Skip to content

A Will Eternal 979

บทที่ 979 ข้าผู้อาวุโสจะฉีกหนังเจ้า

ที่ราบน้ำแข็งที่อยู่ลึกเข้าไปในแม่น้ำทงเทียนสายเหนือถล่มครืนลงไปเป็นแถบ ขอบเขตของการถล่มนี้ไม่ใช่เล็กๆ ทั้งยังแผ่ลามไปทั่วทิศ ชั้นน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วนแตกกระจาย

เวลาสั้นๆ เพียงแค่หนึ่งวันก็กลายมาเป็นโพรงน้ำแข็งขนาดมหึมาโพรงหนึ่ง

ทอดสายตามองไปก็ราวกับว่ามีหมัดของยักษ์ตนหนึ่งต่อยลงมาบนเทือกเขาน้ำแข็ง ทำให้พื้นที่ราบกลายมาเป็นเหมือนบาดแผลขนาดใหญ่น่าอกสั่นขวัญผวา

อีกทั้งยังส่งผลกระทบไปทั่วพื้นที่ที่อยู่รอบด้าน จึงได้รับความสนใจจากสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าเป็นพิเศษ ไม่เพียงแต่พวกอวิ๋นเหลยจื่อเท่านั้นที่มาเยือน แม้แต่ครึ่งเทพสายเหนือก็ยังมาที่นี่ด้วยตัวเอง

แต่ไม่ว่าพวกเขาจะค้นหาไปทั่วบริเวณอย่างละเอียดแค่ไหนก็ยังไม่เจอเบาะแสหรือเส้นสนกลในใดๆ ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกดูดหายไปพร้อมกับน้ำวนก่อนหน้านี้หมดแล้ว

“ช่างเป็นช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายจริงๆ …” สุดท้ายครึ่งเทพสายเหนือก็ได้แต่ถอนหายใจส่ายหน้า หากเปลี่ยนมาเป็นเวลาอื่น บางทีเขาอาจจะมีกะใจที่จะทุ่มเทแรงกายและเวลาสืบหาสาเหตุที่ทำให้พื้นที่ราบน้ำแข็งแถบนี้พังถล่ม แต่ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์นั้นอีกแล้ว

เมื่อเงยหน้าขึ้น เขาก็มองไปยังทิศทางของเกาะทงเทียน พักใหญ่ถึงย้ายสายตาไปยังทิศทางของแดนทุรกันดาร จุดลึกในดวงตาแฝงความเหนื่อยล้าไว้เสี้ยวหนึ่ง

อันที่จริงนับตั้งแต่การประลองรับลูกศิษย์ของเทียนจุนสิ้นสุดลง ในใจเขาก็เริ่มไม่พอใจในตัวเทียนจุนบ้างแล้ว หาไม่แล้วก็คงไม่มีทางพูดใส่หน้าตู้หลิงเฟยว่าที่นี่คือแม่น้ำสายเหนือ

แต่ต่อให้ไม่พอใจแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถแสดงออกต่อหน้าเทียนจุนได้ กระนั้นเขาก็เข้าใจดีว่าผู้ที่ไม่พอใจไม่ได้มีเพียงตนเท่านั้น และเขาก็ยิ่งรู้ดีว่า…ด้วยนิสัยของเทียนจุน หลังจากพ่ายแพ้ในศึกไร้เทียมทานที่แดนทุรกันดาร ซ้ำร้ายเรือกระดูกนั่นยังจากไปได้สำเร็จ ตอนนี้เกรงว่าที่เหลืออยู่ตรงหน้าเขา…คงมีหนทางเดียวแล้ว

“บางทีสงคราม…คงใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว” ครึ่งเทพสายเหนือพึมพำ ก่อนจะถอนหายใจแล้วหมุนกายจากไป

