Skip to content

A Will Eternal 985

บทที่ 985 อัดผีเฒ่าให้อ่วม

ตอนที่เสียงนี้ดังก้องเข้าไปในหูของใบหน้าผี ใบหน้าผีก็ถึงกับตัวสั่นเทิ้ม พลันกลายร่างเป็นควันดำจำนวนนับไม่ถ้วนแผ่กระจายออกไปรอบด้านอย่างรวดเร็ว

แต่รออยู่พักใหญ่ก็ไม่เห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะออกมาจากหุบเขาวายุแห่งนั้น ใบหน้าผีอึ้งงันไปครู่ ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนมาเป็นไม่น่ามอง มันเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ด่ากราดอย่างบ้าคลั่งอยู่ในใจ

หลังจากที่ตะเบ็งเสียงคำรามออกไป ป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้กำลังรับสัมผัสกับการฝ่าทะลุของตบะตัวเองอย่างชื่นบาน ยิ่งเห็นพลังตบะอันมากไพศาลในร่างของตัวเอง เขาก็ตื่นเต้นอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้

“คนฟ้าช่วงท้ายแล้ว!!”

“ในที่สุดข้าป๋ายเสี่ยวฉุนก็เป็นคนฟ้าช่วงท้ายแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ตื่นเต้นก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าแผดเสียงตะโกน

“ผีเฒ่า คราวนี้นายท่านป๋ายของเจ้าจะออกไปหาเจ้าจริงๆ แล้วนะ!”

ใบหน้าผีที่อยู่ข้างนอกตัวสั่นเทิ้มขึ้นมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่ได้ ใบหน้าของมันดำคล้ำ ยังดีที่เดิมทีใบหน้าของมันที่เกิดจากควันดำก็ดำอยู่แล้ว ต่อให้ตอนนี้จะมีสีหน้ามืดทะมึน ก็มองไม่ออก…

พอคำรามเสร็จ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง

สัมผัสได้ว่าวิชาบรรพจารย์อวิ๋นเหลยแปรเปลี่ยนไต่ทะยานไปถึงกระบวนท่าที่แปดแล้ว และภายใต้การผลักดันของท่าที่แปดนี้ก็ทำให้ตบะคนฟ้าช่วงกลางขั้นสูงสุดของเขาฝ่าทะลุขั้นขึ้นไป

“ตอนนี้ข้าสามารถร่ายกระบวนท่าที่แปดได้ ก็เท่ากับกระบวนท่าที่สิบเอ็ดแล้ว!”

ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนโชนแสงลุกเรือง รู้สึกเพียงว่าตนในเวลานี้ ไม่พูดว่าใต้หล้าไร้ศัตรู แต่ก็ไม่ต่างไปมากเท่าไหร่แล้ว

“ยังมีเลือดคงกระพัน…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเลียริมฝีปาก

ก่อนจะตรวจสอบเลือดคงกระพันของตัวเองอย่างละเอียด การฝึกตนตลอดครึ่งปีมานี้ สิ่งที่พัฒนาสูงขึ้นไม่ได้มีเพียงแค่ตบะ เนื่องจากพลังฟ้าดินของลมพายุในที่แห่งนี้ก็แฝงเร้นไปด้วยพลังชีวิตที่น่าตะลึงเช่นกัน เลือดคงกระพันของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงเปลี่ยนจากแต่เดิมห้าเท่ามาเป็นหกเท่า!

