บทที่ 987 สงครามเลื่อนระดับ
“คงไม่ง่ายดายขนาดนั้นกระมัง ตายไปทั้งอย่างนี้น่ะหรือ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินขึ้นหน้าเร็วๆ ไปหลายก้าว จนกระทั่งมาหยุดอยู่หน้ารูปปั้นที่แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ หลังจากตรวจสอบดูอย่างละเอียดเขาก็เห็นว่าบนแผ่นรูปปั้นเหล่านี้มีแต่ปราณความตายเข้มข้นเท่านั้น
อีกทั้งเมื่อแผ่อำนาจจิตออกไป เขาก็ยังไม่สามารถหาพลังชีวิตใดๆ เจอจากบนนั้น ต่อให้เขาหยิบเศษรูปปั้นสองสามแผ่นขึ้นมาตรวจสอบดูก็ยังได้ผลลัพธ์แบบเดียวกัน ราวกับว่าใบหน้าผีตายไปแล้วจริงๆ
เพราะอย่างไรซะใบหน้าผีที่ถูกกำราบนี้ก็มีตบะเหลือแค่คนฟ้าช่วงกลางเท่านั้น ซึ่งสำหรับป๋ายเสี่ยวฉุน การสังหารคนฟ้าช่วงกลางก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ง่ายมากจริงๆ
มีเพียงเรื่องเดียวที่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนคลางแคลงใจก็คือ ตอนที่ใบหน้าผีนี้ยังไม่ถูกกำราบให้อ่อนแอ มันคือบุคคลที่ถึงกับสามารถต่อสู้กับเทียนจุนได้
“ไม่ทนมือทนเท้าเอาเสียเลย เป็นถึงว่าที่บุพกาลได้ยังไงกัน!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเบ้ปาก ใจคิดจะจากไป แต่ความสงสัยกลับยังคงอยู่ สุดท้ายเขาก็ยืนคิดอยู่ตรงนั้น ก่อนจะกวาดอำนาจจิตไปทั่วโลกใบนี้อีกครั้ง พอไม่ได้ผลพวงอะไรกลับคืนมา ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้จากไป
ต่อให้จะเห็นกับตาตัวเองว่าใบหน้าผีนี้ตายไปแล้ว แต่ลึกๆ ในใจเขาก็ยังไม่เชื่อ ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไม่ได้ใส่ใจมากนัก เพราะอย่างไรซะโลกสมบัติอาคมใบนี้ก็ถูกปิดผนึก เรื่องของอีกฝ่ายจึงมีความเป็นไปได้เพียงสามอย่าง หากไม่ตายไปแล้วจริงๆ ก็ต้องแอบหนีไปอย่างลับๆ หรือความเป็นไปได้สุดท้ายก็คือแกล้งตาย
ส่วนเศษซากรูปปั้นพวกนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่คิดจะเอาไปด้วย หากอีกฝ่ายตายไปแล้วจริงๆ ก็ยังพอทำเนา แต่หากไม่ตาย บางทีเศษซากรูปปั้นพวกนั้นอาจมีความประหลาดซ่อนอยู่ก็เป็นได้
ยิ่งป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าต่อให้ทิ้งเอาไว้ตรงนี้ก็ไม่มีคนอื่นมาเก็บเอาไป ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งควรทิ้งไว้ที่เดิมเพื่อรอสังเกตการณ์ในวันหน้า เมื่อแน่ใจว่าไม่มีปัญหาจริงๆ ค่อยเอาไปถึงจะมั่นคงที่สุด
ไม่นานเวลาก็ผ่านไปแล้วหนึ่งเดือน ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ฝึกตนอยู่ในเขตฝนมักจะออกมาตรวจสอบตรงจุดที่มีเศษซากรูปปั้นทุกๆ ระยะสามวันห้าวัน
เศษซากพวกนั้นแน่นิ่งไม่ขยับ แม้ว่าปราณแห่งความตายที่อยู่ด้านบนจะสลายไปบางส่วน แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเศษชิ้นส่วนพวกนี้ค่อยๆ กลับคืนสู่ความปกติ อีกทั้งเมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดอำนาจจิตไปทั่วโลกอีกหลายครั้งก็สัมผัสไม่ได้ถึงปราณของใบหน้าผีอีก
“ไม่จริงกระมัง ตายแล้วจริงๆ รึ? ข้ายังเล่นไม่พอเลย!”