เมื่อคนของสายเหนือพากันจากไป พื้นที่ราบน้ำแข็งที่ยุบถล่มก็ค่อยๆ กลับคืนสู่ความสงบ หิมะโปรยปรายลงมากลบทับอีกครั้ง บางทีผ่านไปอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทุกอย่างที่เคยปรากฏอยู่ตรงนี้ก็อาจจะถูกกลบฝังไว้ใต้หิมะน้ำแข็งอีกครั้ง ต่อให้เป็นรอยแตกบนพื้นดินก็ย่อมต้องค่อยๆ ประสานตัวเข้าด้วยกัน

เบื้องใต้พื้นที่ราบน้ำแข็ง จุดที่ลึกราวกับไร้ที่สิ้นสุด ต่อให้เป็นครึ่งเทพ หรือแม้แต่เทียนจุนมาเองก็ยังยากจะสัมผัสได้ว่าด้านในสมบัติแห่งโลกชิ้นนี้กลับยังมีโลกอีกใบหนึ่งดำรงอยู่

สมบัติอาคมขนาดใหญ่ยักษ์ที่ใช้พื้นที่ตลอดทั้งแม่น้ำสายเหนือเป็นเรือนกายตัวเองนี้ ภายในของมันใหญ่มาก อาจพูดไม่ได้ว่าเท่ากับแม่น้ำสายเหนือ แต่อย่างน้อยก็ใหญ่ได้ถึงสามส่วนของแม่น้ำสายเหนือ

พื้นที่ตรงกลางมีน้ำแข็งปกคลุมเฉกเช่นแม่น้ำสายเหนือ ทว่าทิศตะวันออกกลับเป็นมหาสมุทรผืนใหญ่ น้ำของมหาสมุทรแห่งนี้ไม่ใช่สีคราม แต่เป็นเหมือนน้ำฝน อีกทั้งบนท้องฟ้ายังมีฝนกระหน่ำซัดลงมาอยู่เป็นระยะ

ทว่าในมหาสมุทรฝนแห่งนี้กลับไม่มีสายฟ้าอยู่แม้แต่เส้นเดียว มีเพียงพายุฝนที่ตกจั๊กๆ ลงมาราวกับไม่มีวันหยุดพัก ทำให้น้ำของมหาสมุทรยิ่งเพิ่มพูนแผ่ไพศาลไปตามกาลเวลา…

ตะวันออกมีมหาสมุทร ส่วนตะวันตกก็เป็นมหาสมุทรเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าที่นั่นคือทะเลเพลิงที่เปลวไฟลุกท่วมเทียมฟ้า สาดสะท้อนให้ผืนนภาเกือบครึ่งกลายเป็นสีแดงฉาน ไอร้อนระอุไปทั่วด้าน หากยืนอยู่บนที่สูงแล้วมองลงไปจะเห็นได้ว่าอาณาเขตของทะเลเพลิงฝั่งตะวันตกนี้แทบไม่ต่างไปจากขนาดของทะเลฝนของทิศตะวันออกเท่าใดนัก

แผ่นดินของที่นั่น หรือแม้แต่แผ่นฟ้าก็ล้วนถูกไฟเผาไหม้ เปลวเพลิงลุกโชติช่วงชัชวาล เมื่อเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน อานุภาพนั้นก็มากพอจะเขย่าคลอนจิตวิญญาณของทุกคนที่เห็นเป็นครั้งแรกได้!

ที่น่าประหลาดก็คือ ไม่เพียงแต่ทะเลของตะวันออกและตะวันตกเท่านั้น ทิศเหนือ ทิศใต้สองฝั่งยังมีเมฆสายฟ้าและหุบเขาวายุด้วย!

