บทที่ 989 สถานการณ์ร้ายแรง
เวลาเดียวกัน นอกโลกสมบัติอาคม สงครามระหว่างแผ่นดินใหญ่ทงเทียนและแดนทุรกันดารก็ยิ่งดุเดือดมากขึ้นเรื่อยๆ สำนักของแม่น้ำสี่สายก็ได้ระดมนักพรตออกมาร่วมศึกมากเกือบเจ็ดส่วนแล้ว
นักพรตจำนวนมากขนาดนี้เมื่อรวมกันจึงกลายมาเป็นสี่กองทัพใหญ่ที่คล้ายลูกธนูแหลมคมสี่ดอกซึ่งยิงทะลวงทุกสรรพสิ่ง ทะยานดิ่งเข้าหาแดนทุรกันดารด้วยอานุภาพแห่งการทำลายล้าง ทำให้แดนทุรกันดารที่เดิมทีก็อ่อนแออยู่แล้วมิอาจยืนหยัดได้อีกจนเริ่มพ่ายแพ้ถอยร่น!
ขนาดการลงมือของสี่ราชาสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังมิอาจเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้ ภายใต้วิชาอภินิหารของบุรพาจารย์ครึ่งเทพของสี่สำนักต้นแม่น้ำ พวกเขาจำเป็นต้องถอยร่นเว้นพื้นที่ ทำให้แนวรบยิ่งหดเล็กลงเพื่อแลกมาด้วยโอกาสในการพักหายใจหายคอ และสะดวกแก่การรวมรวบพละกำลังที่มากกว่าเดิมในการโจมตีกลับไป
การถอยร่นนี้กินพื้นที่สามส่วนของตลอดทั้งแดนทุรกันดาร ส่วนทางฝ่ายของสี่สำนักใหญ่ต้นแม่น้ำกลับยังบุกจู่โจมอย่างเหี้ยมหาญจากสี่ทิศอย่างออกตกเหนือใต้ โอบล้อมแดนทุรกันดารให้อยู่กลางวง!
สงครามในลำดับถัดมาก็คือการบีบอัดวงล้อมให้แคบลงเรื่อยๆ เป็นเหตุให้อาณาเขตของแดนทุรกันดารเริ่มน้อยลง จนกระทั่งได้ถึงระดับที่ต้องการแล้ว ทางฝ่ายทงเทียนก็จะเริ่มเปิดฉากศึกตัดสินแพ้ชนะครั้งสุดท้าย!
สามารถพูดได้ว่าสงครามครั้งนี้ใช้เวลาน้อยกว่าในอดีตหลายเท่าตัว ทว่าระดับความอำมหิตโหดเหี้ยมกลับเหนือเกินกว่าทุกครั้ง เดิมทีภาพเหตุการณ์เช่นนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้น แต่คราวนี้ด้านหนึ่งเป็นเพราะเทียนจุนยืนกรานตั้งปณิธานแน่วแน่ เป็นเหตุให้สำนักของแม่น้ำสี่สายจำต้องเข้าร่วมการต่อสู้ในศึกครั้งนี้อย่างเต็มกำลัง
อีกด้านหนึ่งก็เพราะความชราภาพของคนเฝ้าสุสานจึงเป็นเหตุให้ไม่สามารถปกป้องแดนทุรกันดารได้อย่างที่เคย บวกกับที่จักรพรรดิหมิงคนใหม่ยังเติบโตไม่เต็มที่จึงได้แต่เป็นฝ่ายถูกกระทำ
เมื่อเป็นเช่นนี้ ระดับความโหดร้ายของสงครามครั้งนี้จึงเหนือกว่าในอดีตหลายเท่าตัว และเมื่อการโอบล้อมโจมตีเกิดขึ้น เมื่ออิทธิพลของแดนทุรกันดารหดเล็กลงอย่างต่อเนื่อง ศึกระหว่างคนฟ้าจึงเกิดขึ้นถี่กว่าเดิม คนที่บาดเจ็บและล้มตายก็มากขึ้นตามลำดับ
มาจนถึงตอนนี้ คนฟ้าของสองฝ่ายที่ตายไปเกินสิบท่านแล้ว แม้แต่ครึ่งเทพด้วยกันเองก็ยังเกิดการต่อสู้แห่งตัดสินเป็นตายอยู่หลายครั้ง แม้จนถึงตอนนี้จะยังไม่มีครึ่งเทพคนไหนตายไป แต่ดูจากสถานการณ์การต่อสู้ในตอนนี้แล้ว เกรงว่าอีกไม่นานคงมีความเป็นไปได้ที่ครึ่งเทพจะตายดับในศึกนี้!