จิตใจป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มถูกโยกคลอน หลังจากผ่านไปอีกหนึ่งเดือนกว่าแล้วยังสัมผัสไม่ได้ถึงปราณของใบหน้าผี ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันเป็นประกายวาบ
“ความเป็นไปได้ที่สองตัดทิ้งไปได้เลย แสดงว่าหากมันไม่ตายจริงๆ ก็ต้องแกล้งตาย…ถ้าอย่างนั้นก็ลองดูแล้วกัน” ป๋ายเสี่ยวฉุนลูบคลำปลายคาง ครั้นจึงยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งที ทันใดนั้นเศษซากรูปปั้นก็ถูกเขาหอบเอามา
“เจ้าผีเฒ่า ข้าจะบอกเจ้าไว้เลยนะว่ามาแกล้งตายอยู่ต่อหน้าข้าไม่มีประโยชน์หรอก หากเจ้าทำเป็นแกล้งตาย เจ้าต้องเสียใจทีหลังแน่นอน” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยข่มขู่ไปหลายคำ แต่เศษชิ้นส่วนพวกนั้นก็ยังเป็นปกติ เขาจึงแค่นเสียงขึ้นจมูกหนึ่งที ครั้นจึงหอบเอาเศษซากพวกนั้นกลับไปยังพื้นที่เขตฝนด้วยกัน
หลังจากผ่านการดูดซับในช่วงที่ผ่านมาของป๋ายเสี่ยวฉุน น้ำฝนในเขตฝนก็ได้ลดน้อยลงไปมาก ไม่มีพายุฝนเทกระหน่ำลงมาอีกแล้ว แต่เหลือเพียงฝนเม็ดเล็กที่โปรยปราย ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ถือเศษซากรูปปั้นไว้ในมือห้อดิ่งตรงเข้าไปยังจุดลึกของเขตฝนอย่างไม่มีหยุดพักตลอดทาง
ปล่อยให้เม็ดฝนตกกระทบลงบนเศษชิ้นส่วน อีกทั้งยังรู้สึกว่าไม่มั่นคง ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงโยนเศษซากพวกนั้นลงไปในหลุมเว้าแห่งหนึ่งแล้วทำมุทราชักนำให้เม็ดฝนจากรอบด้านเทกระหน่ำลงมาตรงจุดนั้น จนค่อยๆ กลบทับหลุมนั่นไว้จนมิด
ป๋ายเสี่ยวฉุนจ้องเศษซากพวกนั้นตาไม่กะพริบ นี่ก็คือวิธีหยั่งเชิงที่เขาคิดขึ้นมาได้ เพราะอย่างไรซะตอนที่อยู่พื้นที่สายฟ้า ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เห็นกับตาตัวเองว่าสายฟ้าพวกนั้นทำร้ายผีเฒ่าได้อย่างรุนแรง
และยังมีลมพายุพัดกระหน่ำในหุบเขาวายุที่มีประสิทธิผลแบบเดียวกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงวิเคราะห์ว่าน้ำฝนในเขตฝนก็น่าจะได้ผลลัพธ์แบบเดียวกัน
หลังจากที่ถูกเม็ดฝนกลบทับ ตอนแรกเริ่มเศษซากพวกนี้ยังแน่นิ่งไม่ขยับ แต่ไม่นานกลับมีพลังชีวิตเป็นเส้นๆ แผ่ออกมา ขณะเดียวกันเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นก็พลันสั่นระริก และแค่พริบตาเดียวก็มีเสียงกัมปนาทดังสะท้านฟ้าคละเคล้าไปกับเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นมาจากด้านใน
“ป๋ายเสี่ยวฉุน ข้าผู้อาวุโสไม่ยอมจบกับเจ้าง่ายๆ แน่!”
