Skip to content

A Will Eternal 986

บทที่ 986 ตายแล้ว?

เสียงกัมปนาทที่คลอเคล้าไปด้วยเสียงหวีดร้องด้วยความเจ็บปวด รวมไปถึงเสียงร้องคำรามดั่งคนคลุ้มคลั่งและคับแค้นใจสุดขีดดังกึกก้องอยู่ในโลกสมบัติอาคมไม่หยุด

“ป๋ายเสี่ยวฉุน!!”

“หากข้าผู้อาวุโสออกไปจากที่นี่ได้ จะต้องฆ่าเจ้าล้างชั่วโคตรแล้วถลกเอาหนังของเจ้ามาทำเป็นโคมลอยฟ้า!!” ใบหน้าผีร้องคำราม

มันเองก็รู้ดีว่าตะโกนไปแบบนี้ไม่มีประโยชน์อะไร อีกทั้งยังทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตามมาไล่ฆ่าด้วยความฮึกเหิมยิ่งกว่าเก่า แต่ด้วยอัดอั้นตันใจสุดขีดแล้ว หากไม่ตะโกนออกไปบ้าง มันก็รู้สึกว่าไม่ต้องรอให้ป๋ายเสี่ยวฉุนลงมือ ตัวเองคงระเบิดตายไปเสียก่อน

“โมโหร้ายไม่เบาเลยนะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตาแค่นเสียงเย็นแล้วรีบเพิ่มความเร็วในการไล่ล่า ทันใดนั้นเสียงกัมปนาทก็ดังก้องไปสี่ทิศทางอีกครั้ง ร่างของใบหน้าผีแหลกสลายแล้วก็แผ่กระจายไปรอบด้านครั้งแล้วครั้งเล่า มาถึงท้ายที่สุด พอเห็นว่าหนียังไงก็หนีไม่พ้น สายตาของใบหน้าผีก็ฉายแววบ้าระห่ำ ครั้นจึงเผาไหม้วิญญาณของตนอย่างไม่เสียดาย เพื่อแลกมาด้วยวิชาลับบางอย่าง เสียงปังดังหนึ่งครั้ง จู่ๆ ร่างของมันก็ผสานรวมเข้าไปในความว่างเปล่า ไม่เหลือร่องรอยอีกต่อไป

การหายตัวของมันเกิดขึ้นกะทันหันเกินไป ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องเอ๊ะเบาๆ ทีหนึ่ง รีบแผ่อำนาจจิตออกตามหาอีกครั้ง ทว่ากวาดตะลุยไปทั่วโลกสมบัติอาคมแล้วก็ยังหาร่องรอยของใบหน้าผีไม่เจอ

“เจ้าผีเฒ่านี่มาจากนอกโลก ต่อให้เป็นร่างวิญญาณก็ยังสู้กับเทียนจุนได้ แสดงว่าต้องมีวิธีการที่พิสดารบางอย่าง…” ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิด แต่ก็ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดอะไร เขาเชื่อว่าแม้อีกฝ่ายจะไปซ่อนตัว แต่ก็คงซ่อนได้ไม่นานนัก อีกทั้งยังไม่สามารถออกไปจากโลกใบนี้ได้

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ช้าก็เร็วตนย่อมต้องหาเจอ

“เอาเถอะ วันนี้ปล่อยมันไปสักครั้งก่อน รอวันไหนข้าอารมณ์ไม่ดีค่อยมาจัดการกับเจ้าผีเฒ่านี่ใหม่ กล้าสู้กับข้างั้นรึ? ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนโมโหขึ้นมาเมื่อไหร่ แม้แต่ข้าก็ยังกลัวตัวเอง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่นเสียงหนึ่งที การที่ทั้งเตะทั้งต่อยอีกฝ่ายก่อนหน้านี้ทำให้อารมณ์ของเขาเบิกบาน ร่างทั้งร่างโปร่งสบาย ยามนี้จึงเลิกสนใจใบหน้าผี เพียงสะบัดกายบินทะยานไปยังหุบเขาวายุเพื่อฝึกตนต่อไป

