลกด้วยการทำให้ตบะฝ่าทะลุแน่นอน

นั่นเป็นเพราะเพียงแค่คิดถึงภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ที่สายฟ้าหลายหมื่นเส้นโถมกรากเข้ามากลบทับ เขาก็หวาดกลัวจนตัวสั่น…

“ข้าไม่อยากฝึกตนแล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าบิดเบ้

ขณะที่ตัวยังสั่นไม่เลิก สายตาก็กวาดไปมองรัศมีสิบลี้ที่ยังคงมีสายฟ้าแลบแปลบปลาบ ทั้งยังระเบิดเปรี้ยงปร้างอยู่ตลอดเวลา นี่ทำให้เขาไม่กล้ากระดุกกระดิกตัวแม้แต่น้อย เขากลัวนี่นา…กังวลมากด้วยว่าหากตนขยับตัวจะไปชักนำให้สายฟ้าพวกนั้นกระโจนเข้าใส่อีกครั้ง

ทว่าขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังร้อนใจและคิดว่าควรจะทดลองขยับตัวดูสักหน่อยนั้นเอง พายุสายฟ้ารอบใหม่ก็โหมกระหน่ำมาจากสี่ทิศอีกครั้ง บางทีอาจเป็นเพราะบ่อสายฟ้าตรงจุดที่เขาอยู่สร้างแรงดึงดูดที่แข็งแกร่งมากเกินไป เป็นเหตุให้พายุสายฟ้าครั้งนี้มีขนาดใหญ่มโหฬารยิ่งกว่าก่อนหน้านั้นหลายเท่าตัว พวกมันหมุนคว้างจากแปดทิศมาแบบมืดฟ้ามัวดิน

ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่มองปราดเดียวก็หวีดร้องเสียงแหลม รีบชักเท้าถอยกรูดออกห่างทันที ทว่าแค่เขาขยับถอย สายฟ้ารอบกายก็ระเบิดตูมพร้อมกัน ก่อนที่สายฟ้าหลายหมื่นเส้นจะพร้อมใจกันห้อตะบึงเข้าหาเขา

“ไม่นะ…” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องโหยหวน บรรพบุรุษสายฟ้าที่อยู่ห่างออกไปได้โกยแนบไปนานแล้ว เขาย้ายกรงขังตัวเองพร้อมหอบหายใจฮักๆ ก้มหน้าก้มตาเผ่นหนีแบบไม่เหลียวหลัง ปากก็ผรุสวาทไม่หยุด

“สมควรตายนัก ไม่เข้าใจหัวอกคนแก่อย่างข้าบ้างเลย ข้าอายุตั้งปูนนี้แล้ว ยังต้องคอยย้ายกรงขังหนีไปมา มันง่ายกับข้านักหรือไง!!”

เวลาเดียวกันกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนถูกสายฟ้ากลบทับ สำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าที่อยู่ข้างนอกก็เกิดเหตุการณ์บางอย่าง พื้นดินที่เป็นเมฆดำของสำนักอสนีพลันสั่นสะเทือนขึ้นมา

คล้ายแผ่นดินไหว ทำเอานักพรตของสำนักอสนีที่อยู่บนเมฆดำทุกคนสัมผัสได้อย่างชัดเจน แต่ละคนอึ้งตะลึงด้วยความแปลกใจ

“เมื่อครู่นี้เกิดแผ่นดินไหวงั้นหรือ?”

“จะเป็นไปได้อย่างไร พวกเราอยู่บนเมฆดำนะ เมฆดำจะขยับได้อย่างไร…”

“พวกเจ้ารู้สึกหรือไม่ว่า…หลายวันมานี้ดูเหมือนว่าสายฟ้าของสำนักอสนีเราจะน้อยลง”

นักพรตของสำนักอสนีประหลาดใจกันอย่างมาก เพราะหลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนถูกจับตัวไปขัง ตลอดทั้งสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าก็เกิดความสงบสุขอย่างที่ไม่เคยเกิดมานาน

นักพรตของสำนักเมฆาได้พบเจอกับความสงบอีกครั้ง ตอนแรกเริ่มสำนักอสนีก็กังวลอยู่บ้างเหมือนกัน แต่พอเวลาผ่านไป พวกเขาจึงค่อยๆ วางใจลงได้ เพราะคนทั้งสำนักสำนักอสนีต่างก็มีความมั่นใจอันเปี่ยมล้นต่อคุกสายฟ้า

พวกเหลยอวิ๋นจื่อเองก็รู้สึกเช่นนี้ หลังจากได้สัมผัสกับวันเวลาที่ไม่มีป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว พวกเขาก็พลันเกิดความปลงอนิจจังต่อความสงบสุขจากใจจริง

แล้วก็เพราะความปลงอนิจจังนี้ถึงทำให้แรงสั่นสะเทือนของเมฆดำสำนักอสนีดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้มากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะขณะที่นักพรตของทั้งสำนักอสนีกำลังรู้สึกแปลกใจกับแรงสั่นสะเทือนครั้งแรกที่ผ่านไป แล้วจู่ๆ เมฆดำก็ดันเกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นมาเป็นครั้งที่สอง!

