บทที่ 98 คัมภีร์มังกรคชสารแปลงมหาสมุทร
ศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจครั้งนี้ทำความปรารถนาของจางต้าพั่งให้กลายเป็นจริง…ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่ตอนที่พวกเจ้าสำนักมองไปยังจางต้าพั่งก็ยังประหลาดใจ โดยเฉพาะเจ้าสำนักที่หลังจากมองไปร่างก็สั่นเยือกขึ้นวูบหนึ่ง
“พลังจิต!!” สีหน้าเขาจริงจัง เมื่อพูดออกมา ผู้อาวุโสและท่านผู้นำที่อยู่รอบด้านแต่ละคนล้วนอึ้งงัน หลังจากที่มองไปอย่างละเอียด ดวงตาก็เปล่งประกายวาบ
สวีเหม่ยเซียงพาหลู่เทียนเหล่ยไปรักษาตัวยังไม่กลับมา มิเช่นนั้นเวลานี้นางคงต้องแปลกใจมากอย่างแน่นอน
“ต้าพั่งเด็กคนนี้ถูกศิษย์น้องหญิงเหม่ยเซียงพาขึ้นเขามาตั้งแต่เด็ก วันนี้ในที่สุดก็มองเห็นอนาคตได้เสียที หลอมพลังจิตต้องปลูกฝังจิต จิตแข็งแกร่งพลังจิตก็แข็งแกร่ง วันหน้าต้องปลูกฝังอบรมเด็กผู้นี้อย่างหนัก!” เจ้าสำนักปลื้มปิติ เอ่ยปากเนิบช้า
“พูดขึ้นมาแล้ว นังหนูชิงโหรวนั่นก็ไม่เลว แม้จะสู้เทียนโย่วไม่ได้ แต่ก็มีวาสนาของตัวเอง นางมีชะตาต้องกับกระบี่พิทักษ์ขุนเขาแห่งเขาชิงเฟิงของเรา ตอนนี้กำลังทำความเข้าใจและตระหนักรู้ถึงมันอยู่ในถ้ำของเขาชิงเฟิงเรา หากทำสำเร็จ บางทีวันข้างหน้าเขาชิงเฟิงของข้าก็จะได้มีผู้พิทักษ์กระบี่วิเศษเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน!” ผู้นำของเขาชิงเฟิงกล่าวพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ
เวทีประลองเบื้องล่าง ขณะที่ชายฝั่งทิศใต้ไชโยโห่ร้องอย่างมีความสุข ชายฝั่งทิศเหนือเงียบงัน ศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจครั้งนี้ก็ได้สิ้นสุดลง เจ้าสำนักประกาศผลการประลอง
ป๋ายเสี่ยวฉุนได้เป็นผู้ครอบครองอันดับหนึ่งของศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจฝ่ายนอกชายฝั่งเหนือใต้! ด้วยสถานะเช่นนี้ทำให้ได้เลื่อนขั้นเข้าเป็นศิษย์ฝ่ายใน!
ของรางวัลคือมีสิทธิ์เลือกของวิเศษสำหรับขั้นรวมลมปราณที่หอเขาสวรรค์แห่งภูเขาจ้งเต้าได้หนึ่งชิ้น!
ขณะเดียวกันก็ได้รางวัลเป็นโอกาสในการเข้าไปยังสถานที่ลึกลับของสำนักธาราเทพ เพื่อสัมผัสกับสิ่งปาฏิหาริย์หนึ่งครั้ง! เพียงแต่ว่าโอกาสครั้งนี้หากนำมาใช้ตอนอยู่ขั้นรวมลมปราณออกจะสิ้นเปลืองไปสักหน่อย ลูกศิษย์ที่สามารถคว้าที่หนึ่งมาได้ย่อมฝึกได้ถึงขั้นสร้างฐานราก ดังนั้นเมื่อนำไปใช้ในช่วงขั้นสร้างฐานราก ประสิทธิผลในการทำความเข้าใจและตระหนักรู้ถึงจะดีที่สุด
สุดท้ายยังมีหินวิเศษหนึ่งหมื่นก้อนเป็นของรางวัลด้วย!
