Skip to content

A Will Eternal 990

บทที่ 990 ข้าทน…

“ในที่สุดตบะของเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนต่ำช้าผู้นั้นก็ฝ่าทะลุขั้นแล้ว…”

ตอนนี้ใบหน้าผีนอนหงายอยู่ในที่ซ่อนตัว มองท้องฟ้าด้วยสายตาเหม่อลอย พอเห็นใบหน้าของทารกหญิงที่อยู่บนนั้นมันก็ถอนหายใจยาวเหยียด ในใจบังเกิดความเศร้าอาลัย แต่ที่มากกว่านั้นคือความตื่นเต้น

มันรู้สึกว่าตัวเองทนผ่านช่วงเวลาหลายปีนี้มาได้นับว่าไม่ง่ายเลยจริงๆ และตอนนี้เมื่อตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนฝ่าทะลุขั้น เมื่อพลังฟ้าดินของสี่พื้นที่หายไป ใบหน้าผีจึงคิดว่าช่วงเวลาสำคัญที่จะตัดสินเรื่องราวทุกอย่างได้มาถึงแล้ว

“ในเมื่อวิญญาณนี้กำลังจะกลายมาเป็นวิญญาณของวัตถุ…เมื่อถึงเวลานั้น โลกสมบัติอาคมชิ้นนี้ก็จะถูกนางควบคุมได้อย่างสมบูรณ์แบบ และเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนสมควรตายผู้นั้นก็ต้องให้วิญญาณวัตถุเปิดประตูเพื่อจากไป…” ใบหน้าผีเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและรอคอย มันรู้ดีว่านี่คือโอกาสเดียวที่ตัวเองจะออกไปจากที่นี่ หากคว้าโอกาสนี้เอาไว้ได้ พอออกไปแล้ว มันก็เชื่อว่าตบะของตัวเองต้องสามารถฟื้นคืนกลับมาได้ในชั่วพริบตา

เมื่อถึงเวลานั้น มันสาบานว่าจะต้องให้เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนเสียใจที่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้

และระหว่างนี้ที่มันต้องทำก็คือพยายามอย่างสุดความสามารถให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเชื่อว่าตนไม่มีพิษมีภัย มันถึงขั้นคิดไว้เรียบร้อยแล้วว่าอีกฝ่ายจะต้องหาวิธีการมาควบคุมตนแน่นอน ถึงเวลานั้นมันก็จะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันเชื่อว่าด้วยเวทลับที่มันมีอยู่ ขอแค่ได้ออกไป ก็ต้องสามารถทำลายตราผนึกทั้งหมดที่พันธนาการมันไว้ได้แน่นอน

“แต่จะเอาความหวังไปฝากไว้ที่เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนสมควรตายผู้นั้นทั้งหมดไม่ได้ หากสมองของคนผู้นี้มีปัญหา มองไม่ออกถึงคุณค่าของข้า ไม่คิดจะควบคุมข้าเพื่อพาออกไป…แบบนั้นข้าก็ไม่กลัว!” จุดลึกของดวงตาใบหน้าผีมีประกายเย็นเยียบซุกซ่อนอยู่ อันที่จริงมันเริ่มเตรียมการเอาไว้ตั้งแต่เมื่อสองปีก่อนแล้ว

สองปีมานี้แม้ตบะของมันจะถูกกำราบจนหล่นมาอยู่ก่อกำเนิด แต่มันก็แอบใช้พลังวิญญาณเทพของตัวเองสั่งสมกำลังไว้อย่างลับๆ จนกระทั่งวันนี้มีพลังมากพอให้โจมตีได้หนึ่งครั้ง

พลังการโจมตีหนึ่งครั้งนี้ไม่ได้แสดงออกในรูปแบบของพลังการต่อสู้ แต่เป็นวิธีการหายตัว แม้ว่าจะเผาผลาญวิญญาณเทพของมันไปเกือบครึ่ง แต่มันก็มั่นใจว่าหากป๋ายเสี่ยวฉุนไม่คิดจะพาตนออกไปด้วย ถ้าเช่นนั้นวินาทีที่โลกของสมบัติอาคมเปิดออก มันก็จะร่ายใช้เวทลับ รวบรวมพลังการโจมตีนี้ให้กลายมาเป็นความเร็วสะท้านฟ้าที่พามันหายตัวออกไปอย่างไม่ลังเล!

“การเตรียมการสองอย่าง ไม่ว่าอย่างไหนก็ล้วนทำให้ข้าหนีออกไปได้อย่างราบรื่นและฟื้นคืนตบะกลับมาเป็นดังเดิม!”