“เจ้าผีเฒ่า เจ้าแกล้งตายจริงๆ ด้วย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนดวงตาเป็นประกาย ขณะที่เขากำลังพูด เศษซากที่แช่อยู่ในน้ำฝนกลับพร่าเลือน พริบตาเดียวก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
“มาแกล้งตายต่อหน้านายท่านป๋ายของเจ้า ไม่มีประโยชน์หรอก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะฮ่าๆ พลางกวาดอำนาจจิตออกไป พอสัมผัสได้ถึงปราณของใบหน้าผีก็รีบไล่กวดตามไปพร้อมเสียงหัวเราะทันที
นอกเขตฝนในเวลานี้ พื้นที่ว่างเปล่าแห่งหนึ่งพลันพร่าเลือน และครู่เดียวก็มีเศษซากรูปปั้นชิ้นแล้วชิ้นเล่าปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า เศษชิ้นส่วนพวกนี้กลายมาเป็นควันดำที่พอรวมตัวกันก็เผยให้เห็นเงาร่างของใบหน้าผี
เพียงแต่ว่ามันในเวลานี้อ่อนแอกว่าก่อนหน้านั้นเยอะมาก ดวงตาของมันแฝงไว้ด้วยความหวาดกลัว แต่ที่มากกว่าคือความคลุ้มคลั่งอย่างลึกล้ำ ไฟโทสะในใจพวยพุ่งเทียมฟ้าอยู่นานแล้ว แต่กระนั้นกลับไร้หนทางให้ระบายออก
มันแกล้งตายจริงๆ ก่อนหน้านี้หลังจากที่วิเคราะห์ได้ว่าหากตนไม่ตายป๋ายเสี่ยวฉุนก็คงไม่มีทางยอมเลิกรา ความคิดเดียวที่มันคิดขึ้นมาได้ก็คือวิธีนี้ อีกทั้งเพื่อให้สมจริงยิ่งกว่าเดิม มันจึงทำให้ตัวเองตายไปแล้วจริงๆ เพราะอย่างไรซะมันก็คือร่างวิญญาณ วิชาที่ฝึกตนก็เป็นวิชาผี ดังนั้นมองดูแล้วเหมือนแกล้งตาย ทว่าความจริงกลับแทบไม่ต่างอะไรไปจากตายจริงๆ
หากไม่มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น ไม่ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะบีบให้เศษชิ้นส่วนพวกนั้นแตกออกหรือใช้วิธีการอื่นๆ มาทำให้เศษซากรูปปั้นกลายเป็นฝุ่นผง สามสิบปีให้หลัง ใบหน้าผีก็ยังคงสามารถฟื้นตื่นขึ้นมาใหม่ในจุดที่ร่างแหลกสลายได้ดังเดิม
ทว่า…มันดันมาเจอกับเจ้าวายร้ายป๋ายเสี่ยวฉุนที่ถึงขนาดเอามันไปโยนไว้ในเขตฝน เมื่ออยู่ภายใต้การกัดกร่อนของพลังฟ้าดินที่สั่งสมอยู่ในโลกสมบัติอาคมนี้ สภาวะแกล้งตายของมันจึงถูกทำลายลงในพริบตา ความเจ็บปวดจากการที่ต้นกำเนิดพลังชีวิตสลายหายไป ทำให้มันถูกกระตุ้นให้ฟื้นตื่นทันที
มันถึงขั้นไม่กล้าแกล้งตายต่อไป หาไม่แล้วมันก็มีลางสังหรณ์อย่างแรงกล้าว่าหลังจากที่ถูกดูดพลังชีวิตไปหมด ตนก็คงต้องตายอยู่ที่นี่จริงๆ
ดังนั้นมันจึงได้แต่ร่ายใช้เวทลับหนีออกมาจากเขตฝนอีกครั้ง เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่ร่ายใช้เวทลับจะสร้างบาดแผลไม่น้อยให้กับมัน มันเหนื่อยล้ามากเหลือเกินแล้ว แต่ต่อให้เหนื่อยแค่ไหนก็ยังเทียบกับความสิ้นหวังในใจของมันไม่ได้
“สวรรค์ ข้าทำผิดอะไรไว้กันแน่ ท่านถึงต้องให้ข้ามาเจอกับเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนที่สมควรตายนับพันนับหมื่นครั้งผู้นี้!!”
ใบหน้าผีร้องคร่ำครวญอย่างเศร้ารันทด พอสัมผัสได้ว่าปราณของป๋ายเสี่ยวฉุนที่พลุ่งพล่านทรงพลังกำลังขยับเข้ามาใกล้จากฟ้าดินที่ห่างไปไกล มันก็สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง รีบร่ายใช้เวทลับหนีไปอีกครั้งท่ามกลางความสิ้นหวังและความเศร้าเสียใจ
แทบจะวินาทีเดียวกับที่มันหายไป ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เดินออกมาจากความว่างเปล่า พอมองไปรอบด้าน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กระแอมหนึ่งทีแล้วตะโกนดังลั่น
