Skip to content

A Will Eternal 965

บทที่ 965 อย่ามากวนใจข้า

ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งงันไปเล็กน้อย วิชาอภินิหารนี้เขารู้จัก ทั้งยังเคยต้านทานมาก่อนด้วย มันก็คือท่าไม้ตายของอวิ๋นเหลยจื่อ หลังจากที่อวิ๋นเหลยจื่อผสานรวมร่างกัน อีกฝ่ายเคยร่ายคาถาบรรพจารย์อวิ๋นเหลยแปรเปลี่ยนถึงครั้งที่แปด เมื่อกลายร่างมาเป็นบรรพบุรุษของมวลมนุษย์ ก็ถึงกับทำให้หมัดจักรพรรดิมิดับสูญของป๋ายเสี่ยวฉุนพังทลายลงซึ่งๆ หน้าเป็นครั้งแรก

ภาพเหตุการณ์ในตอนนั้นยังคงเด่นชัดในความทรงจำของป๋ายเสี่ยวฉุนมาจนถึงตอนนี้ อีกทั้งลึกๆ ในใจเขาเองก็อยากได้วิชานี้มาครอบครองเหมือนกัน แต่เสียดายที่มันคือวิชาลับซึ่งมิอาจถ่ายทอดของสายเหนือ ต่อให้เป็นนักพรตสายเหนือเองก็ตาม คนที่มีคุณสมบัติได้สัมผัสวิชานี้ก็ยังมีน้อยจนนับนิ้วได้

ทว่าตอนนี้ผู้เฒ่าที่ถูกขังอยู่ที่นี่กลับพูดถึงวิชานี้ขึ้นมา โดยเฉาะสามคำที่ว่าร้อยแปรเปลี่ยนก็ยิ่งทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจดังเฮือก ดวงตาแข็งค้างอย่างห้ามไม่ได้

“ลิงเฒ่า เจ้าหลอกใครน่ะ นึกจริงๆ หรือว่านายน้อยของเจ้าไม่เคยสัมผัสกับวิชาอภินิหารบรรพจารย์อวิ๋นเหลยอะไรนี่มาก่อนน่ะห๊ะ!”

บรรพบุรุษสายฟ้ากะพริบตาปริบๆ แต่กลับไม่ได้มีท่าทางกระอักกระอ่วนที่ถูกจับไต๋ได้ เขาเองก็แค่คิดจะเอาชื่อของวิชานี้มาล่อลวงความสนใจจากป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้น ตอนนี้จึงได้แต่ตบศีรษะเบาๆ แล้วหัวเราะแห้งๆ อีกหนึ่งที

“ข้าอายุขนาดนี้แล้ว ความทรงจำไม่ค่อยดี ข้านึกออกแล้ว คือบรรพจารย์อวิ๋นเหลยสิบเอ็ดแปรเปลี่ยน ครั้งนี้ไม่ผิดแน่ คือสิบเอ็ดเปลี่ยน!” เพื่อพิสูจน์ว่าที่ตัวเองพูดนั้นจริงแท้แน่นอน บรรพบุรุษสายฟ้าจึงพูดเสริมไปอีกหลายประโยค

“ท่าเปลี่ยนที่หนึ่งถึงเก้าคือการก่อสร้างกายธรรมของบรรพบุรุษมวลมนุษย์ จนกระทั่งผสานรวมกับกายธรรมแล้ว ก็จะกลายมาเป็นบรรพบุรุษของมวลมนุษย์ ส่วนการเปลี่ยนครั้งที่สิบนั้นก็ยิ่งสุดยอดเข้าไปใหญ่

นั่นคือการทำให้ดวงตาซ้ายของตัวเองเปลี่ยนมาเป็นจันทร์กระจ่าง ส่วนเปลี่ยนครั้งที่สิบเอ็ดขั้นท้ายสุดก็ยิ่งสะท้านฟ้าสะเทือนดิน นั่นคือเปลี่ยนตาขวาให้เป็นดวงอาทิตย์เจิดจ้า!”