แดนทุรกันดารในตอนนี้มีคนบาดเจ็บและล้มตายมากมาย ชนพื้นเมืองคนแล้วคนเล่าถูกฆ่าล้างตระกูล เหลือเพียงซากกระดูก ทอดสายตามองไปก็เห็นเพียงไฟสงครามที่ลุกโชติช่วงท่วมแผ่นดินแดนทุรกันดาร
เมื่อเทียบกับชนพื้นเมืองเหล่านี้แล้ว กองทัพของสี่ราชาสวรรค์ก็ไม่ต่างกัน ทหารแต่ละคนเหน็ดเหนื่อยจนแทบประคองตัวไม่ไหว ได้แต่กัดฟันเข้าร่วมการต่อสู้ต่อไป นั่นเป็นเพราะสงครามครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าจุดจบสุดท้ายของทั้งสองฝ่ายย่อมต้องเป็นฝ่ายหนึ่งที่ถูกดับทำลายอย่างสิ้นซาก!
ไม่ยอมรับการสวามิภักดิ์ ไม่ยอมรับการยอมแพ้ ทางเลือกเดียวที่มีก็คือความตาย!
นี่คือท่าทีของเทียนจุน ท่าทีที่เขามีให้แก่คนเฝ้าสุสาน!
หากไม่เปิดประตูโลกใบนี้ให้ข้า ถ้าเช่นนั้น…ข้าก็จะสังหารสายเลือดของจักรพรรดิขุยทุกคน สังหารคนของแดนทุรกันดารทุกคน!
ขณะเดียวกัน ในสงครามครั้งนี้ทางฝ่ายแดนทุรกันดารก็มีศิษย์แห่งความภาคภูมิใจลุกผงาดขึ้นมาคนแล้วคนเล่า
ไม่ว่าจะเป็นกงซุนอี้ โจวหง หรือเฉินม่านเหยา ซวี่ซาน พิธีชำระล้างด้วยเลือดในสงครามครั้งนี้ รวมถึงประสบการณ์ความเป็นความตายที่ได้รับในระยะเวลาสั้นๆ ก็ล้วนขัดเกลาให้พวกเขาเติบโตขึ้นมาท่ามกลางลมคาวฝนเลือด
โดยเฉพาะสตรีธุลีแดงที่ยิ่งเป็นเช่นนี้ นางนำกองทัพของกองผียักษ์เปิดฉากการต่อสู้ที่ดุเดือดกับสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา ทำให้สำนักของแม่น้ำอีกสามสายต่างประหวั่นพรั่นพรึง
ส่วนสำนักของฝ่ายทงเทียนก็เป็นเช่นเดียวกัน ภายใต้ไฟสงครามครั้งนี้ เหล่าผู้มีความสามารถเลิศล้ำพากันผงาดขึ้นมาสาดประกายแสงเจิดจ้า
ราวกับว่า…โลกทั้งใบกลายมาเป็นเหมือนดอกไม้ดอกหนึ่งที่กำลังจะเหี่ยวเฉาโรยรา และในช่วงเวลาสุดท้ายที่มันจะดับสลายไปนี้ก็ได้ใช้กำลังเฮือกสุดท้ายทำให้ตัวเองบานสะพรั่ง หมายจะปลดปล่อยประกายแสงที่พร่างพราวเหนือกว่าสิ่งใด
ไม่ว่าจะเป็นคนฟ้า ก่อกำเนิดหรือรวมโอสถก็เป็นเหมือนกันหมด!
สำนักสยบธารเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ซ่งเชวีย ซ่างกวานเทียนโย่ว สวีเป่าไฉและยังมีบุรพาจารย์ธาราเทพที่กลายเป็นฟ้าสำเร็จก็ล้วนทำในแบบเดียวกัน!
มีคนตายเกิดขึ้นแทบจะทุกวัน แผ่นดินของแดนทุรกันดารไม่ถึงขั้นกลายเป็นสีเลือดทั้งหมด แต่หากยืนมองมาจากบนท้องฟ้าก็จะเห็นสถานที่ไม่น้อยที่พื้นดินถูกอาบย้อมไปด้วยเลือดสด!
