บทที่ 966 คนหนุ่มสมัยนี้ไม่รักชีวิตขนาดนี้เชียวหรือ?
บรรพบุรุษสายฟ้าลังเลไปครู่หนึ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นท่าทางของอีกฝ่ายก็ทำสีหน้าไม่พอใจ แสดงความรังเกียจเดียดฉันท์ออกมาอย่างเต็มที่
“เจ้าลิงเฒ่า ยุคสมัยแตกต่าง ข้าไม่ได้สนใจวิชาของเจ้าสักเท่าไหร่หรอกนะ ก็เหมือนกับที่พลังฟ้าดินคือสิ่งล้ำค่าในสายตาของเจ้า แต่สำหรับข้าแล้วมันก็เป็นแค่ขนเส้นหนึ่งของวัวเก้าตัวเท่านั้น มาถึงขั้นนี้แล้ว หากเจ้ายังจะขี้เหนียวไม่ยอมแบ่งปันความรู้ แม้ว่าข้าจะมีพลังฟ้าดินอยู่มาก แต่เห็นทีคงต้องรู้จักเสียดายบ้างแล้วกระมัง”
พอบรรพบุรุษสายฟ้าได้ยินเช่นนี้ก็ร้อนใจขึ้นมาครามครัน ได้แต่ยิ้มขื่นแล้วถอนหายใจ
“ไอ้เด็กนี่นะ ไม่ว่าเจ้าจะตั้งใจสร้างความรู้สึกเช่นนี้ให้ข้าหรือไม่…แต่สรุปว่า เจ้าชนะแล้ว!”
บรรพบุรุษสายฟ้าถอนหายใจยาวเหยียด แม้ว่าเขาจะถูกขังมานานมาก จนความคิดในสมองแล่นช้าไม่ฉับไว แต่หากตอนนี้ยังมองลูกไม้ของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ออก เกรงว่าเขาก็คงมิอาจมีชีวิตอยู่ได้มานานจนถึงตอนนี้
แต่มองออกก็ส่วนมองออก เพราะเขาเองก็จนใจมากเหมือนกัน ความปรารถนาในปราณวิญญาณฟ้าดินของตนถูกกำอยู่ในเงื้อมมือของอีกฝ่าย อีกอย่างตามความเห็นเขา วิธีการเช่นนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่สำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าจะทำได้
ที่สำคัญที่สุดก็คือ แม้บรรพจารย์อวิ๋นเหลยสิบเอ็ดแปรเปลี่ยนจะร้ายกาจ แต่เขาก็รู้ดีว่าครึ่งเทพของสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าไม่มีทางขุดหลุมพรางเช่นนี้เพื่อล่อให้ตนร่วงลงไปเพียงเพื่อวิชาเดียวเท่านั้น
พอคิดอย่างนี้ เขาก็เริ่มเกิดความปลงตกต่อตัวป๋ายเสี่ยวฉุน เพราะอย่างไรซะหลังจากที่เขามองวิธีการของอีกฝ่ายออกอย่างทะลุปรุโปร่งก็ยังอดชื่นชมไม่ได้ นั่นไม่ใช่วิธีง่ายๆ ที่แค่ควบคุมชีวิตของตนเท่านั้น
แต่ยังคิดคำนวณเอาสภาพจิตใจของตนเข้าไปรวมด้วย ยิ่งการที่มอบสายฟ้าให้ตนก่อน ก็ยิ่งเป็นเหมือนการตกปลาที่ทำให้ตนพาตัวไปติดเบ็ดอย่างยินยอมพร้อมใจ
สามารถพูดได้ว่าตั้งแต่ต้นจนจบล้วนอยู่ในการควบคุมของอีกฝ่ายทั้งสิ้น
หลังจากที่เข้าใจเรื่องทุกอย่างอย่างกระจ่างแจ้ง บรรพบุรุษสายฟ้าก็พึมพำอยู่ในใจ ขณะเดียวกันสายตาที่หันไปมองป๋ายเสี่ยวฉุนก็เผยความชื่นชมอย่างห้ามไม่ได้
“เอาเถอะ ไอ้หนู ข้าเองก็ไม่ต้องการพลังสายฟ้าของเจ้ามากเท่าใดนัก เจ้าแค่มอบสายฟ้าที่สามารถกลายมาเป็นเมล็ดพันธ์พลังวิญญาณหนึ่งร้อยเส้นให้ข้าก็พอแล้ว!”