การสั่นสะเทือนครั้งนี้มาพร้อมเสียงดังอื้ออึง ทำเอานักพรตของสำนักอสนีพากันร้องอุทานเสียงหลง

“สั่นจริงๆ ด้วย!!”

“ผิดปกติ!!”

“สายฟ้า…พวกเจ้าดูสายฟ้าพวกนั้นสิ…”

ท่ามกลางเสียงฮือฮาที่ดังระงมก็มีคนสังเกตเห็นว่าสายฟ้าหลายเส้นในเมฆดำที่เดิมทีเห็นได้ด้วยตาเปล่า มาบัดนี้กลับลดหายไปอย่างเห็นได้ชัด และยังมีไม่น้อยที่พอเปล่งแสงวาบหนึ่งทีก็ลอดทะลวงเข้าไปยังจุดลึกของเมฆดำ

ภาพนี้ทำให้ลูกศิษย์แต่ละคนของสำนักอสนีรู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีอย่างแรงกล้า โลงศพสีดำบนท้องฟ้า พวกคนฟ้าอย่างอวิ๋นเหลยจื่อก็พลันหน้าเปลี่ยนสี แต่ละคนเยื้องกรายลงมาด้วยความร้อนใจ

“หรือว่าเป็นฝีมือของป๋ายเสี่ยวฉุนอีกแล้ว!!”

“สมควรตายนัก ไม่มีทางเป็นเขาแน่ เขาถูกจับขังไปแล้วนะ…”

ขณะที่ทุกคนแตกตื่นกันอยู่นั้น เมฆดำของสำนักอสนีก็สั่นสะเทือนเป็นครั้งที่สาม คราวนี้รุนแรงยิ่งกว่าเก่า ถึงขั้นมีเสียงตูมตามดังกึกก้องไปทั้งชั้นฟ้า

และเวลาเดียวกันนั้น จุดศูนย์กลางของบ่อสายฟ้าที่อยู่ในส่วนลึกของเมฆดำ ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังแผดเสียงร้องหวีดโหย เขาร่ายใช้ความเร็วถึงขีดสุดแล้ว ส่วนตราผนึกสิบจั้งนั้นก็ได้พังทลายลงไปนานแล้ว แต่ไม่ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะเร็วแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ สายฟ้าที่รายล้อมอยู่รอบกายเขาเปลี่ยนจากตอนแรกที่มีหลายหมื่นเส้นมาเป็นหลายแสนเส้นแล้ว!

พวกมันไล่ล่าเขามาอย่างต่อเนื่อง ป๋ายเสี่ยวฉุนยังถึงขั้นมองออกด้วยว่ายิ่งความเร็วของตนมีมากเท่าไหร่ แรงดึงดูดที่มีต่อสายฟ้าพวกนี้ก็ยิ่งเพิ่มตามไปด้วย แต่เขาไม่กล้าหยุดนี่นา หากหยุดลงเมื่อไหร่ สายฟ้าหลายแสนเส้นนั่นต้องกลบทับร่างเขาแน่ๆ

เพียงแต่ว่าหากเขาไม่หยุด สายฟ้าก็มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนใกล้บ้าเต็มทีแล้ว

“เป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร…” ป๋ายเสี่ยวฉุนอยากจะร้องไห้แต่ไร้น้ำตา วิกฤตคับขัน เขาโมโหจนตาแดงก่ำไปหมด ได้แต่กัดฟันกรอดอย่างแรง

“บัดซบ สู้โว้ย สายฟ้าพวกนี้ล้วนเป็นพลังฟ้าดินทั้งนั้น จะกลัวทำบ้าอะไร!!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามปลอบใจตัวเอง ครั้นจึงเริ่มฝึกวิชาบรรพจารย์อวิ๋นเหลยสิบเอ็ดแปรเปลี่ยนตามคาถาที่บรรพบุรุษสายฟ้าให้มาโดยตรง