“ผีน้อย รีบไปซ่อนตัวให้ดีนะ ข้าจะไปจับเจ้าแล้ว!” พูดจบเขาก็หายตัวไปอีกครั้งแล้วไล่กวดไปตามความรู้สึกที่สัมผัสได้อย่างรางๆ
ไม่นานเวลาก็ผ่านไปอีกหลายเดือน หลายเดือนมานี้ความสนุกสนานทั้งหมดของป๋ายเสี่ยวฉุนล้วนอยู่ที่ความเจ็บปวดของใบหน้าผี
ทุกวันหลังจากที่ฝึกตนจนเหน็ดเหนื่อยแล้ว เขาก็จะออกมาข้างนอกเพื่อไล่ตามหาใบหน้าผีแล้วอัดอีกฝ่ายอย่างหนักหน่วง จากนั้นค่อยบีบให้ใบหน้าผีจำต้องร่ายใช้เวทลับหนีไปอีกครั้ง หากอารมณ์ดี เขาก็จะไล่ตามไปต่ออีกสองสามที เพื่อให้ใบหน้าผีร่ายใช้เวทลับมากกว่าเดิมอีกเล็กน้อย
แต่หากอารมณ์ไม่ดี ป๋ายเสี่ยวฉุนก็จะไล่กวดไปอย่างไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งจับใบหน้าผีได้แล้วโยนมันเข้าไปไว้ในเขตฝน เป็นเหตุให้เสียงร้องโหยหวนของใบหน้าผีดังก้องอยู่ในโลกสมบัติอาคมทุกวัน
วันเวลาเหล่านี้ดำเนินติดต่อกันไปอีกหลายเดือน สำหรับใบหน้าผีแล้วนี่คือประสบการณ์อย่างที่มันไม่เคยสัมผัสมาก่อนตลอดชีวิต ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกายหรือจิตใจ ความเจ็บปวดเช่นนั้นก็ล้วนทำให้มันรู้สึกว่าอยากตายแต่ดันตายไม่ได้
ท่ามกลางสภาพน่าเวทนา ตบะของมันก็ลดดิ่งลงอย่างรวดเร็วจนเหลือเพียงแค่คนฟ้าช่วงต้น
ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมีการพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง เลือดคงกระพันของเขาใกล้จะสะสมได้ถึงเจ็ดส่วนแล้ว ส่วนตบะของเขาก็ขยับเข้าไปใกล้จุดสูงสุดของคนฟ้าช่วงท้ายมากขึ้นทุกขณะ ซึ่งดูเหมือนว่าจะอยู่ไม่ห่างจากขั้นสมบูรณ์แบบเท่าไหร่แล้ว
ยังดีที่พอผ่านไปหลายเดือน เขตฝนจึงกำลังจะสลายหายไป ป๋ายเสี่ยวฉุนเล่นจนเบื่อแล้ว หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะถึงช่วงเวลาสำคัญของการฝึกตนของเขา เวลาที่เขาออกมาข้างนอกจึงลดน้อยลงเรื่อยๆ ทำให้ใบหน้าผีตื่นเต้นจนแทบหลั่งน้ำตา
เวลาเดียวกันนั้น นอกโลกสมบัติอาคม สงครามระหว่างสี่สำนักต้นแม่น้ำกับแดนทุรกันดารก็ได้มาถึงระดับที่ดุเดือดอย่างถึงที่สุด
สำนักของแม่น้ำสี่สายที่ไม่ว่าจะเป็นต้นแม่น้ำ แม่น้ำตอนกลางหรือแม่น้ำตอนล่างต่างก็ระดมนักพรตมาเกือบห้าส่วน เมื่อรวมเข้าด้วยกัน จำนวนจึงมากมหาศาล กองทัพยิ่งใหญ่เกรียงไกร สะท้านฟ้าสะเทือนดิน
นักพรตห้าส่วนทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่ทงเทียนล้วนบุกเข้าไปในแดนทุรกันดาร เข้าร่วมสมรภูมิรบ เปิดศึกนองเลือดกับแดนทุรกันดาร ส่วนแดนทุรกันดารนั้นเนื่องจากรากฐานเทียบกับฝ่ายทงเทียนไม่ได้ ยามที่ต้องรับศึกจึงจำต้องระดมกำลังพลมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นคนจากชนเผ่า ตระกูลต่างๆ พระยาสวรรค์ เจ้าพระยาสวรรค์ทั้งหมด หรือแม้แต่สี่ราชาสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ก็ล้วนเข่นฆ่าศัตรูด้วยดวงตาแดงก่ำ
สงครามดุเดือดอำมหิตอย่างถึงที่สุด!
สองฝ่ายต่างก็มีคนฟ้าตาย และทุกครั้งที่คนฟ้าตายก็จะทำให้ฟ้าดินเกิดเสียงกัมปนาทสั่นสะเทือน และนี่ยังไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะว่า…หลังจากศึกของคนฟ้าแล้ว ผู้แข็งแกร่งครึ่งเทพของทั้งสองฝ่ายต่างก็เริ่มลงมือกันแล้ว!
แดนทุรกันดารกลายมาเป็นสมรภูมิรบ เมื่อสี่ราชาสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่และบุรพาจารย์ครึ่งเทพของสี่สำนักต้นแม่น้ำลงมือ เสียงอึกทึกเกริกก้องก็ดังสะท้านไปทั่วโลกทั้งใบ