“ส่วนวิชาอภินิหารนั้น…เจ้าจงฟังให้ดี!” บรรพบุรุษสายฟ้าสูดลมหายใจเข้าลึก นัยน์ตาฉายแสงคมกริบ ริมฝีปากสั่นระริกน้อยๆ ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายส่งคาถาทั้งหมดของวิชาบรรพจารย์อวิ๋นเหลยสิบเอ็ดแปรเปลี่ยนเข้าไปในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยตัวเอง
ครั้งนี้เขาไม่มีการกั๊กเอาไว้แม้แต่น้อย แต่เลือกจะบอกอย่างหมดเปลือก
จากจุดนี้แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าด้วยฐานะครึ่งเทพ เขาเองก็ไม่กังวลเหมือนกันว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่มอบสายฟ้าร้อยเส้นให้กับตน และในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนี้ สำหรับเศรษฐีสายฟ้าที่สามารถโยนสายฟ้าแปดเก้าเส้นให้ตนได้อย่างไม่ใส่ใจนั้น บรรพบุรุษสายฟ้าจึงรู้ดีว่า ตนเองก็ต้องใจกว้างสักหน่อย
ป๋ายเสี่ยวฉุนมีท่าทางกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เขารู้สึกว่าตัวเองหน้าบางไปหน่อย พอถูกอีกฝ่ายจับไต๋ได้เลยไอแห้งๆ หนึ่งครั้งอย่างอดไม่ไหว ก่อนจะรีบจดจำคาถาบรรพจารย์อวิ๋นเหลยสิบเอ็ดแปรเปลี่ยนที่ดังก้องขึ้นมาในสมองอย่างรวดเร็ว
ยิ่งฟังเขาก็ยิ่งฮึกเหิม หลังจากจำได้แม่นยำแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หลับตาวิเคราะห์อย่างละเอียดอยู่พักใหญ่ เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง สายตาของเขาก็ฉายแววตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
“หากดูจากขั้นต้น สามารถเอาไปเชื่อมต่อเข้ากับคาถาสุริยันจันทราฟ้าไพศาลได้!!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกตื่นเต้น จึงรีบโยนสายฟ้าให้บรรพบุรุษสายฟ้าทีเดียวหลายสิบเส้น จนกระทั่งนับรวมๆ ดูแล้วได้ประมาณห้าสิบเส้น ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้หยุดลง
“ขอผู้อาวุโสโปรดเข้าใจ ข้าน้อยเป็นคนทำอะไรระมัดระวัง ส่วนที่เหลือ…รอให้ข้าได้ออกไปแล้วค่อยมอบให้ท่านอีกครั้ง” ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่ปิดบังความคิดของตน จึงมองไปยังบรรพบุรุษสายฟ้าแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจ
สำหรับวิธีการของป๋ายเสี่ยวฉุน บรรพบุรุษสายฟ้าเองก็พอจะเข้าใจได้ จึงแค่แค่นเสียงในลำคอครั้งเดียวแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงหลับตาดูดซับเอาสายฟ้าพวกนี้มาแปลงเป็นพลังฟ้าดิน ก่อนจะค่อยๆ เอาพลังเหล่านั้นมาสร้างขึ้นเป็นเมล็ดพันธ์วิญญาณเม็ดหนึ่งช้าๆ อีกที
เมื่อเห็นว่าบรรพบุรุษสายฟ้ายอมรับเรื่องนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็โล่งใจ ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เขาต้องคอยฝึกตนพลางจับตามองบรรพบุรุษสายฟ้า ครุ่นคิดวิธีการที่จะเอาวิชาอภินิหารมาจากอีกฝ่ายไปด้วย จึงเหนื่อยกายเหนื่อยใจไม่น้อย
เวลานี้เมื่อได้ข้อตกลงร่วมกับบรรพบุรุษสายฟ้า แผนการสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ป๋ายเสี่ยวฉุนก็วางใจลงได้ ครั้นจึงเริ่มกลืนกินสายฟ้ามาเพิ่มตบะอยางเต็มกำลัง
นับตั้งแต่ถูกจับมาขังที่นี่จนถึงตอนนี้ เวลาก็ผ่านไปเกือบสองเดือนแล้ว คาถาสุริยันจันทราฟ้าไพศาลมีการฝ่าทะลุขั้นอย่างต่อเนื่อง ไต่ทะยานจากขั้นที่หนึ่งสู่ขั้นที่สาม และตบะของเขาก็เพิ่มพูนขึ้นในทุกๆ วัน เวลานี้เมื่อโคจรตบะ ความแข็งแกร่งของปราณนั้นจึงเทียบเคียงกับคนฟ้าช่วงกลางมากแล้ว
หากเรื่องนี้แพร่สะพัดออกไป ต้องสร้างความครึกโครมให้กับโลกภายนอกอย่างแน่นอน เสียดายก็แต่ต่อให้คนภายนอกรับรู้ก็คงได้แต่อิจฉา เพราะมิอาจใช้วิธีฝึกตนได้อย่างป๋ายเสี่ยวฉุน
“ตอนนี้เป้าหมายมีสองอย่าง หนึ่งก็คือฝ่าทะลุขั้นที่สามของคาถาสุริยันจันทราฟ้าไพศาล ตบะเลื่อนสู่คนฟ้าช่วงกลางอย่างแท้จริง!”