และบัดนี้ร่างของเขาก็พลันหยุดกึก เมื่อเขาหยุด สายฟ้าหลายแสนเส้นก็ไหลกรากมาพร้อมเสียงดังตูมดังสนั่นหวั่นไหว พวกมันกระโจนทับร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนไว้จนมิดแล้วแทรกซอนเข้าไปในกายเขาราวกับจะฉีกทึ้งร่างของเขาอย่างไรอย่างนั้น

ความเจ็บปวดเหมือนร่างกายถูกฉีกทึ้งยังไม่นับว่าร้ายกาจอะไร เพราะป๋ายเสี่ยวฉุนหนังหนาจึงพอจะฝืนทนรับได้บ้าง

แต่ที่ทำให้เขาแบกรับไม่ไหวก็คือเมื่อสายฟ้าเหล่านี้ทะลักทลายเข้ามา ในร่างของเขาก็มีพลังฟ้าดินระเบิดออกมาอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ตอนนี้เขาเป็นเหมือนลูกหนังที่ถูกอัดลมเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง…

“บรรพจารย์อวิ๋นเหลยแปรเปลี่ยนครั้งที่หนึ่ง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนฝืนข่มกลั้นความเจ็บปวดของร่างกาย ตอนนี้ตาเขาลายไปหมดแล้ว ได้แต่พยายามโคจรวิชาอภินิหารนี้อย่างบ้าคลั่ง ผลักดันพลังฟ้าดินอันไร้ที่สิ้นสุดในร่างให้กลายมาเป็นพลังคาถาบรรพจารย์อวิ๋นเหลยสิบเอ็ดแปรเปลี่ยน

และเวลาเพียงแค่ครู่เดียว ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีเสียงตูมระเบิดดังลั่น ครั้นจึงเปลี่ยนมามีขนาดสิบจั้ง ปราณแห่งความป่าเถื่อนคลุ้มคลั่งปะทุออกมาจากร่างของเขาไม่หยุด

พริบตาเดียว บรรพจารย์อวิ๋นเหลยแปรเปลี่ยนท่าที่หนึ่งก็ถูกเขาฝึกสำเร็จ!

ยังไม่สิ้นสุด ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าพลังฟ้าดินที่อยู่ในร่างตัวเองยังมากไพศาล เขาที่ตาแดงฉานไม่ได้ฝึกท่าเปลี่ยนครั้งที่สองในทันที! แต่โคจรคาถาสุริยันจันทราฟ้าไพศาล อาศัยดวงตาข้างซ้ายตัวเองเป็นตัวทาบต่อให้วิชาอภินิหารสองอย่างนี้ผสานรวมกันอย่างสมบูรณ์แบบ!

การทาบต่อเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่วิเคราะห์ขั้นต้นแล้วรู้สึกว่าน่าจะทำได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วท่ามกลางขั้นตอนการผสานรวมมีความเป็นไปได้มากที่จะล้มเหลว

หากไม่ได้อยู่ที่นี่ เมื่อทำล้มเหลวหนึ่งครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็จำเป็นต้องใช้เวลาในการใคร่ครวญกว่าจะลงมือเป็นครั้งที่สอง เพราะอย่างไรซะต่อให้เขาสามารถดูดซับพลังฟ้าดินมาได้ แต่การผสานรวมวิชาอภินิหารสองอย่างให้เป็นหนึ่งเดียวกันนั้นยังจำเป็นต้องให้เขาอยู่ในสภาวะที่พร้อมสูงสุดถึงจะดำเนินการได้อย่างราบรื่น

ทว่าตอนนี้ในร่างมีพลังฟ้าดินเปี่ยมล้นเกินไป ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่มีทางเลือกอื่น จึงจำต้องรีบทดลองในทันที ความล้มเหลวในแต่ละครั้ง เสียงดังกัมปนาทที่ดังไม่หยุด ทำให้ระบายพลังฟ้าดินในร่างออกไปได้บ้าง

จนกระทั่งล้มเหลวไปสิบกว่าครั้ง

ในที่สุดครั้งสุดท้ายนี้ ดวงตาข้างซ้ายของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันสาดแสงจันทร์น่าครั่นคร้าม เมื่ออยู่ภายใต้แสงจันทร์นี้ เรือนกายบรรพจารย์สิบจั้งของเขาก็แตกต่างไปจากสภาพของอวิ๋นเหลยจื่อที่เคยเห็นอย่างสิ้นเชิง!

ปราณที่ยากจะบรรยายขุมหนึ่งแผ่กระจายออกมาจากร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน ยิ่งรอยดวงจันทร์ที่อยู่ในตาซ้ายก็ยิ่งเหมือนจะควบคุมดวงจันทร์บนนภากาศที่มืดมิดเอาไว้ได้!