เวลาเดียวกันนี้ เจิ้งหย่วนตงก็ได้มอบรางวัลแด่ลูกศิษย์สิบคนสุดท้าย โดยให้สมญานามว่าเป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ เลื่อนขั้นเป็นศิษย์ฝ่ายใน เมื่อเสร็จสิ้นทุกคนถึงได้ค่อยๆ แยกย้ายกันไป
ชายฝั่งทิศเหนือเศร้าซึม ชายฝั่งทิศใต้ฮึกเหิม ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจเหล่านั้นก็ยิ่งรู้สึกซับซ้อน กุ่ยหยาจ้องมองแผ่นหลังของป๋ายเสี่ยวฉุนเขม็ง สูดลมหายใจเข้าลึก ยังคงไม่ยินยอมเช่นเดิม แล้วจึงหมุนกายจากไป
ส่วนศิษย์แห่งความภาคภูมิใจคนอื่นๆ ของชายฝั่งทิศเหนือ พี่น้องกงซุนก็กำหมัดแน่นเช่นกัน ยังมีสวีซงที่รู้สึกไม่ต่างกัน พวกเขาล้วนตัดสินใจแล้วว่าเมื่อกลับภูเขาไปจะปิดด่านทันที!
ส่วนชายฝั่งทิศใต้ โจวซินก็รู้สึกว่านี่ไม่เหมือนความจริงเท่าไหร่นัก ครั้นมองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน สีหน้าของนางงุนงงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับนาง ผู้ที่คิดว่าทั้งหมดนี้ยิ่งไม่ใช่เรื่องจริงก็คือซ่างกวานเทียนโย่ว
เขาเซื่องซึมไปหมด รอบด้านแทบจะไม่มีใครมองเขา ภาพที่เขาเป็นฝ่ายลอบโจมตีได้กลายเป็นความอัปยศอย่างหนึ่งที่ทิ้งเอาไว้ในใจของทุกคนในชายฝั่งทิศใต้ไปตลอดกาล
ซ่างกวานเทียนโย่วหัวเราะสมเพชตนเองหนึ่งทีก่อนจะกำหมัดแน่น
‘นี่เพิ่งจะขั้นรวมลมปราณเท่านั้น สร้างฐานราก…ข้าจะต้องเป็นคนแรกที่ถึงขั้นสร้างฐานรากให้ได้ อยู่เหนือป๋ายเสี่ยวฉุน อยู่เหนือกุ่ยหยา!’ ซ่างกวานเทียนโย่วพกพาการตัดสินใจอันเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ไว้ แข็งใจยืนหยัดในความหยิ่งยโสของตน กลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาวจากไปไกล
ไม่นานกลุ่มคนก็สลายตัวกันไปหมด แม้ว่าศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจจะสิ้นสุดลง แต่ผลกระทบที่เกิดจากศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจครั้งนี้กลับเพิ่งเริ่มต้นขึ้น
นับตั้งแต่ยามนี้ ชื่อของป๋ายเสี่ยวฉุนได้เผยแพร่ไปทั่วชายฝั่งเหนือใต้ โดยเฉพาะชายฝั่งทิศเหนือ ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของเขา แต่ชื่อของเขากลับกลายเป็นสิ่งต้องห้าม!
นั่นคือศัตรูร่วมของชายฝั่งทิศเหนือ คือคนไร้ยางอายที่สร้างความอัปยศให้แก่ชายฝั่งทิศเหนือ!
โดยเฉพาะเป่ยหันเลี่ยที่หลังจากถูกอาจารย์พากลับภูเขาก็ปิดด่านทันที ไม่มีหน้าไปพบเจอใคร ส่วนสุนัขใหญ่ตัวนั้นก็ถูกเขาตัดพันธะสัญญา เอาไปทิ้งไว้ที่ชายฝั่งทิศเหนือ ละทิ้งสิทธิ์ในการครอบครองไป
แม้ว่าสัตว์รัตติกาลตัวนี้จะไม่ธรรมดา แต่กลับไม่มีใครกล้าเข้าควบคุม ซึ่งก็ทำให้สุนัขใหญ่ตัวนั้นแทบจะกลายเป็นหมาเร่ร่อน บนเขาทั้งสี่ของชายฝั่งทิศเหนือก็พอได้เห็นร่างของมันบ้างในบางครั้ง…
ลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือจำนวนมากล้วนฝึกบำเพ็ญตบะกันอย่างบ้าคลั่ง แต่ละคนล้วนข่มกลั้นโทสะ ต่างพากันสาบานว่าสักวันจะให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจ่ายค่าตอบแทนอย่างสาสม ใช้เลือดล้างความอัปยศ!