“บอกว่าสิบเอ็ดแปรเปลี่ยนก็จริง แต่การเปลี่ยนสองครั้งสุดท้ายมีอานุภาพสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนครั้งไหนก็สามารถเพิ่มพลังของการเปลี่ยนแปลงได้อย่างน้อยถึงสามเท่า หากฝึกครบสำเร็จ ต่อให้เป็นสิบเอ็ดเปลี่ยนก็ยังกลายมาเป็นสิบเจ็ดเปลี่ยนได้!”

ฟังมาถึงตรงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มเลื่อนลอย หัวใจเต้นรัวเร็วอย่างห้ามไม่ได้

“ปีนั้นสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าอยากได้วิชานี้ของข้าผู้อาวุโสก็เลยใช้วิธีการต่ำช้ามาขโมยการเปลี่ยนแปลงเก้าท่าแรกไป แต่สองท่าสุดท้ายพวกเขายังไม่ได้ไป ที่พวกเขาจับข้าผู้อาวุโสมาขังไว้ที่นี่ก็ไม่ใช่เพราะต้องการสองท่าสุดท้ายนั่นหรอกหรือ” เมื่อบรรพบุรุษสายฟ้าเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนทำท่าเหมือนหวั่นไหวก็รีบโม้ไปอีกหลายคำ ส่วนเรื่องที่เขาพูดจะจริงหรือเท็จนั้น มีเพียงตัวเขาเองที่รู้

ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เชื่อว่าที่สำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าจับคนผู้นี้มาขังไว้ที่นี่เป็นเพราะสองท่าแปรเปลี่ยนสุดท้ายนั่น นั่นเป็นเพราะมีวิธีการมากมายที่พวกเขาจะช่วงชิงมันไป ยกตัวอย่างเช่นหานักพรตที่มีสภาพเหมือนป๋ายเสี่ยวฉุนในตอนนี้มา แค่นี้ก็สามารถหลอกเอาสองท่าเปลี่ยนสุดท้ายนั่นมาได้แล้ว

แต่กระนั้นเขาก็ยังอดหวั่นไหวไม่ได้ ที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นรัวเร็วก็คือท่าเปลี่ยนที่สิบที่บรรพบุรุษสายฟ้าพูดถึง ซึ่ง…จะแปลงตาซ้ายให้กลายเป็นดวงจันทร์กระจ่าง

“คาถาสุริยันจันทราฟ้าไพศาลที่ข้าฝึกฝนเป็นฉบับไม่สมบูรณ์…มีเพียงคาถาดวงจันทร์ หลังจากฝ่าทะลุขั้นสมบูรณ์แบบของสามขั้นแรกไปแล้วจะทำให้ตบะของข้าเลื่อนจากคนฟ้าช่วงต้นเข้าสู่คนฟ้าช่วงกลาง…เพียงแต่ว่าวิชานี้ไม่มีบทหลังจากนั้น”

“และบรรพจารย์แปรเปลี่ยนท่าที่สิบนี้…ก็เกี่ยวข้องกับพระจันทร์ บางทีเอาเอามาผสมผสานกันได้…” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็ยิ่งหวั่นไหว ไม่ว่าสุดท้ายแล้วจะฝึกได้สำเร็จหรือไม่ เขาก็รู้สึกว่าอย่างน้อยควรจะทดลองดูสักครั้ง

แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิดว่าตัวเองจะเปิดเผยความคิดออกมาไม่ได้ ที่สำคัญที่สุดก็คือในความรู้สึกของป๋ายเสี่ยวฉุน แม้ว่าตาลิงเฒ่าข้างๆ นี้จะถูกจับขังมานาน สติสตังเริ่มไม่ค่อยดี แต่จะอย่างไรซะอีกฝ่ายก็เป็นถึงครึ่งเทพผู้แข็งแกร่ง