พื้นที่ของทิศใต้ ผืนแผ่นดินแห้งแล้ง ที่นี่ไม่มีเปลวเพลิงลุกไหม้ ที่พื้นดินของที่แห่งนี้แห้งขอดก็เพราะบนท้องฟ้าคือเมฆสายฟ้าที่แผ่เป็นผืนใหญ่ราวกับไร้ที่สิ้นสุด ในเมฆสายฟ้าจะต้องมีสายฟ้าหลายเส้นผ่าเปรี้ยงลงมาทุกเวลานาที มองไกลๆ สายฟ้าพวกนั้นมีมากจนน่าพรั่นพรึงยิ่งกว่าสายฟ้าเมฆดำของสำนักอสนีเสียอีก

สายฟ้าทุกเส้นคล้ายจะแฝงเร้นพลังงานน่าตะลึงเอาไว้ ทำให้ผืนดินที่ถูกสายฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาอย่างต่อเนื่องนี้แห้งขอดจนเหมือนจะระเบิดกระจายได้ทุกเมื่อ

พื้นที่ฝั่งทิศเหนือมีเทือกเขาหลายเส้นที่ทอดยาวราวกระดูกสันหลังของมังกร เทือกเขาเหล่านี้ตัดสลับกันจึงกลายมาเป็นหุบเขาหลายแห่ง ไม่รู้ว่าทำไมในหุบเขาเหล่านั้นถึงมีลมพายุกระโชกแรงก่อตัวขึ้นมา เป็นเหตุให้ทั่วพื้นที่ของทิศเหนือกลายมาเป็นหุบเขาแห่งลม

เสียงลมของที่นั่นพัดอื้ออึง ทำให้คนฟังสั่นสะท้านไปยันจิตวิญญาณ โดยเฉพาะพอมองเห็นภูเขาโล้นเตียนของทิศเหนือแล้ว

ในสมองของคนมองก็จะต้องมีภาพที่ลมพายุพวกนั้นพัดกระชากเอาทุกบุคคลและทุกสรรพสิ่งที่อยู่ภายในให้แหลกลาญเป็นผุยผงลอยขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

เมื่อเทียบกับภาพน่าตะลึงพรึงเพริดของสี่ทิศแล้ว พื้นที่ราบน้ำแข็งที่อยู่ตรงกลางจึงดูอ่อนโยนกว่ามากมายหลายเท่าตัว ยามนี้บนพื้นที่ราบน้ำแข็ง มีเงาร่างหนึ่งกำลังห้อทะยานไปเบื้องหน้าด้วยอาการตัวสั่นเทิ้ม เดี๋ยวก็เคลื่อนที่ด้วยความเร็วแสง เดี๋ยวก็มองประเมินไปรอบด้าน สีหน้าเต็มไปด้วยความตึงเครียดและกระวนกระวาย เขาก็คือ…ป๋ายเสี่ยวฉุน

“บุรพาจารย์หันเหมิน เจ้าหลอกข้า!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าหงิกงอ หัวใจเต้นกระตุกวาบๆ ไม่หยุด เมื่อสองวันก่อนเขาถูกดูดเข้ามาที่นี่ ยังดีที่แม้จะเข้ามาพร้อมกับใบหน้าผี ทว่าพอมาถึงแล้วกลับร่วงกันไปคนละตำแหน่ง

และวิชาพิฆาตเทพของเขาก็หายไปหลังจากที่เข้ามาที่นี่ได้ไม่นาน สติของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงหวนคืนกลับมา ใจเขาอยากจะหาที่ซ่อนตัว แต่กลับรู้สึกว่าไม่ปลอดภัยมากพอ ดังนั้นจึงหนีออกมาข้างนอกอย่างระมัดระวัง ทว่าพอเวลาผ่านไปได้สองวัน เมื่อเขาค่อยๆ เข้าใจโลกใบนี้มากขึ้น อารมณ์ของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มิอาจสงบสุขได้อีกต่อไป

“ที่นี่มีพลังฟ้าดินที่สั่งสมมายาวนานเสียที่ไหน บุรพาจารย์หันเหมิน เจ้าโกหก!!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนเจ็บแค้น ทั้งยังอัดอั้นตันใจถึงขีดสุด ก่อนหน้านี้เขาเปลืองแรงไปตั้งมากมายเพื่อช่วยเหลืออีกฝ่าย ทั้งยังยอมสู้กับผีร้ายที่น่ากลัวนั่นก็เพราะหวังว่าจะได้อาศัยพลังของฟ้าดินในสมบัติอาคมชิ้นนี้มาฝึกตน