ทางชายฝั่งทิศเหนือถึงขั้นมีการจัดตั้งกลุ่มหนึ่งขึ้นมา ชื่อว่าพันธมิตรกำจัดฉุน ภารภิจของกลุ่มนี้ก็คือกำจัดป๋ายเสี่ยวฉุน!
ส่วนชื่อเสียงของจางต้าพั่งเองก็ขจรขจายไปไกลเพราะศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจครั้งนี้ การประลองครั้งสุดท้ายของป๋ายเสี่ยวฉุนและกุ่ยหยา อาวุธวิเศษเจ็ดแปดเล่มที่หลอมพลังจิตเหล่านั้นสะท้านสะเทือนใจทุกคนได้อย่างแท้จริง
ทำให้จางต้าพั่งได้กลายเป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจคนใหม่ของภูเขาจื่อติ่ง คนนับไม่ถ้วนพากันไปเยี่ยมเยียนเขา หวังว่าจะได้รับมิตรภาพจากจางต้าพั่ง ให้เขาช่วยหลอมพลังจิตให้
จางต้าพั่งภาคภูมิใจอย่างยิ่ง แต่กลับสำรวมมากขึ้น ไม่ได้หลอมพลังจิตให้กับทุกคน ยิ่งเขาเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งได้รับความสนใจจากคนอื่นมากขึ้น แม้แต่สวีเหม่ยเซียงเองหลังจากที่เรียกจางต้าพั่งไปสอบถามอย่างละเอียดแล้วก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางสัมผัสได้ถึงการคงอยู่ของพลังจิตในตัวของจางต้าพั่งได้อย่างชัดเจน!
สุดท้ายจึงสั่งห้ามอย่างเข้มงวดไม่ให้จางต้าพั่งหลอมพลังจิตให้กับผู้อื่น บอกกับเขาว่านอกเสียจากอาวุธที่หลอมพลังจิตห้าครั้งให้กับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว ก็ห้ามหลอมให้คนอื่นเด็ดขาด
เรื่องนี้แม้ว่าจางต้าพั่งจะสงสัย แต่กลับพยักหน้าตอบรับ
‘การหลอมพลังจิตเป็นเรื่องที่ลึกลับมากที่สุด บางทีระหว่างเด็กป๋ายเสี่ยวฉุนคนนั้นกับจางต้าพั่งอาจมีความเชื่อมโยงที่ลึกซึ้งบางอย่างอยู่…ประคับประคองส่งเสริมกันและกัน ถึงจะสำเร็จได้’ สวีเหม่ยเซียงมองจางต้าพั่ง เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แต่ไม่ได้ซักไซ้อย่างละเอียด วัตถุประสงค์ของสำนักธาราเทพคือลูกศิษย์ทุกคนล้วนมีโชควาสนาเป็นของตัวเอง ห้ามละโมบ มิเช่นนั้นจะถือว่าละเมิดต่อกฎหลักของสำนัก ต้องลงโทษสถานหนัก อีกทั้งฐานะของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่ธรรมดา ต่อให้เป็นนางเองก็ไม่มีสิทธิ์ไปบีบบังคับได้ตามใจชอบ
สำนักธาราเทพรุ่งโรจน์มาเป็นหมื่นๆ ปี นับวันก็ยิ่งแข็งแกร่ง กฎเหล็กข้อนี้ก็คือหนึ่งในจุดสำคัญ
หลายวันต่อมา ป๋ายเสี่ยวฉุนได้รับอาภรณ์และป้ายคำสั่งของลูกศิษย์ฝ่ายใน เขาเก็บสัมภาระไปจากบ้านพักที่อยู่มาหลายปีภายใต้การนำของผู้เฒ่าสวีที่รับผิดชอบฝ่ายในของเขาเซียงอวิ๋น
ลูกศิษย์ฝ่ายในสามารถอาศัยอยู่ในถ้ำสถิตที่มีพลังวิญญาณเข้มข้นมากกว่า!