คิดจะเอาวิชาการฝึกตนมาจากมือของเขาก็จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาล อีกทั้งหากไม่ระวังแม้เพียงน้อยแล้ววิชามีปัญหาขึ้นมา ด้วยตบะของตน เกรงว่าคงมองเส้นสนกลในไม่ออก นอกจากนี้วิธีการกลืนกินสายฟ้า ขนาดป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ยังไม่รู้ว่าเป็นวิชาอะไร แล้วจะเอาไปบอกอีกฝ่ายได้ยังไง…

“คิดจะชักนำลิงเฒ่าผู้นี้ไม่ต้องใช้วิชา แค่ใช้พลังฟ้าดินก็พอแล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนขบคิด วิธีการกลืนสายฟ้าเขามิอาจหามาให้อีกฝ่ายได้ แต่หากจะให้สายฟ้าว่ายวนไปทั่วร่างเขารอบหนึ่งแล้วแปรเปลี่ยนมาเป็นพลังวิญญาณฟ้าดินที่ลิงเฒ่านี้ดูดซับได้ ถ้าเช่นนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีความมั่นใจว่าจะแลกเอาวิชาของอีกฝ่ายมาได้

แต่ว่าก่อนหน้าที่จะทำเช่นนั้นได้ เขาต้องเปลี่ยนโครงสร้างของสายฟ้านี่ให้ได้เสียก่อน ดังนั้นจึงตีหน้าเคร่ง ยังคงไม่สนใจบรรพบุรุษสายฟ้า เพียงหลับตาแล้วดูดเอาสายฟ้ารอบด้านมาอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็แอบทดลองไปด้วย

บรรพบุรุษสายฟ้ารออยู่นานแต่ก็ไม่เห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะมีท่าทางสนใจ ในใจจึงเริ่มคิดไม่ตกอีกครั้ง

และก็เป็นอย่างนี้จนผ่านไปอีกเจ็ดแปดวัน ป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงฝึกวิชาอย่างต่อเนื่อง ปราณของเขาก็ยิ่งไต่ทะยานไปด้วยความเร็วที่น่ากลัว สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ในคุกสายฟ้าแห่งนี้ก็คือสารบำรุงที่ดีที่สุดในการฝึกตนของเขา เวลาสั้นๆ เพียงแค่เจ็ดแปดวัน สายฟ้าที่ถูกเขากลืนเข้าไปก็มีมากนับหมื่นเส้นแล้ว

ลองมาคิดๆ ดู นี่เทียบเท่ากับการปิดด่านสามสิบปีของเขาเลยทีเดียว ความเร็วในการฝึกตนเช่นนี้ ต่อให้เป็นตัวป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ยังรู้สึกอกสั่นขวัญผวา ทั้งยังมีความรู้สึกราวกับว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริง

“หรือว่าสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าแห่งนี้เป็นสถานที่แห่งโชควาสนาของข้าจริงๆ!”

จิตวิญญาณของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นไหว สัมผัสได้ว่าหลังจากดูดดึงสายฟ้าเหล่านี้มา ตบะในร่างเขาได้ฝ่าทะลุขั้นที่หนึ่งของคาถาสุริยันจันทราฟ้าไพศาลไปนานแล้ว อีกทั้งแม้แต่ขั้นที่สองนี่ก็ยังขยับเข้าไปใกล้ขั้นสมบูรณ์แบบมากทุกขณะ

“หากคำนวณตามนี้ อีกเพียงครึ่งเดือน…ข้าก็จะสามารถฝ่าทะลุขั้นที่สอง เหยียบเข้าสู่จุดสูงสุดของคนฟ้าช่วงต้น ขั้นที่สามของคาถาสุริยันจันทราฟ้าไพศาล!!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้น ต่อให้ตอนนี้ครึ่งเทพของสายเหนือจะปล่อยตัวเขาออกไป เขาก็ยังต้องคิดหาวิธีพาตัวเองมาถูกขังอยู่ที่นี่ให้ได้อยู่ดี