หยดเลือดหกส่วนในร่างกายล้วนเป็นเลือดคงกระพัน นี่จึงทำให้พลังการฟื้นฟูของป๋ายเสี่ยวฉุนพัฒนามาถึงระดับที่น่าตะลึง เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนมีพลังมากมายอย่างไร้ขีดจำกัด โดยเฉพาะพลังชีวิตที่เข้มข้นนั้นถึงกับทำให้เขาเกิดความรู้สึกลวงว่าต่อให้ฟ้าดินดับสลาย ตนเองก็ไม่มีทางดับสูญ

“แข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลย” ป๋ายเสี่ยวฉุนตรวจสอบสภาพทั่วร่างของตัวเอง ความมั่นใจก็พลันระเบิดพร่างพรู

“ต่ำกว่าครึ่งเทพลงมา ใครจะต่อกรกับข้าได้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังห้าวเหิมอดแผดเสียงคำรามออกไปข้างนอกอีกครั้งไม่ได้

“ผีเฒ่า คราวนี้ข้าจะไปจริงๆ แล้วนะ!” ตะโกนจบ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ดวงตาเป็นประกายวิบวับก็รอพักหนึ่ง

“เจ้าผีเฒ่านั่นไม่ตอบกลับมาแหะ? ดูท่าตบะของมันคงลดดิ่งลงไปไม่น้อยจริงๆ …” อันที่จริงช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ แม้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะพยายามฝ่าทะลุขั้นสู่คนฟ้าช่วงท้าย แต่ก็คอยสังเกตการณ์สภาพภายนอกอยู่ตลอดเวลา

เขาเองก็สัมผัสได้ว่าภายใต้แรงกดดันจากโลกสมบัติอาคมชิ้นนี้ ตบะของใบหน้าผีนั่นถดถอยไปอย่างต่อเนื่อง และตอนนี้พอลองเอ่ยหยั่งเชิงออกไป ความมั่นใจของเขาก็เพิ่มมากขึ้นถึงเจ็ดแปดส่วน

นัยน์ตาเขาฉายแววเด็ดเดี่ยว เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถลาออกไป เดินไปได้แค่ไม่กี่ก้าวก็ข้ามผ่านพื้นที่หุบเขาวายุ ปรากฏตัวอีกครั้งก็มาอยู่ข้างนอกแล้ว

พลังอำนาจพวยพุ่งเทียมฟ้า ตอนนี้หุบเขาวายุหดเล็กลงไปมากแล้ว

แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้กลับกลายมาเป็นร่างจำแลงของหุบเขาวายุ พายุบ้าคลั่งลูกหนึ่งซัดครืนครั่นออกไปรอบกายเขา ก่อนจะกลายมาเป็นเหมือนพายุงวงช้างที่เชื่อมฟ้าและดินเข้าด้วยกัน

ท่ามกลางการระเบิดของปราณอันน่าครั่นคร้ามนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่ริมขอบของพายุ มองดูเหมือนยโสโอหัง แต่อันที่จริงในใจกลับระแวดระวัง เตรียมรับมือไว้เรียบร้อยแล้วว่าหากท่าไม่ดีก็จะถอยกลับเข้าไปข้างหลังทันที เขากะพริบตา รออยู่พักใหญ่ แต่กลับพบว่าใบหน้าผีนั่นยังไม่ปรากฏตัว

นี่จึงยิ่งทำให้ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกาย พลันแผ่อำนาจจิตออกไป ท่ามกลางเสียงอึกทึกกึกก้อง ฟ้าดินรอบด้านก็เกิดริ้วคลื่นบิดเบือนราวกับไร้ที่สิ้นสุด พลังอำนาจจิตของคนฟ้าช่วงท้ายแผ่ขยายลุกลามอย่างไม่มีหยุดยั้ง ภาพเหตุการณ์ในทุกพื้นที่ของโลกสมบัติอาคมสะท้อนขึ้นมากลางใจของป๋ายเสี่ยวฉุนในชั่วพริบตา

ภายใต้การระเบิดอำนาจจิตอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สัมผัสได้ทันทีว่าใบหน้าผีกำลังเผ่นหนีอยู่ในพื้นที่ที่ห่างจากตนไประยะหนึ่ง

และเมื่อเขาเล็งอำนาจจิตไป ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงมองออกทันทีว่าตบะของใบหน้าผีในเวลานี้ได้ลดดิ่งลงจนเหลือแค่คนฟ้าช่วงท้ายแล้ว

นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะร่าอย่างสะใจ รู้สึกเพียงว่าความความกลัดกลุ้มที่สั่งสมนับแต่เข้ามาอยู่ในโลกสมบัติอาคมใบนี้ถึงเวลาต้องระบายออกแล้ว อีกทั้งยังรู้สึกเบิกบานและฮึกเหิมอย่างที่มิอาจบรรยายได้ พอคำรามดังลั่นหนึ่งครั้งก็กระโจนไล่ตามไปยังจุดที่อำนาจจิตของตนเล็งไว้ทันที

ความเร็วนั้นมีมากจนแหวกทะลวงทุกความว่างเปล่า ใบหน้าผีเองก็ตัวสั่นระริก ไม่พูดพร่ำทำเพลิงก็ระเบิดความเร็วเผ่นหนีไปยังทิศไกล เมื่อเห็นว่าใบหน้าผีหนีหางจุกตูด ป๋ายเสี่ยวฉุนก็แหงนหน้าแผดเสียงหัวเราะดังสนั่น

“ผีเฒ่า เจ้าคิดจะแข่งความเร็วกับนายท่านป๋ายของเจ้าอย่างนั้นรึ?”

ขณะที่พูดป๋ายเสี่ยวฉุนก็ระเบิดตบะคนฟ้าออกครบทุกด้าน ผนึกมิวางวาย ชนาเขย่าภูเขาถูกร่ายใช้พร้อมกัน เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ความเร็วของเขาก็ทะยานสู่ขีดสูงสุดจนคล้ายหายตัวได้ ร่างพุ่งวูบวาบไปอีกไม่กี่ที เมื่อปรากฎตัวอีกครั้งก็มาอยู่ด้านหลังใบหน้าผีแล้ว

สีหน้าของใบหน้าผีน่าเกลียดถึงขีดสุด ความเดือดดาลปะทุพล่านอยู่ในใจ ศักดิ์ศรีที่ค้ำคอไม่อนุญาตให้มันหนีไป ยามนี้จึงคำรามกร้าวแล้วหันขวับกลับมา พลันกลายร่างมาเป็นควันดำผืนใหญ่ที่ก่อตัวขึ้นเป็นปากยักษ์น่าสะพรึงกลัวซึ่งพุ่งเข้าเขมือบกลืนป๋ายเสี่ยวฉุน

การที่อีกฝ่ายหันกลับมากะทันหันแบบนี้ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจสะดุ้งโหยง เขารีบถอยกรูดไปข้างหลัง มือทั้งคู่ทำมุทราแล้วโบกไปข้างหน้า ทันใดนั้นไอเย็นขุมหนึ่งก็พุ่งตรงเข้าหาปากใหญ่ยักษ์

ทั้งสองฝ่ายปะทะกันเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ปากยักษ์น่าสะพรึงกลัวที่มองดูแล้วชวนผวานี้แตกทลายโดยพลัน ครั้นจึงกลายมาเป็นควันดำจำนวนนับไม่ถ้วนที่แผ่ออกไปรอบด้าน ส่วนไอเย็นของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับทะลุทะลวงผ่านควันพวกนั้นตรงเข้าหาใบหน้าผี

ใบหน้าผีหน้าเปลี่ยนสี ร้องคร่ำครวญอยู่ในใจ รีบถอยหลบอย่างรวดเร็ว ในใจนั้นอัดอั้นเต็มทีแล้ว แต่กลับทำได้เพียงเผ่นหนีไปอีกครั้ง ทว่าดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับฉายแสงลุกโชน เขาหัวเราะร่วนแล้วไล่ตามไปทันที ครั้นจึงยกมือขวาขึ้นกำเป็นหมัดแล้วเหวี่ยงออกไป

เสียงกัมปนาทดังสะเทือนแปดทิศ ร่างของใบหน้าผีสั่นเทิ้มอย่างบ้าคลั่ง หมอกควันซัดตลบปั่นป่วน ถอยกรูดออกห่างพลางกรีดร้องเสียงแหลม

“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าอย่าให้มันมากเกินไปนัก!!”