ถ้ำสถิตที่ว่าก็คือสถานที่วิเศษซึ่งคล้ายที่อยู่อาศัยของเทพ ด้านในมีพลังฟ้าดิน ในฐานะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคือผู้ชนะศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ สามารถเลือกถ้ำได้ตามใจชอบ แน่นอนว่าเขาย่อมเลือกถ้ำที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ด้านหลังเขาเซียงอวิ๋น สุดทางของเส้นทางเล็กๆ ที่มีบันไดเส้นหนึ่ง เป็นถ้ำที่เงียบสงบแต่กลับมีพลังวิญญาณเข้มข้น
ในถ้ำมีห้องหินอยู่ห้าห้อง บนเพดานของห้องมีแสงจากไข่มุกราตรีส่องสว่าง โดยเฉพาะตรงตำแหน่งห้องโถงใหญ่ที่มีตาน้ำพุเล็กๆ อยู่ น้ำพุผุดขึ้นปุดๆ ค่อนข้างอุ่น กลายเป็นทะเลสาบน้ำพุร้อนเล็กๆ ที่มีขนาดหลายสิบจั้ง ด้านในยังมีปลาหลายตัวที่ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมเช่นนี้ได้เวียนว่ายไปมา
ตลอดทั้งถ้ำแม้ว่าจะเรียบง่าย แต่กลับมีลมพัดเข้าออกได้สะดวก ห้องหลอมยา ห้องปิดด่าน เขตพืชวิเศษ เขตฝึกคาถา ล้วนมีครบถ้วน
ยิ่งกว่านั้นยังมีหุ่นเชิดตบะเทียบเคียงกับพลังรวมลมปราณขั้นห้าสองตัวคอยรับผิดชอบดูแลความเป็นอยู่ของป๋ายเสี่ยวฉุน ห้องหินทุกห้องในถ้ำล้วนมีค่ายกลของตัวเอง ค่ายกลในห้องโถงใหญ่หากเปิดออก ผนังหินด้านบนจะปรากฏภาพมายา เผยให้เห็นท้องฟ้า ตอนกลางคืนสามารถมองเห็นดาวที่อยู่ด้านนอกได้ และตลอดทั้งถ้ำยังมีค่ายกลใหญ่อีกค่ายหนึ่ง เมื่อเปิดใช้ต่อให้เป็นนักพรตสร้างฐานรากขั้นต้นก็ยังไม่สามารถเปิดออกได้ง่ายๆ
ถ้ำสถิตแห่งนี้ต่อให้มอบให้นักพรตขั้นสร้างฐานรากก็ยังเหลือเฟือ เป็นหนึ่งในถ้ำที่สถิตที่ดีที่สุดในตลอดทั้งเขาเซียงอวิ๋น
ป๋ายเสี่ยวมองอย่างพึงพอใจถึงขีดสุด ทั้งตะลึงและดีใจ เมื่อเทียบกับที่นี่แล้วเขารู้สึกว่าบ้านที่ตนอยู่อาศัยก่อนหน้านี้ช่างเรียบง่ายมากเหลือเกิน เขาส่งผู้เฒ่าสวีกลับด้วยความดีใจ ก่อนจากไปผู้เฒ่าสวีกำชับให้ป๋ายเสี่ยวฉุนไปที่หอวิเศษฝ่ายในเพื่อเลือกวิชายุทธ์หนึ่งวิชาที่หลี่ชิงโหวเป็นผู้กำหนดให้ ถึงได้จากไป
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นว่าผู้เฒ่าสวีจากไปแล้วก็รีบเปลื้องผ้าออกทันที กระโดดลงไปในบ่อน้ำพุ ปล่อยเสียงผ่อนคลาย โดยเฉพาะเมื่อปลาตัวเล็กๆ เหล่านั้นว่ายเข้ามาตอดเบาๆ รอบกาย ความรู้สึกนั้นทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว
“น่าเสียดายที่ตู้หลิงเฟยไม่อยู่ในสำนัก ไม่อย่างนั้นล่ะก็ถ้าได้มาแช่ตัวในนี้ด้วยกันคงจะดียิ่งนัก” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนทอดถอนใจ พลันคิดถึงโหวเสี่ยวเม่ยหน้าก็บานเป็นกระด้งขึ้นมาทันที วางแผนว่าจะหาโอกาสเหมาะๆ พาโหวเสี่ยวเม่ยมาแช่น้ำพุร้อนและดูดาวไปด้วยกัน