แต่พอเข้ามาในโลกของสมบัติอาคม แล้วเห็นว่ารอบด้านไม่มีพลังฟ้าดินอยู่แม้แต่เสี้ยวเดียว ซ้ำร้ายใบหน้าผียังอยู่ที่นี่ด้วย พอนึกถึงว่าหากเจอกันขึ้นมา คงยากที่ตนจะรักษาชีวิตน้อยๆ ไว้ได้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ใกล้บ้าเต็มที

“บุรพาจารย์หันเหมิน เจ้าอย่าทำเป็นแกล้งตายนะ ออกมาเดี๋ยวนี้!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งคิดยิ่งคับแค้น โดยเฉพาะความประหลาดของที่นี่ซึ่งทำให้เขามิอาจใช้การหายตัวได้ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจำต้องเค้นเสียงคำรามออกมาเบาๆ ตั้งแต่สองวันก่อนที่ถูกดูดเข้ามาที่นี่ จิตสำนึกของทารกหญิงก็ไม่เคยปรากฏขึ้นอีกเลย ไม่ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะร้องเรียกอยู่ในใจแค่ไหน อีกฝ่ายก็ไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย

นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนซึ่งเดิมทีก็อัดอั้นอยู่แล้วยิ่งโมโหหนักเข้าไปอีก แต่เขากลับดันไม่กล้าตะโกนดังเกินไปนัก ต่อให้ตอนนี้จะคำรามออกมา ก็ยังใช้แรงไม่ถึงครึ่ง

“เรื่องนี้ข้าจะเอาไปบอกคนเฝ้าสุสานแน่ แล้วก็จะบอกลูกศิษย์ของข้าด้วย ใช่แล้ว ข้ายังจะเอาไปฟ้องเทียนจุนด้วย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสบถพึมด้วยความหงุดหงิด สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจยาวๆ แล้วทะยานไปข้างหน้าด้วยความระมัดระวัง

ทว่าต่อให้เขาจะไม่อยากเจอกับใบหน้าผีหัวเราะร้องไห้แค่ไหน แต่พื้นที่ราบน้ำแข็งก็ใหญ่แค่นี้ ที่สองวันก่อนเขาไม่เจออีกฝ่ายก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว วันที่สามขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนซึ่งหน้านิ่วคิ้วขมวดกำลังเคลื่อนหน้าไปอย่างระแวดระวังนั้นเอง จู่ๆ วิกฤตอันตรายขุมหนึ่งที่โผล่ออกมาก็ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ร้องคร่ำครวญในใจ หมุนตัวได้ก็เผ่นหนีทันที

บนท้องฟ้าที่ห่างออกไปไกลพลันมีควันดำเข้มข้นผืนหนึ่งซัดตลบหลุนๆ เข้ามา ด้านในควันดำผืนนั้นมีใบหน้าผีขนาดใหญ่ยักษ์ที่กำลังมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยรอยยิ้มเยียบเย็น คล้ายเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนนานแล้ว เพียงแต่เป็นเพราะตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มากพอถึงเพิ่งจะเห็นมัน

“ไอ้ลูกหมา เจ้าทำลายเรื่องดีๆ ของข้าผู้อาวุโส ไม่ฉีกหนังเจ้ามาทำเป็นว่าว ข้าผู้อาวุโสก็ไม่หายแค้น!” เสียงเย็นเยียบอึมครึมดังออกมาจากในใบหน้าผี ควันดำกลิ้งซัดอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ไล่ล่าไปหาป๋ายเสี่ยวฉุน