“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้ารอก่อนเถอะ!!” ใบหน้าผีควบคุมความตื่นเต้นเอาไว้แทบไม่ไหว ทว่าไม่นานมันก็ต้องหน้าเปลี่ยนสี

“เขามาแล้ว!” ใบหน้าผีสูดลมหายใจเข้าลึก สัมผัสได้ถึงปราณอันน่าตะลึงของป๋ายเสี่ยฉุนที่อยู่ห่างออกไปซึ่งกำลังพุ่งมาใกล้ มันที่ตัวสั่นก็รีบระงับความตื่นเต้นเอาไว้ เผยสีหน้าซึมกะทือ มองท้องฟ้าอย่างเหม่อลอย ทำให้คนมองรู้สึกได้ถึงความด้านชาเพราะความสิ้นหวัง ทว่าแท้จริงแล้วในใจมันกลับระมัดระวังอย่างถึงที่สุด

ไม่นานนักฟ้าดินก็สั่นสะเทือน ความว่างเปล่าบิดเบือน ก่อนที่ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนซึ่งก้าวออกมาหนึ่งก้าวจะปรากฏกายอยู่กลางอากาศ เขายืนอยู่ตรงรนั้น เชิดหน้าอย่างโอหัง สะบัดปลายแขนเสื้อเบาๆ พลางเอ่ยเสียงเนิบช้า

“ผีน้อย มีธุระต้องการให้เจ้าช่วยหน่อย”

ได้ยินว่าอีกฝ่ายเรียกตนว่าผีน้อย ในใจใบหน้าผีก็กระตุกรัวอยู่ครู่หนึ่ง แต่กลับไม่กล้าแสดงความไม่พอใจออกมา ยังคงแสร้งทำท่าทึ่มทื่อ มองไปยังความว่างเปล่าทิศไกลด้วยสายตาเลื่อนลอย

เห็นว่าใบหน้าผีทำท่าทางเช่นนี้มาตลอดสองปีกว่า ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง ครุ่นคิดว่าหรือเป็นเพราะตนยังไม่น่ากริ่งเกรงมากพอ ดังนั้นจึงถลึงตาใส่อีกฝ่าย

“ผีน้อย เงยหน้าขึ้นมา!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะคอก ครั้นจึงระเบิดคลื่นตบะคนฟ้าขั้นสมบูรณ์แบบออกมา เป็นเหตุให้โลกใบนี้เปลี่ยนสีทันควัน และปณิธานของเขาก็แผ่ตะลุยออกไปทั่วแปดทิศ

ปณิธานนี้แกร่งกร้าวจนคล้ายจะสร้างผลกระทบให้กับโลกทั้งใบ อีกทั้งภายในยังแฝงเร้นไว้ด้วยการเปลี่ยนแปลงที่มหัศจรรย์บางอย่าง ราวกับว่าทุกการกระทำของป๋ายเสี่ยวฉุนล้วนมีกฎเกณฑ์แห่งโลกดำรงอยู่ สายตาของเขาก็ยิ่งเป็นเหมือนดวงตาแห่งท้องนภา พลานุภาพสยบบนร่างก็ยิ่งเหมือนพลานุภาพสยบจากสวรรค์ที่แท้จริง!!

ทั้งยังถึงขั้นทำให้คนเกิดความรู้สึกลวงตาว่าตัวตนของเขา ก็คือร่างจำแลงของโลกใบนี้!

อีกทั้งบนร่างของเขายังมีวงแสงเจิดจ้าสาดส่องออกมา แสงนี้เป็นเหมือนกับอาภรณ์ชุดหนึ่งที่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนซึ่งยืนอยู่บนท้องฟ้าเด่นสะดุดตามากเป็นพิเศษ

การเปลี่ยนแปลงนี้บางทีคนนอกอาจมองเส้นสนกลในไม่ออก อาจแค่สัมผัสได้ถึงความน่าเกรงขามจากตัวของป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้น แต่พอใบหน้าผีมองไป แค่ปราดเดียวมันก็มองออกว่า นี่คือ…

“ฟ้าเป็นดั่งใจปรารถนา…อาภรณ์แห่งโลกา…” ใจของใบหน้าผีสั่นสะท้าน ฟ้าเป็นดั่งใจปรารถนาก็คือสภาพการณ์อย่างหนึ่งที่จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเลยขีดจำกัดสูงสุดของขอบเขตคนฟ้ามาแล้ว

ภายใต้สภาพการณ์เช่นนี้ นักพรตจะผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน ปณิธานของเขาก็คือปณิธานแห่งฟากฟ้า ความคิดของเขาก็คือความคิดของโลก

“เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนสมควรตายผู้นี้มีพรสวรรค์น่าตะลึงยิ่งนัก หาใช่คนฟ้าทุกคนที่จะไต่มาถึงระดับฟ้าเป็นดั่งใจปรารถนานี่ได้ แล้วก็ไม่ใช่ฟ้าเป็นดั่งใจปรารถนาทุกคนที่สามารถก่อร่างปณิธานของอาภรณ์แห่งโลกาขึ้นมาได้…นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่มีเฉพาะคนที่จะฝ่าเขตคนฟ้า ก้าวสู่ครึ่งเทพเท่านั้น”

ใบหน้าผีรู้สึกซับซ้อน แต่ที่ยิ่งมากกว่าคือความขมขื่น มันรู้ดีว่าหลังจากฟ้าเป็นดั่งใจปรารถนาแล้วก็คือขอบเขตของครึ่งเทพ!