“ข้าเป็นคนที่มีอุดมการณ์ ควรจะให้โหวเสี่ยวเม่ย แล้วก็ตู้หลิงเฟยมาแช่น้ำที่นี่ทั้งสองคนสิถึงจะถูก” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าความคิดก่อนหน้านี้ของตัวเองช่างคับแคบเหลือเกิน
เช้าตรู่วันต่อมา ป๋ายเสี่ยวฉุนออกจากถ้ำไปตั้งแต่เช้า ตอนที่เดินไปตามทางเส้นเล็กได้เห็นว่าจุดที่อยู่ไม่ไกลจากถ้ำของตัวเอง ยังมีถ้ำอีกแห่งหนึ่งอยู่
ถ้ำทั้งสองห่างกันประมาณสิบกว่าจั้ง ประตูอยู่ตรงข้ามกันพอดี มีการเปิดใช้ค่ายกล ซึ่งก็หมายความว่ามีคนอยู่ ป๋ายเสี่ยวฉุนอยากรู้อย่างมาก หันไปมองอยู่หลายครั้งถึงค่อยดึงสายตากลับมาแล้วเดินจากไปไกล
เดินเอ้อระเหยลอยชายมาตลอดทางครึ่งภูเขา ที่นี่แทบจะไม่มีลูกศิษย์ฝ่ายนอกอยู่เลย ล้วนมีแต่ลูกศิษย์ฝ่ายใน
คนไม่เยอะ ส่วนมากถ้าไม่ได้ปิดด่านก็ออกไปทำภารกิจข้างนอก แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้แต่กลับไม่ส่งผลต่อการที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะกระแอมแห้งๆ ต่อหน้าพวกเขา วางมาดน่ายกย่อง รอให้อีกฝ่ายหายอึ้งตะลึงและเรียกว่าอาจารย์อาป๋ายหนึ่งที
และท่ามกลางเสียงเรียกอาจารย์อาป๋ายมาตลอดทางเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงกระปรี้กระเปร่า เดินวางมาดใหญ่โตมาจนถึงหอวิเศษฝ่ายในบนเขาเซียงอวิ๋น ที่นี่คือสถานที่ที่ลูกศิษย์ฝ่ายในเรียนวิชาคาถา
ลูกศิษย์ฝ่ายในที่เพิ่งเลื่อนขั้นใหม่ทุกคนล้วนสามารถมาเรียนวิชาฝ่ายในของที่นี่หนึ่งวิชาโดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทน ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งมาถึง ลูกศิษย์ที่รับผิดชอบอยู่ในหอวิเศษก็รีบลุกขึ้นมาคารวะทันที ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งดีใจเข้าไปใหญ่ ตบไหล่ของอีกฝ่าย ถึงได้เริ่มเลือกวิชาของตัวเอง
“โค่นฟ้าดิน?”
“ประสงค์ธาราอัคคี?”
“คาถาเก้าฟ้าดับดิน?”
แต่เลือกอยู่นาน อ่านวิชาคาถาพวกนี้จนตาลายไปหมดเขาก็ยังไม่รู้ว่าควรเลือกอะไร ดูเหมือนว่าทุกวิชาล้วนร้ายกาจไปหมด สุดท้ายก็หาวิชายุทธ์ที่หลี่ชิงโหวเลือกไว้ให้ตนเองฝึกตามที่ผู้เฒ่าสวีบอกเจอ
“คัมภีร์มังกรคชสารแปลงมหาสมุทร?” ป๋ายเสี่ยวฉุนถือแผ่นหยกแผ่นหนึ่งเอาไว้ หลอมพลังวิญญาณเข้าไปเริ่มอ่านดู แล้วก็ต้องเบิกตากว้างอย่างรวดเร็ว บทเริ่มต้นของคัมภีร์มังกรคชสารแปลงมหาสมุทรนี้ทำให้หนังศีรษะของป๋ายเสี่ยวฉุนระเบิดออก
“มนุษย์มีพันธนาการ ไม่ว่าจะเป็นตบะหรือเลือดเนื้อล้วนมีพันธนาการที่เป็นต้นกำเนิดแห่งชีวิตซึ่งไม่อาจฝ่าทลายได้…ข้าผู้อาวุโสสร้างวิชานี้ขึ้นมา เหมาะสำหรับพลังขั้นรวมลมปราณ แม้พันธนาการมิอาจฝ่าทลายได้ แต่กลับสามารถสัมผัสและตระหนักรู้ได้!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเฮือก เขานึกถึงคำพูดของผู้เฒ่าชุดดำที่เรียกตัวเองว่าคนเฝ้าสุสานซึ่งช่วยชีวิตเขาไว้ในปีนั้นทันที