“ข้ายังสามารถ…ฝ่าทะลุขั้นที่สามของคาถาสุริยันจันทราฟ้าไพศาลได้ที่นี่ ทำให้ตบะของตัวเองเปลี่ยนจากคนฟ้าช่วงต้น…เลื่อนไปยังคนฟ้าช่วงกลาง!!” พอคิดมาถึงตรงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกเพียงว่าเลือดร้อนๆ ทั่วร่างไหลรินเร็วขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย ลมหายใจก็หอบรัวด้วยความตื่นเต้น

“หากข้าเป็นคนฟ้าช่วงกลาง อวิ๋นเหลยจื่อจะนับกะผายลมอะไร!! เฝิงเฉินจะนับกะผีอะไรได้ ต่อให้คนฟ้าห้าคนของสายเหนือมารวมกัน ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังไม่กลัว!”

ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นประกายระยิบระยับ หลังจากในสมองมีภาพจินตนาการที่งดงามเช่นนี้ลอยขึ้นมา สายตาของเขาที่หันไปมองสายฟ้ารอบด้านก็มีความหลงใหลที่บ้าคลั่งปรากฏขึ้น

ขณะเดียวกันในเวลาเจ็ดแปดวันนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ทดลองสลายปราณแห่งการทำลายล้างจากในสายฟ้าที่ดูดซับมา เพื่อให้มันเหลือเพียงพลังฟ้าดินอยู่หลายครั้ง แม้ว่าในสิบเส้นจะมีแค่เส้นเดียวที่ทำสำเร็จ อีกทั้งพลังฟ้าดินที่ซ่อนอยู่ด้านในก็มีไม่มาก แต่ก็ถือว่าพอจะทำได้สำเร็จอย่างกล้อมแกล้ม

“น้องชาย…” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังตื่นเต้น บรรพบุรุษสายฟ้าที่ถูกขังอยู่ไม่ไกลซึ่งคิดไม่ตกมาเจ็ดแปดวันก็อดเปิดปากอีกครั้งไม่ไหว นั่นเป็นเพราะหลายวันมานี้เขาต้องคอยมองป๋ายเสี่ยวฉุนกลืนกินสายฟ้าเส้นแล้วเส้นเล่า เห็นว่าปราณของอีกฝ่ายแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เขาก็ให้รู้สึกอิจฉาสุดขีด ความรู้สึกนั้นสร้างความคันยิบๆ ในหัวใจ ทำเอาเขาแทบบ้า

“น้องชายเจ้าฟังข้าพูดหน่อย พวกเรามาแลกเปลี่ยนวิชากันดีไหม เจ้าสอนวิธีกลืนสายฟ้าให้กับข้า ส่วนข้าก็จะสอนวิชาบรรพจารย์อวิ๋นเหลยสิบเอ็ดแปรเปลี่ยนให้กับเจ้า!”

“ไม่สนใจ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงดูดซับสายฟ้าต่อไปโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตาด้วยซ้ำ

“เจ้า…ที่ข้านี่เป็นวิชาลับที่ไม่สืบทอดต่อกันเลยนะ ตลอดทั้งแผ่นดินทงเทียนก็มีแค่ไม่กี่วิชาที่เทียบเคียงกับมันได้!” บรรพบุรุษสายฟ้ายิ่งร้อนใจ รีบพูดรัวเร็ว

“บอกแล้วว่าไม่สนใจ เจ้าช่วยอยู่เงียบๆ หน่อยจะได้ไหม? วิธีกลืนสายฟ้าเจ้าไม่ต้องหวังแล้ว ไม่มีทาง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้ว หลังจากเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดก็กลืนสายฟ้าของตัวเองต่อไป

ในใจบรรพบุรุษสายฟ้าเริ่มด่าลามไปยันบุพการีของอีกฝ่ายแล้ว ตัดสินใจว่าต้องเล่นลูกไม้ตุกติกในคาถานั้นสักหน่อย ในสถานการณ์ที่คนผู้นี้มองไม่ออก เขาต้องทำให้อีกฝ่ายฝึกไปได้ถึงระดับหนึ่งแล้วร่างกายแตกแยกจนมิอาจแก้ไขได้ ในใจคิดเช่นนี้ ทว่าภายนอกกลับได้แค่ฝืนเค้นรอยยิ้มออกมา ความคิดหมุนวนเร็วจี๋