เวลาเดียวกันนั้น ใต้ภูเขาลูกหนึ่งซึ่งอยู่ในโลกสมบัติอาคม ความว่างเปล่าพลันบิดเบือน เงาร่างของใบหน้าผีค่อยๆ โผล่ออกมา รูปร่างของมันไม่ได้ชัดเจนมากนัก มองดูแล้วค่อนข้างพร่าเลือน ราวกับว่าบนร่างของมันมีกำแพงบางๆ ชั้นหนึ่งที่กั้นขวางมันกับโลกใบนี้เอาไว้

กำแพงกั้นนี้คือรากฐานของเวทลับที่มันร่ายใช้ แล้วก็เป็นกุญแจสำคัญที่สกัดกั้นอำนาจจิตของป๋ายเสี่ยวฉุน เพียงแต่ว่ามันในเวลานี้อ่อนแออย่างยิ่ง แม้แต่ประกายชีวิตชีวาในดวงตาก็ยังหม่นมัวลง เห็นได้ชัดว่าการร่ายใช้เวทลับนี้ทำให้มันต้องจ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อย

“ป๋ายเสี่ยวฉุน!!” ใบหน้าผีเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ขณะเดียวกันในใจก็พลันบังเกิดความเศร้ารันทดอย่างไร้ที่สิ้นสุด นั่นคือความรู้สึกเหมือนคนไร้หนทางให้เดินต่อ ต่อให้สู้สุดชีวิตก็ยังมิอาจสู้ได้ ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้มันอยากจะหลั่งน้ำตา

ไม่นานเวลาก็ผ่านไปแล้วอีกหนึ่งเดือน สำหรับใบหน้าผีแล้วตลอดหนึ่งเดือนมานี้มันต้องอยู่อย่างอกสั่นขวัญผวาทุกวัน กลัวว่าเมื่อไหร่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะโผล่มาเบื้องหน้าตัวเอง ช่างทรมานเหลือจะกล่าว ทว่าสำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วกลับเต็มไปด้วยความสุขอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้ การฝึกตนในหุบเขาวายุทำให้ตบะคนฟ้าช่วงท้ายของเขามั่นคงอย่างสมบูรณ์แบบ เพียงแต่ว่าพายุกระหน่ำที่อยู่ในหุบเขาแห่งนี้กลับค่อยๆ ลดลงตามการฝ่าทะลุและตบะที่มั่นคงขึ้นของป๋ายเสี่ยวฉุน จนกระทั่งถึงท้ายที่สุด ในหุบเขาก็ไม่เหลือลมอีกแม้แต่เสี้ยวเดียว

มีประสบการณ์ในพื้นที่สายฟ้าก่อนหน้านี้แล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงไม่รู้สึกแปลกใจสำหรับการหายไปของพลังฟ้าดินในหุบเขาวายุแห่งนี้เท่าใดนัก เมื่อเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาที่มองไปยังพื้นที่แห่งฝนก็เผยความคาดหวังออกมา

“ไม่แน่ว่า…ข้าอาจจะฝึกตนอยู่ที่นี่จนกลายเป็นครึ่งเทพก็ได้?” พอป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็ให้ตื่นเต้นยิ่งนัก ครั้นจึงสะบัดกายวูบทะยานดิ่งไปยังเขตฝน

ใช้เวลาไม่นานนักเขาก็มาถึงจุดที่ม่านฝนพร่างพราว แล้วจึงก้าวเข้าไปด้านในอย่างไม่ลังเล

เมื่อหยดฝนตกกระทบลงบนร่างของเขา สัมผัสได้ถึงพลังชีวิตและพลังฟ้าดินที่เหมือนกับในเขตสายฟ้าและหุบเขาวายุ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หัวเราะร่า รีบเดินเร็วๆ ตรงไปยังจุดลึกของเขตฝน หลังจากนั่งสมาธิบนผิวน้ำเรียบร้อยแล้ว เขาก็ดูดซับเอาพลังฟ้าดินที่อยู่รอบด้านมาอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง

พอป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มฝึกตน โลกสมบัติอาคมก็สงบสุขไม่น้อย จนกระทั่งผ่านไปได้หลายเดือน ใบหน้าผีกลับยิ่งขมขื่น แม้ว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้โผล่ออกมาตามไล่ฆ่ามัน ทว่าด้านหนึ่งนั้นเป็นเพราะมันรู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังแข็งแกร่งมากขึ้นในทุกๆ วัน แต่ตบะตนเอง…กลับดิ่งลงมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว

ไม่ใช่คนฟ้าช่วงท้ายอีกต่อไป แต่ถูกกำราบจนลดมาอยู่ที่คนฟ้าช่วงกลาง ความอ่อนแอของตบะเช่นนี้ทำให้ความหวาดกลัวที่เอ่อท้นใจของมันรุนแรงยิ่งกว่าก่อนหน้านั้นหลายเท่านัก มันไม่กล้าออกไปข้างนอกเลย ต้องคอยระมัดระวังตัวอยู่ทุกเวลานาที อีกทั้งต่อให้มันจะไม่อยากยอมรับ แต่ก็อดภาวนาขอให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจมจ่อมอยู่กับการฝึกตนจนลืมตนไปไม่ได้

ขณะเดียวกันในใจก็เริ่มสาปแช่งอย่างอาฆาตมาดร้าย

“ข้าขอสาปแช่งให้ร่างเจ้าระเบิดตาย!!”

“ข้าขอสาปแช่งให้เจ้าธาตุไฟเข้าแทรก กายสลายจิตมลาย!”

“ข้าเป็นถึงว่าที่บุพกาล…สัตว์เลื้อยคลานอย่างเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ ข้าแค่ชี้นิ้วก็ตายกันเป็นเบือ รังแกกันมากเกินไปแล้ว แค้นนี้ต้องชำระให้จงได้!!!” ใบหน้าผีเงยหน้ามองท้องฟ้า หวนนึกถึงความรุ่งโรจน์ของตัวเองในอดีตอยู่ตลอดเวลา ราวกับว่าต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้ มันถึงจะมีความกล้าหาญให้ประคับประคองตัวเองต่อไป

ก็ไม่รู้ว่าคำสาปแช่งและคำสาบานของใบหน้าผีศักดิ์สิทธิ์เกินไปหน่อยหรือไม่ หลังจากที่มันสาปแช่งติดต่อกันไปได้ช่วงเวลาหนึ่ง กลางวันของวันนี้ ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังดูดซับพลังฟ้าดินในเขตฝน เขาพลันลืมตาโพลง

เขารู้สึกไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่นัก คล้ายว่ามีความคิดชั่วร้ายบางอย่างแผ่มาจากพื้นที่นอกสายฝน ไม่ต้องจำเป็นครุ่นคิด เขาก็รู้ว่านี่ต้องเป็นฝีมือของใบหน้าผีแน่นอน

“เจ้าผีเฒ่านั่นต้องกำลังสาปแช่งข้าอยู่แน่ๆ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตา

หลังจากเงยหน้ามองทิศไกลก็ขยับร่างทะยานออกไปนอกเขตฝนอย่างเงียบเชียบ ไม่ได้แผ่อำนาจจิต แต่ไล่ตามไปยังทิศทางที่ความคิดชั่วร้ายนั้นแผ่ออกมา

เวลานี้ใบหน้าผีซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ลับหูลับตาแห่งหนึ่ง มันยังคงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่จู่ๆ กลับต้องหน้าเปลี่ยนสี ถอยกรูดไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว

ทว่าวินาทีที่มันถอยไปนั้นเอง เสียงตูมพลันดังขึ้นจากตำแหน่งที่มันอยู่ก่อนหน้านี้ เสียงก้องดังไปทั้งชั้นฟ้า แรงโจมตีซัดไปรอบด้าน ใบหน้าผีเปล่งเสียงร้องโหยหวน เสียงปังดังหนึ่งครั้ง มันก็กลายร่างเป็นควันดำจำนวนนับไม่ถ้วนที่เผ่นกระเจิงไปสี่ทิศอย่างไร้ซึ่งความลังเล

เวลาเดียวกัน ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้เดินออกมาจากความว่างเปล่าหนึ่งก้าว

“เป็นผีเฒ่าอย่างเจ้าที่กำลังสาปแช่งข้าอยู่จริงๆ ด้วย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนโมโหซะแล้ว ภายใต้การร่ายใช้ผนึกมิวางวาย ความเร็วของเขาจึงพุ่งสูงสุดขีด ทั้งยังยกมือขวากำเป็นหมัดแล้วต่อยเปรี้ยงออกไปยังจุดที่ห่างไปไกล

หมัดนี้ไม่ได้โจมตีที่ผีเฒ่า แต่ต่อยไปยังความว่างเปล่า ซึ่งพริบตานั้นกลางความว่างเปล่าก็มีน้ำวนสีดำลูกหนึ่งปรากฏขึ้น น้ำวนแผ่แรงดึงดูดที่น่าตกใจ ทำให้ควันดำของใบหน้าผีที่กระจายไปสี่ทิศหยุดชะงักอยู่กลางอากาศ

แม้จะหยุดชะงักเพียงแค่ครู่เดียว แต่สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถือว่ามากพอแล้ว เขาก้าวพรวดออกไปหนึ่งก้าว สะบัดปลายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง พลังของคนฟ้าช่วงท้ายระเบิดออก ก่อกลายมาเป็นพายุกระหน่ำที่กวาดตะลุยไปแปดทิศ

ท่ามกลางเสียงอึกทึกกึกก้อง ควันดำจำนวนมากพังทลายไปโดยตรง ส่วนที่เหลืออยู่กำลังพุ่งไปรวมตัวกันในจุดที่ห่างไปไกล หลังจากก่อตัวขึ้นมาเป็นใบหน้าผีอีกครั้ง มันก็เผ่นหนีไปอย่างว่องไวโดยไม่เหลียวหลัง อีกทั้งยังร่ายใช้เวทลับที่เผาผลาญพลังมหาศาลนั่นอีกครั้ง เสียงปังดังลั่น ร่างของมันก็หายวับไป

เมื่อเห็นว่าผีเฒ่าหนีไปอีกครั้งหนึ่งแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างเหมือนกัน เขาเลยไม่คิดจะกลับไปยังเขตฝน แต่ตามหาอีกฝ่ายไปทั่วทุกพื้นที่ในโลกสมบัติอาคม หลายวันหลังจากนั้น เมื่อเวลาของเวทลับหมดลง ปราณของใบหน้าผีจึงแผ่เข้ามาในการรับสัมผัสของป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง ใบหน้าผีร้องโหยหวน จำต้องร่ายใช้วิชาลับอีกครั้ง

แล้วก็เป็นอย่างนี้ หนึ่งคนหนึ่งผีไล่ล่ากันอยู่ในโลกสมบัติอาคมอย่างไม่หยุดพัก จนกระทั่งผ่านไปอีกหนึ่งเดือนกว่า ใบหน้าผีรู้สึกว่าตัวเองจะแหลกสลายจริงๆ แล้ว มันรู้ดีว่าหากเป็นอย่างนี้ต่อไป ไม่ต้องรอให้ป๋ายเสี่ยวฉุนลงมือ ตนก็ต้องเผาผลาญพลังทั้งหมดของดวงวิญญาณจนตายไป