“มิวางวายห้าบท ฝ่าทะลุห้าพันธนาการชีวิต อมตะห้าบท แก้ทำลายห้าผนึกนิรันดร์กาล!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกได้ทันทีว่าคัมภีร์มังกรคชสารแปลงมหาสมุทรนี้ไม่ธรรมดาจึงรีบอ่านอย่างละเอียด ไม่นานก็ค่อยๆ ขมวดคิ้ว พบว่าวิชานี้มองดูแล้วเหมือนจะไม่มีพลังสะเทือนฟ้าสะเทือนดินอะไร ถึงขั้นที่ว่าเทียบไม่ได้กับวิชาน่าตื่นตะลึงที่ได้อ่านเมื่อครู่เลยด้วยซ้ำ แต่มันกลับสามารถเชื่อมต่อกับวิชาลมปราณม่วงควบคุมกระถางได้อย่างสมบูรณ์แบบ อีกทั้งยังสามารถเพิ่มอัตราความเป็นไปได้ที่จะยกระดับสู่ขั้นสร้างฐานราก!
สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วขั้นสร้างฐานรากเป็นสิ่งที่เขาใฝ่ฝันมาเนิ่นนาน เวลานี้เมื่อลองคิดตาม หัวใจจึงเต้นระรัวมากขึ้น
คัมภีร์มังกรคชสารแปลงมหาสมุทรนี้มีแค่สามระดับ สอดคล้องกับพลังรวมลมปราณขั้นเก้า พลังรวมลมปราณขั้นสิบชั้นสมบูรณ์แบบ ระดับสุดท้ายคือ…สร้างฐานราก!
ฝึกได้ถึงขั้นสูงสุด ร่างกายจะมีกำลังเท่ามังกรเท่าช้าง พลังวิญญาณในร่างแปลงเป็นมหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาล ที่หาได้ยากที่สุดก็คือการได้มีพื้นฐานที่ลึกล้ำเกินจะเปรียบ สามารถยอมรับวิชาอภินิหารใดๆ ก็ตามหลังจากที่ถึงขั้นสร้างฐานรากแล้วได้ จะไม่เกิดการต่อต้านรวมไปถึงธาตุไฟเข้าแทรก
สามารถพูดได้ว่าเป็นความไม่ธรรมดาในความธรรมดา!
“เลือกมันนี่แหละ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตัดสินใจทันที ไม่ว่าจะเป็นพันธนาการที่พูดถึงในบทเริ่มต้น หรือจะเป็นอัตราความเป็นไปได้ในการเพิ่มตบะถึงขั้นสร้างฐานราก ไม่ว่าข้อใดก็ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนใจกระตุกได้ทั้งสิ้น เขาหยิบเอาคัมภีร์มังกรคชสารแปลงมหาสมุทรเดินออกไปจากหอวิเศษฝ่ายใน หลังจากแลกเอาคัมภีร์นี้มาได้แล้วก็เดินกลับไปที่ถ้ำ
เดินไปใกล้จะถึงแล้ว ตอนที่เดินผ่านถ้ำตรงกันข้ามแห่งนั้น ประตูใหญ่ของถ้ำสถิตพลันเปิดออก เงาร่างของผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมา พอเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็อึ้งงัน คิดจะกลับเข้าไปก็สายไปเสียแล้ว
“เอ๊ะ? ศิษย์หลานซินฉี!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตกตะลึงระคนดีใจโดยพลัน ตอนศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจโจวซินฉีอยู่ห่างกับตนเองมาก เขาอยากให้อีกฝ่ายเรียกตนว่าอาจารย์อาป๋าย แต่กลับไม่มีโอกาส ตอนนี้รู้ว่าที่แท้โจวซินฉีก็คือเพื่อนบ้านของตัวเองจึงดีใจขึ้นมาทันที
———