“ผีเฒ่า เจ้ากล้ามาสู้กับนายท่านป๋ายของเจ้าหรือไม่!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าเป็นอย่างนี้ก็ยิ่งฮึกเหิมเข้าไปใหญ่ ร่ายใช้คาถาบรรพจารย์อวิ๋นเหลยแปรเปลี่ยนทันที เสียงกึกก้องดังกังวาน เรือนกายแปดสิบจั้งที่จำแลงมาจากบรรพจารย์อวิ๋นเหลยแปรเปลี่ยนครั้งที่แปดก็พลันเผยกายออกมา พลังอำนาจอันแกร่งกร้าวดุดันซัดตลบอบอวลออกมาจากร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน

ยิ่งเงาดวงจันทร์ในตาซ้ายของเขาก็ยิ่งเปล่งประกายระยับ ทำให้พลังในการต่อสู้ของป๋ายเสี่ยวฉุนทะยานไปสู่จุดสูงสุด แม้ไม่ใช่ครึ่งเทพ แต่ก็ใกล้เคียงมากแล้ว ยามนี้เมื่อเดินออกมาหนึ่งก้าว เขาก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าใบหน้าผีโดยตรง ครั้นจึงยกมือขวาขึ้นโบกอย่างแรง

เสียงตูมดังลั่น ไม่ว่าใบหน้าผีจะต่อต้านอย่างไรก็ไร้ผล ต่อให้มันจะเตรียมใจมาแล้วสำหรับความพลิกผันระหว่างคนทั้งสอง แต่ก็ยังคงรับไม่ได้อยู่ดี ภายใต้เสียงตูมตามที่ดังสะเทือนเลือนลั่นนี้ ร่างของมันพลันแตกสลายไปด้วยหมัดเดียวของป๋ายเสี่ยวฉุน

กลายมาเป็นควันดำจำนวนนับไม่ถ้วนที่ไปรวมตัวกันใหม่อีกครั้งตรงจุดที่ห่างไปไกล ใบหน้าผีคลุ้มคลั่งเต็มทีแล้ว ความรู้สึกเช่นนี้มันไม่เคยสัมผัสมาก่อนตลอดชั่วชีวิตที่ผ่านมา ปีนั้นมารดาแห่งนี้ต้องอาศัยบุพกาลที่อยู่เบื้องหลังถึงจะจับตัวมันได้ แถมยังต้องพินอบพิเนากับมัน

ทว่า…เมื่อมาอยู่ต่อหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ ทั้งๆ ที่หากตบะของมันไม่ถูกระงับก็สามารถตบอีกฝ่ายให้ตายได้ด้วยฝ่ามือเดียว แต่ตอนนี้ตนดันทำไม่ได้ พอถูกอีกฝ่ายโจมตีเข้าใส่ มันจึงร้องคำรามแหบโหย แม้แต่น้ำเสียงก็ยังเพี้ยนตามไปด้วย

“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าอย่าได้บีบบังคับข้า!!”

“ข้าไม่บีบเจ้าหรอก ท่านย่าเจ้าเถอะ ข้าจะอัดเจ้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเพียงว่าพอต่อยหมัดออกไป ความอัดอั้นที่ทับถมในใจมานานก็สลายไปไม่น้อย และแทนที่มาด้วยความสดชื่นรุนแรง นี่จึงทำให้เขาคำรามด้วยความลำพองใจพลางก้าวออกไปอีกครั้ง

เสียงตูมพลันระเบิดดังลั่น

“ใครใช้ให้เจ้าไล่สังหารข้าตอนอยู่ข้างนอก!!” หนึ่งหมัดต่อยออกไป!