เขามองออกแล้วว่าไม่ใช่อีกฝ่ายไม่สนใจในวิชาของตน แต่ให้ความสำคัญกับวิชาสายฟ้าของตัวเองมากเกินไปจึงไม่มีทางเอามาแลกเปลี่ยนกับตน

และเขาเองก็ไม่มีสิ่งใดมาแลกเปลี่ยนได้แล้วจริงๆ หลังจากกัดฟันกรอด บรรพบุรุษสายฟ้าก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“ข้าไม่ต้องการวิชากลืนสายฟ้าแล้วก็ได้ แต่เจ้า…เจ้าช่วยเอาพลังฟ้าดินที่แฝงเร้นอยู่ในสายฟ้าเหล่านั้นมอบให้ข้าสักหน่อย ได้หรือไม่? แล้วข้าจะแลกด้วยวิชาของข้า!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันหวั่นไหว ทว่าภายนอกกลับยังแสร้งทำท่าไม่สนใจ ไม่คิดจะหันมามอง จนกระทั่งบรรพบุรุษสายฟ้าพูดอึกๆ อักๆ ออกมาอีกสองสามประโยค

ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้เงยหน้าแล้วโบกมือขวาอย่างไม่ใส่ใจหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นสายฟ้าเส้นหนึ่งก็ถูกเขาสูดเข้าไปในร่าง พอมันว่ายวนไปทั่วร่างของเขาแล้วหนึ่งรอบ พลังการทำลายล้างหายไป สายฟ้าเส้นนั้นก็ไหลออกจากมือขวาของเขามาอยู่ด้านนอก

“แม้ว่าข้าจะสนใจวิชานั้นอยู่บ้าง แต่กลับไม่มีเวลามาฝึก เจ้าก็แค่ต้องการดูดซับสายฟ้าไม่ใช่หรือ ให้เจ้าเส้นหนึ่งแล้วหุบปากให้ข้าซะ อยู่เงียบๆ อย่ามารบกวนข้าอีก” ป๋ายเสี่ยวฉุนกล่าวอย่างหงุดหงิดพลางโยนสายฟ้าออกมาอย่างเย่อหยิ่งราวให้ทาน

เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง สายฟ้านี่ก็ลอดทะลวงตราผนึก เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งก็มาโผล่อยู่ตรงหน้าบรรพบุรุษสายฟ้าแล้ว บรรพบุรุษสายฟ้าตะลึงงัน ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าพลังฟ้าดินที่ตนคิดแทบล้มประดาตายเพื่อแลกเปลี่ยนมันมา จู่ๆ อีกฝ่ายจะโยนมาให้ตนอย่างไม่ใส่ใจเช่นนี้ อีกทั้งป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่ต้องการวิชาของตน แค่ให้ตนอย่าไปรบกวนเขาอีกเท่านั้น

ไม่มีเวลามามัวคิดมาก ด้วยสายตาที่แหลมคมของบรรพบุรุษสายฟ้าย่อมมองออกถึงความแตกต่างของสายฟ้าเส้นนี้ เขาจึงพลันดูดสวบเข้าปาก ทันใดนั้นสายฟ้านี้ก็ถูกเขาดูดเข้าไปในร่าง พริบตาเดียวเสียงลั่นเปรี๊ยะๆ ก็ดังออกมาจากในร่างของบรรพบุรุษสายฟ้า เรือนกายที่แห้งเหี่ยวของเขากลับเกิดแสงแวววาว

แม้ว่าในสายฟ้าเส้นนี้จะมีพลังฟ้าดินอยู่ไม่มาก แต่สำหรับบรรพบุรุษสายฟ้าที่ไม่มีพลังฟ้าดินไหลเวียนในร่างมานับหมื่นปีแล้ว ความรู้สึกงดงามมหัศจรรย์จากพลังวิญญาณนี่กลับทำให้เขาตัวสั่นด้วยความตื่นเต้นอย่างห้ามไม่ได้