หากบอกว่าขอบเขตคนฟ้าคือการผสานรวมปณิธานของตัวเองให้เป็นหนึ่งกับฟ้าดิน เพื่อยืมใช้พลังของฟ้าดิน ถ้าเช่นนั้นครึ่งเทพ…ก็สามารถบุกเบิกโลกใบหนึ่งที่เป็นของตัวเองโดยเฉพาะออกมาได้ แปลงจิตวิญญาณให้เป็นวิญญาณเทพ ปณิธานของครึ่งเทพจะช่วงชิงกับปณิธานฟ้าดิน ถึงขั้นที่ว่าหากถึงจุดสูงสุดจะสามารถกำราบฟ้าดินได้อีกด้วย!

เมื่อสังเกตเห็นว่าในสายตาที่เดิมทีเลื่อนลอยของใบหน้าผีมีความตกตะลึงปรากฏขึ้นเสี้ยวหนึ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกเบิกบานใจ ความรู้สึกที่เป็นที่จับตามองของผู้คน โดยเฉพาะการที่สร้างความตื่นตะลึงให้กับคนผู้หนึ่งซึ่งก่อนหน้านี้เคยต่อสู้กับเทียนจุน ทั้งยังเคยไล่ฆ่าตัวเองได้นั้น ทำให้เขาลำพองใจอย่างยิ่งยวด

ยามนี้จึงขยับร่างมาหยุดอยู่ข้างกายใบหน้าผี ยกมือขวาขึ้นตบถุงเก็บของหนึ่งครั้ง แสงสีดำเปล่งวาบ ร่มราตรีนิรันดร์ก็มาอยู่ในมือของป๋ายเสี่ยวฉุน

“ตอนนี้การฝึกตนของข้ายังขาดพลังชีวิตอยู่อีกเล็กน้อย เจ้าเป็นถึงว่าที่บุพกาลผู้ยิ่งใหญ่ มีพลังชีวิตมากมายถึงเพียงนั้น ขอให้ข้ายืมใช้สักหน่อย เจ้าคงไม่ปฏิเสธกระมัง”

ป๋ายเสี่ยวฉุนเลียริมฝีปาก มองใบหน้าผีที่ตัวสั่นเทาแล้วจิ้มร่มราตรีนิรันดร์เข้าไป

ใบหน้าผีสั่นเยือกไปทั้งร่าง ใจอยากจะต่อต้านและดิ้นรน แต่กลับรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ ยิ่งพอมันคิดถึงว่าอีกไม่นานประตูของโลกสมบัติอาคมจะเปิดออก จึงได้แต่กัดฟันอยู่ในใจ เปลี่ยนความคลุ้มคลั่งทั้งหมดให้กลายมาเป็นความรอคอยที่จะได้แก้แค้นป๋ายเสี่ยวฉุน ครั้นจึงหลับตาลงเงียบๆ

“ข้าทน…ยังเหลืออีกสามวัน ข้าทนมาแล้วสองปี อีกแค่สามวันจะเป็นไรไป!”

ทว่าใบหน้าผีดูถูกการกลืนกินพลังชีวิตของร่มราตรีนิรันดร์มากเกินไป เมื่อร่มราตรีนิรันดร์ทิ่มลงมาในร่างของใบหน้าผี ทันใดนั้นแรงดึงดูดที่น่าตะลึงขุมหนึ่งก็พลันระเบิดออกมาจากในตัวร่ม

เดิมทีใบหน้าผีกำลังหลับตา แต่จู่ๆ มันก็ลืมตาโพลง นัยน์ตาฉายแสงแห่งความเหลือเชื่อ อีกทั้งยังร้องโหยหวนออกมาอย่างอดไม่ไหว

เพราะวินาทีนี้พลังชีวิตของมันห้อตะบึงออกไปหาร่มราตรีนิรันดร์อย่างมิอาจควบคุมราวกับม้าพยศที่ถูกปลดบังเหียน

เวลาสั้นๆ เพียงแค่ไม่กี่อึดใจ พลังชีวิตทั่วร่างของมันก็ถูกดูดไปหนึ่งถึงสองส่วนจากทั้งหมดร้อยส่วน มันตกใจจึงเตรียมจะขัดขืน แต่พอคิดว่าอีกสามวันวิญญาณวัตถุจะฟื้นตื่น มันที่ตัวสั่นสะท้านก็เตือนตัวเองอีกครั้ง

“ข้าทน!!”