“สำเร็จแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มีเวลามาตื่นเต้น แม้ว่าตอนนี้พลังฟ้าดินในร่างของเขจะถูกระบายออกไปเกินครึ่ง ทว่าส่วนที่เหลืออยู่ก็ยังคงทำให้ร่างของเขาเหมือนจะระเบิดแตกอยู่ตลอดเวลา ด้วยความจนใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ร้องคำรามจึงได้แต่เริ่มฝึกบรรพจารย์อวิ๋นเหลยแปรเปลี่ยนครั้งที่สอง!

ไม่นานนัก เรือนกายมหึมาของเขาก็กลายมามีขนาดประมาณยี่สิบครั้ง การจำแลงกายท่าที่สอง…สำเร็จ!

ยังไม่สิ้นสุด ท่าแปรเปลี่ยนที่สาม ที่สี่ยังคงตามมาติดๆ!

เสียงตูมตามดังเกริกก้อง ท่ามกลางสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนในบ่อสายฟ้าที่ล้อมวน ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เปลี่ยนจากขนาดยี่สิบจั้งมาเป็นสามสิบจั้ง และจากนั้นก็คือสี่สิบจั้ง ไม่พูดว่าค้ำยันฟ้าดิน แต่ก็มากพอจะเขย่าคลอนแปดทิศ!

นั่นคือปราณแห่งความป่าเถื่อนเหี้ยมลึก และยังมีเรือนกายของกระดูกคงกระพัน บวกกับความแกร่งกร้าวของคาถาแปรเปลี่ยนร่างบรรพบุรุษมวลมนุษย์ ทุกอย่างนี้ทำให้ระดับความแข็งแกร่งของเนื้อหนังมังสาป๋ายเสี่ยวฉุนเหนือกว่าขีดจำกัดบางอย่างไปแล้ว!

หากอวิ๋นเหลยจื่ออยู่ที่นี่ ได้เห็นภาพนี้ เขาต้องตะลึงพรึงเพริดสุดประมาณ เพราะวิชาอภินิหารที่พวกเขาสองคนร่ายใช้พร้อมกัน เมื่อมาอยู่ในมือป๋ายเสี่ยวฉุนกลับแข็งแกร่งกว่าหลายเท่าอย่างเห็นได้ชัด!

ยิ่งเค้าโครงของดวงจันทร์ที่อยู่ในดวงตาข้างซ้ายก็ยิ่งระเบิดอานุภาพของคาถาแปรเปลี่ยนร่างบรรพบุรุษให้ทบทวีเข้าไปอีก!

หากเปลี่ยนมาเป็นเวลาอื่น ป๋ายเสี่ยวฉุนต้องฮึกเหิมมากแน่นอน

ทว่าตอนนี้เขาสัมผัสได้ว่าร่างกายของตัวเองที่ดูดดึงสายฟ้าในเมฆดำนี้มาเหมือนจะเดินมาถึงขีดกำจัดบางอย่างแล้ว เว้นเสียแต่ว่าเปลี่ยนมาเป็นพลังสายฟ้าชนิดอื่น หาไม่แล้วเกรงว่าต่อให้เขาดูดซับมาอีกก็คงได้ไม่กี่มากน้อย แล้วก็คงมิอาจดูดซับได้อีกต่อไป นี่ไม่เกี่ยวข้องกับวิชาอภินิหาร แต่เป็นด้วยเรื่องของขีดจำกัดแห่งเรือนกาย ซึ่งก็เหมือนกับยาเม็ดหนึ่ง

และหากถึงเวลานั้น สายฟ้าที่อยู่รอบกายนี้จะไม่ใช่สารบำรุงสำหรับเขาอีกต่อไป แต่จะกลายมาเป็นต้นกำเนิดของการทำลายล้างที่ปลิดชีพของเขาแทน!

ทว่าดูเหมือนความแข็งแกร่งของป๋ายเสี่ยวฉุนจะยิ่งไปดูดดึงสายฟ้ารอบด้านมามากกว่าเดิม เสียงครืนครั่นดังสะท้อน คราวนี้มีสายฟ้าหลายแสนเส้นห้อตะบึงมาพร้อมกัน

ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจจนเกือบจะร้องไห้ออกมาจริงๆ เสียงคำรามสะอึกสะอื้นเหมือนคนดื่มยาพิษดับกระหายของเขาจึงดังขึ้นมาอีกครั้ง

“บรรพจารย์อวิ๋นเหลยแปรเปลี่ยนครั้งที่ห๊า!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version