ใบหน้าผีไร้ที่ให้หลบซ่อน ต่อให้มันจะตวาดเสียงแหบแห้งแค่ไหน หรือร่ายใช้วิชาอภินิหารอะไรก็ล้วนมิอาจต้านทานได้ ท่ามกลางเสียงดังอื้ออึงนั้น ร่างของมันก็แตกสลายอีกครั้ง

“ใครใช้ให้เจ้าไล่ล่าข้าเข้ามาในโลกสมบัติอาคม!” ป๋ายเสี่ยวฉุนออกหมัดเป็นครั้งที่สอง!

“ข้าอุตส่าห์หนีเข้าไปในพื้นที่สายฟ้าแล้ว เจ้าก็ยังตามมาไล่ฆ่า!”

“สายฟ้าสลายไปแล้ว เจ้าก็ยังไล่ฆ่าข้าอีก!”

ทุกครั้งที่จบประโยค หมัดของป๋ายเสี่ยวฉุนก็จะเหวี่ยงออกไปหนึ่งที ตอนนี้เขาต่อยออกไปติดต่อกันถึงห้าหมัด ทุกหมัดล้วนทำให้ร่างของใบหน้าผีแหลกสลาย หลังจากที่อีกฝ่ายก่อร่างขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เขาก็ออกหมัดซัดอีกฝ่ายรัวๆ อย่างบ้าคลั่ง!

“ป๋ายเสี่ยวฉุน ข้าจะฆ่าเจ้า!”

เสียงร้องแหบโหยดังออกมาจากปากของใบหน้าผีไม่หยุด มันรู้สึกว่าตัวเองจะเสียสติแล้วจริงๆ ดวงตาของมันแดงก่ำราวสีเลือด หลังแผดเสียงคำรามที่ดังสะเทือนท้องฟ้า ใบหน้าผีก็พลันกระโจนเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน

ทว่ายังไม่ทันรอให้มันเข้าไปใกล้ ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเหวี่ยงเท้าเตะเปรี้ยงออกมาจนร่างของใบหน้าผีระเบิดกระจาย

“โม้เก่งเหมือนกันนี่ จะฆ่าข้ารึ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตาถมึงทึง พอใบหน้าผีประกอบร่างขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เขาก็พุ่งเข้าชนร่างอีกฝ่ายอย่างแรง จนใบหน้าผีแตกสลายอีกรอบ มาถึงท้ายที่สุด ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถึงกับพุ่งเข้าไปจิกเส้นผมที่เป็นควันของใบหน้าผีแล้วกระชากลงมากระแทกกับพื้นอย่างแรง

อีกทั้งยังไม่จำเป็นต้องใช้วิชาอภินิหาร ใช้แค่เพียงเรือนกายที่แข็งแกร่งของเขาและความเหี้ยมหาญของร่างบรรพจารย์อวิ๋นเหลยก็ทำให้ทั้งหมัดทั้งเท้าของเขาอัดแน่นไปด้วยพลังหนักหน่วง

เสียงร้องโหยหวนดังก้องอยู่ในโลกสมบัติอาคมชิ้นนี้อย่างต่อเนื่อง ฟังดูแล้วน่าเวทนาอย่างถึงที่สุด ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน หลังจากที่ร่างของใบหน้าผีแหลกสลายอีกครั้ง ควันที่แผ่ไปรอบด้านกลับไม่ได้ก่อตัวขึ้นมาใหม่ แต่พุ่งกระจายออกไปรอบด้านอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังเผาไหม้พลังชีวิตอย่างไม่เสียดายเพื่อแลกมาด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิมหนีกระเจิงไปแปดทิศ

“คิดหนี? ข้าไม่อัดจนเจ้าร้องเรียกหาปู่ ข้าก็ไม่ขอชื่อป๋ายเสี่ยวฉุน!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิมสุดขีด ความรู้สึกที่ได้พลิกตัวกลับมาอย่างสง่างามทำให้เขาสะบัดปลายแขนเสื้อเบาๆ เชิดหน้าขึ้น เอ่ยอย่างภาคภูมิใจ ครั้นจึงไล่กวดตามไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version