“เห็นได้ชัดว่าหากสังหารข้าไม่ได้ เขาก็ไม่คิดจะรามือ…” ใบหน้าผีที่คลุ้มคลั่งรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก หลังจากใช้เวทลับหายตัวไปแล้วป๋ายเสี่ยวฉุนตามมาเจออีกครั้ง ดวงตาของมันก็แดงก่ำ พลันเผาไหม้ร่างทั้งร่างคล้ายต้องการสู้จนตัวตาย

เสียงร้องคำรามของมันเปี่ยมล้นไปด้วยความเด็ดเดี่ยวและความบ้าคลั่งของคนที่พร้อมยอมทุ่มสุดชีวิต เดิมทีมันที่มีเพียงหัวกะโหลก แต่เวลานี้กลับมีลำตัว แขนขาปรากฏขึ้นมา สุดท้ายก็กลายมาเป็นรูปปั้นสีดำรูปหนึ่ง!

รูปปั้นนี้เป็นสีดำสนิท ไม่ใช่ภาพมายาแต่เป็นของจริง ปราณของมันก็เพิ่มพูนขึ้นมาเช่นกัน เป็นดั่งเทพสงครามที่พุ่งเข้าชนกับป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างจัง

“ข้าผู้อาวุโสเป็นถึงว่าที่บุพกาลผู้ยิ่งใหญ่ มีชีวิตอยู่มานานเกินไปแล้ว แทนที่จะปล่อยให้เจ้าทรมาน ก็สู้ตายไปยังดีเสียกว่า! ต่อให้เจ้าใช้วิธีการต่ำช้ามากำราบพลังของข้า แต่…แล้วจะอย่างไรเล่า ในเมื่อไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ถ้าเช่นนั้นต่อให้ตาย ข้าผู้อาวุโสก็ขอตายอย่างมีเกียรติ ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าอยากให้ข้าผู้อาวุโสตายนักไม่ใช่หรือ ถ้าอย่างนั้นก็มาเถอะ!!”

ใบหน้าผีหัวเราะเสียงขื่น ปณิธานแห่งการสาบานตายระเบิดปะทุ ไม่ว่าจะเป็นพลังอำนาจหรือความรู้สึกที่มอบให้คนอื่นก็เหมือนว่าต้องการให้พินาศวอดวายไปพร้อมกัน ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งแสงวาบ ชั่วขณะที่ใบหน้าผีพุ่งเข้ามาใกล้ มือขวาของเขาก็พลันกำเป็นหมัด หมัดจักรพรรดิมิดับสูญถูกร่ายใช้ทันควัน

ท่ามกลางเสียงอึกทึกเกริกก้อง ฟ้าดินสั่นสะเทือน แปดทิศสะท้านไหว เงาร่างจักรพรรดิที่จำแลงอยู่ด้านหลังป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าไปรวมอยู่ในหมัด เมื่อหมัดนั้นต่อยออกไป รูปปั้นสีดำที่เกิดจากการก่อตัวของใบหน้าผีก็ระเบิดกระจายไปโดยตรง!

ปราณแห่งความตายขุมหนึ่งแผ่อวลไปสี่ทิศ และการพังทลายของใบหน้าผีครั้งนี้ก็ไม่มีควันดำแผ่ออกมา หมัดนั้นของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ต่อยออกไปทำให้รูปปั้นแตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆ แล้วร่วงกราวลงบนพื้นเสียงดังตูมตาม

เศษรูปปั้นนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น อีกทั้งไม่มีพลังชีวิตใดๆ เหลืออยู่ ราวกับตายไปแล้ว!

และพลังแว้งโจมตีจากการตายของมันก็มากมหาศาล ถึงกับทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นสะเทือนไปทั้งร่าง ถอยกรูดไปข้างหลังหลายร้อยจั้ง พอเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นรูปปั้นสีดำที่แตกเป็นเสี่ยงๆ บนพื้น สายตาของเขาก็เผยความคลางแคลงใจออกมา

“ตายแล้วรึ?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version