“ผู้อาวุโสใบหน้าผีโปรดฟังข้าอธิบายก่อน ข้าเองก็เป็นผู้รับเคราะห์เหมือนกันนะ บุรพาจารย์หันเหมินทำเกินไปแล้วจริงๆ พวกเรามาร่วมมือกันได้นะ!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนผงะตกใจ ขณะที่เผ่นหนีก็รีบตะโกนเสียงดังไปด้วย ทว่าเสียงเขาเพิ่งดังออกไป ใบหน้าผีกลับอ้าปากกว้าง ทันใดนั้นควันดำที่คล้ายลอดทะลวงความว่างเปล่าก็มาโผล่อยู่เหนือศีรษะป๋ายเสี่ยวฉุน ครั้นจึงกลายมาเป็นปากใหญ่น่าสะพรึงกลัวที่อ้ากว้างแล้วเขมือบเข้ามาหาเขา

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเหมือนหนังหัวจะระเบิด ไม่มีเวลามามัวคิดมาก ตบะทุกด้านปะทุหมายต้านทานอย่างเต็มกำลัง ทว่าเวลานี้เอง จู่ๆ หูของเขาก็มีเสียงเร่งเร้าของบุรพาจารย์หันเหมินดังมาในที่สุด

“ผ่อนคลายจิตใจ ข้าจะช่วยให้เจ้าหนี!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง แล้วก็สัมผัสได้ทันทีว่าฟ้าดินที่อยู่รอบด้านคล้ายจะมีพลังการนำส่งขุมหนึ่งที่พุ่งเข้ามาปกคลุมทั่วร่างของตน แทบจะเวลาเดียวกับที่ปากของใบหน้าผีเขมือบลงมา เสียงตูมก็พลันดังสนั่นหวั่นไหวจากรอบกายป๋ายเสี่ยวฉุน ประกายแสงเปล่งวูบวาบ นาทีถัดมาร่างของเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งก็มาอยู่ไกลพันลี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนเตรียมพรูลมหายใจอย่างโล่งอก แต่เพิ่งจะอ้าปาก พริบตาเดียวรอบกายเขาก็มีพลังนำส่งเกิดขึ้นอีกครั้ง เสียงตูมดังลั่น ร่างของเขาก็หายวับไปอีก

แทบจะเวลาเดียวกันกับที่เขาหายตัวไป ความว่างเปล่าของที่แห่งนี้ก็เหมือนถูกฉีกกระชาก เสียงอึกทึกกึกก้อง ใบหน้าผีไล่ตามมาทัน พอเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนถูกนำส่งหายไปอีกครั้ง ใบหน้าผีก็แผดเสียงคำราม

“คิดหนีรึ?!!” ใบหน้าผีหายเข้าไปในความว่างเปล่าเพียงชั่วพริบตา ไล่กวดตามไปติดๆ ไม่นานเสียงคำรามของใบหน้าผีก็ยิ่งฉุนเฉียว นั่นเป็นเพราะแม้มันจะสามารถหายตัวได้เมื่ออยู่ที่นี่ แต่กลับเจอพลังสกัดกั้นอย่างรุนแรง

ตอนนี้พอไล่กวดตามไปติดกันสองสามครั้ง สุดท้ายก็ตามป๋ายเสี่ยวฉุนไปไม่ทัน นี่จึงทำให้มันเดือดดาลจนยากจะระงับอารมณ์

“กำจัดไอ้ลูกหมานั่นเป็นเพียงเรื่องรอง ที่สำคัญที่สุดก็คือช่วงชิงอำนาจในการควบคุมสมบัติอาคมชิ้นนี้!” เมื่อเห็นว่าเว้นเสียแต่จะใช้วิธีการที่พิเศษ หาไม่แล้วก็คงไม่สามารถไล่ตามป๋ายเสี่ยวฉุนได้ในเวลาสั้นๆ ใบหน้าผีจึงไม่ไล่ตามอีกต่อไป แต่สะบัดร่างพุ่งหายเข้าไปในความว่างเปล่า หวังจะไปครุ่นคิดหาวิธีว่าจะช่วงชิงสมบัติอาคมมาเป็นของตนได้อย่างไร!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version