พลังชีวิตที่เข้มข้นนั้นไหลกรากตามร่มราตรีนิรันดร์เข้าสู่ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นประกายวาววับทันใด ลมหายใจก็ถี่กระชั้นน้อยๆ เขารู้ว่าพลังชีวิตของใบหน้าผีนี้ไม่ธรรมดา แต่ก็ยังอดตะลึงระคนดีใจไปกับความเข้มข้นของพลังชีวิตอีกฝ่ายไม่ได้

เมื่อพลังชีวิตไหลกรากเข้ามาในร่าง เลือดคงกระพันแปดส่วนของเขาก็โคจรอย่างบ้าคลั่ง พอดูดกลืนพลังชีวิตมาอย่างต่อเนื่องเลือดคงกระพันก็แผ่ลามขยายออกไปอย่างรวดเร็ว สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเลือดคงกระพัน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถึงกับเม้มปากด้วยความปลื้มปิติ เหลือบมองใบหน้าผีแวบหนึ่ง

“ไอ้หมอนี่คือยาพลังชีวิตเม็ดหนึ่งชัดๆ ไม่รู้ว่าจะกินเข้าไปตรงๆ ได้เลยหรือไม่…”

พอคิดอย่างนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หวั่นไหวอย่างยิ่ง จึงทิ่มร่มราตรีนิรันดร์เข้าไปลึกอีกหน่อย แรงดึงดูดจึงเพิ่มขึ้นพรวดพราดตามไปด้วย เมื่อพลังชีวิตไหลออกไป ใบหน้าผีก็ร้องคร่ำครวญอยู่ในใจดุเดือดกว่าเดิม มันพบว่าตอนนี้พลังชีวิตของตนถูกดูดเอาไปหนึ่งส่วนแล้ว

นี่จึงทำให้มันตระหนกลนทันใด กำลังจะต่อต้าน แต่พอหันไปเห็นสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุน มันก็ตัวสั่นเทิ้มทันที

“ไอ้หมอนี่คิดจะกินข้า!! สวรรค์ เหตุใดเขาถึงมีความคิดเช่นนี้ได้ สมควรตายนัก ปกติต้องเป็นข้าที่กินคนอื่นสิถึงจะถูก!!”

“ข้า…ข้าจะทน!!” ใบหน้าผีตกใจจนขวัญเกือบกระเจิง ยังดีที่พอป๋ายเสี่ยวฉุนใคร่ครวญดูแล้วรู้สึกว่ายังมีความเสี่ยง ใช้ร่มราตรีนิรันดร์น่าจะมั่นคงกว่า จึงล้มเลิกความคิดที่จะกินใบหน้าผีไป

แต่เขากลับไม่รู้ว่า ความคิดในใจของเขาได้แสดงออกทางสายตาที่สาดแสงออกมา ซึ่งนั่นทำให้ใบหน้าผีตกใจจนเกือบจะแหลกสลายเสียแล้ว

เวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานพลังชีวิตของใบหน้าผีก็ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนดูดเอาไปเกือบสี่ส่วน วิญญาณเทพของใบหน้าผีเริ่มไม่มั่นคง เวลานี้อ่อนระโหยโรยแรงอย่างถึงที่สุด มีอยู่หลายครั้งที่มันคิดจะต่อต้าน แต่พอคิดถึงสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก่อนหน้านี้ มันที่ตัวสั่นสะท้านก็ได้แต่เตือนตัวเองอีกครั้งว่าต้องอดทน…

จนกระทั่งดูดไปได้ครบสี่ส่วน ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงยอมหยุดมือ ไม่ได้สนใจใบหน้าผี แต่ถือร่มราตรีนิรันดร์จากไป พอหาพื้นที่เหมาะๆ เจอก็เริ่มเข้าฌานย่อยพลังที่เพิ่งดูดเอามา

ใบหน้าผีโล่งใจได้ในที่สุด มันมองโลกใบนี้ด้วยความรันทดหดหู่ ในใจคาดหวังให้สามวันนี้ผ่านพ้นไปโดยเร็วที่สุด…

“ป๋าย! เสี่ยว! ฉุน! รอข้าออกไปเมื่อไหร่ ข้าจะดูดซับพลังชีวิตของเจ้ากลับคืนมาอีกหลายๆ เท่า เจ้าถึงขนาดคิดจะกินข้า เจ้ายังเป็นคนอยู่ไหม ข้าจะกินเจ้า!!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version