“น้องชาย…”

“เจ้าหยุดกวนใจข้าสักทีได้ไหม…ห๊า!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนแสร้งทำเป็นเดือดดาล พอเงยหน้าขึ้นก็โยนสายฟ้าที่ดูดซับได้เส้นหนึ่งออกมา

บรรพบุรุษสายฟ้าหุบปากฉับทันใด กลัวว่าจะทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนโมโหเลยรีบดูดซับมา ครั้งนี้เขายิ่งตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ ได้แต่มองป๋ายเสี่ยวฉุนตาปริบๆ รอคอยอยู่เงียบๆ แต่จนกระทั่งผ่านไปได้สามวันห้าวัน หลังจากที่เห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ใยดีตน บรรพบุรุษสายฟ้าก็ร้อนใจขึ้นมาครามครัน

หากเป็นตอนที่ยังไม่ได้รับพลังฟ้าดินมา แม้เขาจะอิจฉา แต่ก็ยังพอจะควบคุมตัวเองได้บ้าง แต่ตอนนี้พอได้ลิ้มรสความหวานล้ำแล้ว ความรู้สึกยามปราณวิญญาณไหลผ่านร่างของตัวเองทำให้ความกระหายที่เขามีต่อพลังฟ้าดินรุนแรงยิ่งกว่าที่เคยเป็นหลายต่อหลายเท่า

“คือว่า…” บรรพบุรุษสายฟ้าเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง พอคำพูดดังออกจากปากเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ลืมตาขึ้นอย่างระอาใจ แล้วก็โยนสายฟ้าออกไปอีกเส้นหนึ่ง และก็เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนผ่านไปได้ครึ่งเดือน

เมื่อรวมๆ กันดูแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ให้สายฟ้ากับบรรพบุรุษสายฟ้าไปทั้งหมดแปดเส้น ความปรารถนาในแต่ละครั้งของบรรพบุรุษสายฟ้าก็ยิ่งไต่ทะยานไปถึงจุดสูงสุด ในใจก็ให้ปลงอนิจจัง วิชาอภินิหารที่ตนมองเป็นสมบัติล้ำค่า เกรงว่าอีกฝ่ายคงจะไม่สนใจเข้าจริงๆ

หาไม่แล้วเหตุใดอีกฝ่ายถึงไม่เคยถามถึงแม้แต่คำเดียว เอาแต่บอกให้ตนหุบปากแล้วโยนสายฟ้ามาให้แปดเส้น ท่าทางเหมือนคนร่ำรวยใจกว้างของอีกฝ่ายนั้น ทำให้บรรพบุรุษสายฟ้ารู้สึกว่าเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ตนเป็นราวกับขอทานก็ไม่ปาน

และในครึ่งเดือนมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้ฝ่าทะลุขั้นที่สอง จนเลื่อนสู่ขั้นที่สามของคาถาสุริยันจันทราฟ้าไพศาลแล้วเช่นกัน ปราณของเขาจึงแข็งแกร่งมากขึ้น ขณะเดียวกันเขาก็เริ่มครุ่นคิดถึงวิชาบรรพจารย์อวิ๋นเหลยสิบเอ็ดแปรเปลี่ยนของบรรพบุรุษสายฟ้าแล้ว

ดังนั้นวันนี้ หลังจากที่เขามอบสายฟ้าอีกเส้นหนึ่งให้กับบรรพบุรุษสายฟ้าแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็แสร้งถามเหมือนไม่ใส่ใจ

“เจ้าลิงเฒ่า เจ้าชอบคุยโวว่าบรรพจารย์อวิ๋นเหลยร้อยแปรเปลี่ยนอะไรนั่นร้ายกาจอย่างนั้นอย่างนี้ ไหนลองพูดถึงความเป็นมาของมันให้ข้าฟังหน่อยสิ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version