“จากนั้น…ก็ควรฝึกวิชาบรรพจารย์อวิ๋นเหลยสิบเอ็ดแปรเปลี่ยน ให้มันผสานรวมเข้ากับคาถาสุริยันจันทราฟ้าไพศาลอย่างสมบูรณ์แบบ!”
หัวใจป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนเร่าไปด้วยไฟแห่งความกระตือรือร้น รับสัมผัสกับพระจันทร์เสี้ยวที่ก่อตัวขึ้นมาในร่างจากการฝึกฝนคาถาสุริยันจันทราฟ้าไพศาล ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นแล้วกระแทกอำนาจจิตออกไปปกคลุมสี่ทิศ รอพายุสายฟ้าครั้งใหม่ที่กำลังจะมาเยือนอีกครั้ง
เมื่อรอบด้านมีเสียงพัดคำรามของลมพายุสายฟ้า ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนก็เผยความละโมบ แล้วจู่ๆ ก็อ้าปากกว้างดูดสวบมาอย่างแรง!
การดูดครั้งนี้เขาใช้พละกำลังทั้งหมดที่มี พริบตาเดียวสายฟ้าที่พุ่งมาจากรอบด้านก็มีไม่น้อยที่เกิดการบิดเบือนคล้ายถูกเปลี่ยนทิศทางให้ตรงมาที่ปากของป๋ายเสี่ยวฉุน
ตูมๆๆ!
สูดครั้งเดียว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กลืนสายฟ้าไปถึงหลายร้อยเส้น ภายใต้เสียงดังสั่นสะเทือนราวแก้วหูจะดับ สายฟ้าพวกนี้ก็เข้าไปอยู่ในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนจนหมด แล้วจึงระเบิดออก ก่อกลายมาเป็นพลังฟ้าดินที่เข้มข้น ซึ่งผสานรวมเข้าไปในจันทร์เสี้ยวของป๋ายเสี่ยวฉุน ทำให้แสงของดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวนี้เปล่งประกายระยิบระยับ ผลักดันขั้นที่สามของคาถาสุริยันจันทราฟ้าไพศาลให้ก้าวหน้าไปอย่างต่อเนื่อง
“มาอีกเยอะๆ หน่อย!” มือทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนทำมุทราแล้วโบกไปรอบด้าน เมื่อดูดเข้ามาอีกครั้งก็มีสายฟ้าอีกหลายเส้นขยับเข้ามาใกล้ด้วยเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น ไม่นานเวลาก็ผ่านไปแล้วครึ่งชั่วยาม
พายุสายฟ้าที่อยู่รอบด้านเริ่มเกิดลางที่จะค่อยๆ ถดถอยออกไป ตั้งแต่ต้นจนจบ แม้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะกลืนสายฟ้าไปไม่น้อย ทว่าในความเป็นจริงแล้ว สำหรับสายฟ้าที่มีมากมหาศาลจนเหมือนไร้ที่สิ้นสุดนี้กลับเล็กน้อยจนแทบไม่มีค่าพอให้พูดถึง
เมื่อเห็นว่าสายฟ้ากำลังจะสลายไป ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกยอมไม่ได้ เขารู้ดีว่าครั้งหน้าต้องรอไปถึงสองชั่วยาม เพราะตลอดเวลาสองเดือนที่ผ่านมาล้วนเป็นเช่นนี้ ตามการวิเคราะห์ของป๋ายเสี่ยวฉุน หากสามารถแก้ไขในจุดนี้ได้ ความเร็วในการฝึกตนของเขาก็ต้องเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
พอคิดมาถึงตรงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถลันพรวดขึ้นยืน มือทั้งคู่ทำมุทรา ระเบิดตบะทุกด้านออกมาโคจรอยู่ภายนอกอย่างไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งมันกลายมาเป็นน้ำวนขนาดใหญ่ยักษ์ลูกหนึ่ง
น้ำวนลูกนี้ส่งเสียงกัมปนาทดังครืนครั่น ก่อกลายมาเป็นพลังชักนำรุนแรง ขณะเดียวกันเนตรทงเทียนของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เปิดออก ครั้นจึงร่ายใช้วิชาแรงผลักแรงดูดที่เขาเคยศึกษาในอดีต
ไม่นานสายฟ้าสี่ทิศที่แต่เดิมกำลังจะสลายหายไปก็คล้ายถูกดูดเอามา วี่แววที่จะจางลงก็เหมือนถูกชะลอความเร็ว มาถึงท้ายที่สุดก็มีสายฟ้าถึงครึ่งหนึ่งที่ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนกักเอาไว้ที่เดิม
พริบตานั้นเสียงสายฟ้าดังสะเทือนเลือนลั่นก็พลันเกริกก้องขึ้นมา บรรพบุรุษสายฟ้าที่อยู่ข้างๆ ลืมตามาเห็นภาพนี้เข้า ต่อให้เป็นเขาเองก็ยังสำลักลมหายใจ
“เจ้าจะทำอะไรน่ะห๊า!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มีอารมณ์มาสนใจบรรพบุรุษสายฟ้า ยามนี้ลมหายใจของเขาหอบรัว แผ่ตบะออกไปพลางกลืนกินสายฟ้ารอบด้านมาอย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งที่อ้าปากก็จะมีสายฟ้าหลายร้อยเส้นพุ่งครืนครั่นเข้ามาหา
ภายใต้วิธีฝึกตนและกลืนกินแบบฝืนธรรมชาติเช่นนี้ ตบะของเขาก็ไต่ทะยานไปอย่างไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งผ่านไปสองชั่วยาม สายฟ้ารอบกายป๋ายเสี่ยวฉุนถึงถูกเขากินไปได้ประมาณหนึ่งส่วน และพายุสายฟ้ารอบใหม่ก็ก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง
ท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว รอบด้านยิ่งมีสายฟ้าไหลกรากเข้ามารวมตัวกันที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมากกว่าเดิม
ภายใต้การกลืนกินและการดึงดูดของน้ำวนตบะของป๋ายเสี่ยวฉุน พอพายุสายฟ้าลูกนี้ยุติลง ก็มีสายฟ้าอีกครึ่งหนึ่งที่ถูกบังคับกักตัวไว้ที่เดิม
เมื่อเป็นเช่นนี้ พอเวลาผ่านพ้น สายฟ้าที่อยู่ตรงป๋ายเสี่ยวฉุนจึงมากขึ้นเรื่อยๆ มาถึงท้ายที่สุดในรัศมีสิบลี้รอบกายเขาก็กลายมาเป็นบ่อสายฟ้าขนาดใหญ่ยักษ์บ่อหนึ่ง!
และบรรพบุรุษสายฟ้าที่จับตามองมานานทั้งยังสูดหายใจดังเฮือกๆ ไม่หยุดก็ถึงกับร่ายใช้วิชาของตัวเองอย่างไม่เสียดาย เพื่อพาตัวเองออกห่างไปจากพื้นที่ที่ถูกสายฟ้าปกคลุมให้ไกลที่สุด
“ไอ้หมอนี่เป็นบ้าไปแล้วหรือไง นี่เขากำลังฝึกตนเสียที่ไหน เขามันรนหาที่ตายชัดๆ!”
บรรพบุรุษสายฟ้ามองบ่อสายฟ้ารัศมีสิบลี้นั้นด้วยอาการใจหายใจคว่ำ
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ประหวั่นพรั่นพรึงเหมือนกัน แต่เขาขึ้นขี่หลังเสือแล้วลงยาก เขาสลายน้ำวนที่เกิดจากตบะทิ้งไปนานแล้ว ทว่าตอนนี้เมื่อบ่อสายฟ้าก่อตัวขึ้นมาแล้ว จึงทำให้พลังของสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนของที่แห่งนี้กลายมาเป็นเหมือนหลุมดำธรรมชาติหลุมหนึ่งที่คอยดูดดึงสายฟ้ามาอย่างต่อเนื่อง
“เล่นใหญ่ไปแล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนอดตื่นตระหนกไม่ได้ มองเห็นสายฟ้าพวกนั้นเขาก็กัดฟันกรอด
“คิดมากขนาดนั้นไม่ได้แล้ว ข้าจะดูด!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามกร้าวแล้วเขมือบกลืนสายฟ้ามาอย่างบ้าคลั่ง พลังฟ้าดินที่อยู่ในร่างก็เพิ่มพูนอย่างบ้าคลั่งไม่ต่างกัน
ทว่าเวลานี้เอง ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลืนกินสายฟ้าที่อยู่รอบด้าน เนื่องจากครั้งหนึ่งเขากลืนมาได้แค่ไม่กี่ร้อยเส้น ซ้ำร้ายสายฟ้าที่มารวมอยู่ตรงนี้ยังมากขึ้นทุกขณะ จึงเป็นเหตุให้…ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนดูดเอามา สายฟ้าเส้นอื่นๆ ก็พุ่งทะยานตามมาด้วย และต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะปิดปาก พวกมันก็ยังคงตรงเข้ามาที่ร่างของเขาอยู่ดี!
ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนจะร้องโหยหวนพลางก้าวถอยหนีโดยไม่สนเรื่องที่ว่าหากออกไปจากพื้นที่สิบจั้งที่กักขังตนจะมีฟ้าผ่าลงมา แต่ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว…
เสียงตูมตามดังสนั่นหวั่นไหว สายฟ้านับหมื่นเส้นระเบิดออกโดยตรงแล้วไหลกรากเข้ามาหาร่างกายของป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนหวีดร้องเสียงแหลมดัง ต่อให้เขาจะสามารถกลืนสายฟ้าได้มากแค่ไหน แต่สายฟ้าที่มากมายขนาดนี้ก็ทำให้เขาต้องเจอกับการถูกสายฟ้ากัดกินร่างอยู่ดี
ความเจ็บปวดนั้นทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนน้ำตาไหลพราก ยามนี้ได้แต่ถอยกรูดเร็วจี๋ หมายจะหลบเลี่ยงสายฟ้าที่มาจากรอบด้าน ต่อให้เมื่อครู่นี้ที่สายฟ้านับหมื่นเส้นผ่าเปรี้ยงลงมาจะทำให้พลังฟ้าดินระเบิด จนเป็นเหตุให้ขั้นที่สามของคาถาสุริยันจันทราฟ้าไพศาลพุ่งไปถึงจุดสูงสุดและกำลังจะฝ่าทะลุได้ทุกขณะ!
และตบะของเขาในเวลานี้ก็พลุ่งพล่านอย่างถึงที่สุด เหนือกว่าคนฟ้าช่วงต้นทั่วไปอยู่มาก ซึ่งมันกำลังบุกตะลุยไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้งหมายฝ่าไปถึงคนฟ้าช่วงกลาง!
“แต่แบบนี้ก็ไม่ได้นะ ชีวิตน้อยๆ ของข้าสำคัญที่สุด!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนอกสั่นขวัญหาย ถอยหนีลูกเดียว แต่พอเขาขยับตัว แรงฉุดรั้งก็พลันบังเกิด เป็นเหตุให้สมดุลของบ่อสายฟ้าถูกทำลาย สายฟ้าอีกหลายหมื่นเส้นที่อยู่รอบด้านจึงถูกชักนำมาในชั่วพริบตา แล้วกลบทับร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนไว้จนมิดท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนของเขา
ครั้งนี้สายฟ้าที่ผสานรวมเข้ามามีมากเกินไป เพียงแค่ครู่สั้นๆ ซึ่งป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่เลิกแหกปากร้อง คาถาสุริยันจันทราฟ้าไพศาลก็พลันฝ่าทะลุดังตูม ตบะของเขาเองก็ระเบิดจากคนฟ้าช่วงต้น เหยียบเข้าสู่…คนฟ้าช่วงกลาง!
บรรพบุรุษสายฟ้าที่มองภาพนี้อยู่ไกลๆ ก็อ้าปากค้าง ตาเบิกกว้างไปอย่างสิ้นเชิง
“นี่คือความแตกต่างของยุคสมัยจริงๆ น่ะหรือ? เพื่อการฝึกตนแล้ว…คนหนุ่มสมัยนี้ไม่ห่วงชีวิตตัวเองขนาดนี้เชียวหรือ?”