เวลานี้ในหุบเขาแห่งหนึ่งที่ราชาผียักษ์เป็นผู้รับผิดชอบกำลังมีสงครามขนาดเล็กระเบิดขึ้น ทางฝ่ายทงเทียนที่รับผิดชอบศึกนี้ก็คือสำนักใหญ่แม่น้ำตอนกลางหลายแห่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือบุรพาจารย์ธาราเทพของสำนักสยบธาร และยังมีซ่งจวินหว่าน เถี่ยตั้นที่ต่างก็อยู่ในกลุ่มคน
พวกเขาไม่อยากสู้ แล้วก็รู้สึกได้ด้วยว่ากองทัพผียักษ์จากแดนทุรกันดารไม่มีใจอยากสังหารพวกเขา ทว่าสงครามที่ระเบิดขึ้นมาแล้วหาใช่สิ่งที่สำนักธาราเทพของพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามใจต้องการ ภายใต้การไหลไปตามกระแสน้ำ ต่อให้สำนักสยบธารจะไม่เต็มใจแค่ไหนก็จำต้องเข้าร่วม…
และผู้บัญชาการณ์ของพวกเขาก็คือป๋ายเจิ้นเทียนแห่งสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา!
ยามนี้ดวงตาทั้งคู่ของเขาแดงก่ำ ลมหายใจถี่รัว แม้ว่าดูจากสถานการณ์โดยรวมแล้วฝ่ายทงเทียนจะได้เปรียบ แต่บางครั้งในสงครามขนาดเล็กพวกเขาก็ยังถูกฝ่ายของแดนทุรกันดารกันตัวออกมาแล้วทำการปลิดชีพคนของพวกเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้
ซึ่งพวกเขาในเวลานี้ก็เป็นอย่างที่กล่าวมา พวกเขาตกอยู่ในวงล้อมของกองทัพผียักษ์ที่ซุ่มโจมตีกลางหุบเขาแห่งหนึ่ง พยายามจะฝ่าออกไปอยู่หลายครั้ง แต่กลับไม่ได้ผล
อีกด้านหนึ่งของหุบเขา สตรีธุลีแดงยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความเหนื่อยล้า ทอดสายตามองไปยังนักพรตทงเทียนที่อยู่กลางหุบเขา ดวงตาของนางฉายความซับซ้อน อันที่จริงนับตั้งแต่เปิดศึกกันมา หลายครั้งที่นางพยายามหลีกเลี่ยงการปะทะกับสำนักสยบธาร ทว่าเมื่อสงครามเกิดถี่ขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้นางมีใจ แต่ก็ค่อยๆ ไร้กำลัง
ท่ามกลางความเงียบงัน สตรีธุลีแดงมองไปยังนักพรตกองทัพผียักษ์รอบกายตัวเองที่แต่ละคนหอบหายใจหนักหน่วง นัยน์ตาฉายความแค้นลึกล้ำจับจ้องไปยังหุบเขา ขอแค่สตรีธุลีแดงออกคำสั่ง พวกเขาก็จะพุ่งไปสังหารศัตรูทันที
ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้น ข้างกายสตรีธุลีแดงยังมีพระยาสวรรค์หลายคนกับเจ้าพระยาสวรรค์อีกสองคนที่มาจากนครจักรพรรดิขุย ซึ่งต่อให้ตัวตนของพวกเขาจะสูงกว่าสตรีธุลีแดง แต่ระหว่างสงครามที่เกิดขึ้นนี้ ในฐานะที่เป็นแม่ทัพของกองผียักษ์ พวกเขาก็ยังต้องเชื่อฟังคำสั่งของสตรีธุลีแดง
รับสัมผัสได้ถึงปณิธานแห่งการต่อสู้ที่สาดออกมาจากดวงตาของทุกคน สตรีธุลีแดงก็หลับตาลง นางรู้ดีว่าความเป็นความตายของคนที่อยู่ในหุบเขาอยู่ที่ความคิดเดียวของตน พักใหญ่นางถึงได้ลืมตาขึ้น สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยเนิบช้า
“คนอื่นๆ ฆ่าได้ แต่สำนักสยบธาร…ปล่อยไปได้ก็ปล่อยไปเถอะ” นี่เป็นครั้งแรกที่นางพูดออกมาอย่างชัดเจนว่าให้ปล่อยคนของสำนักสยบธารไป เมื่อคำพูดนี้ดังออกมา เสียงฮือฮาก็พลันดังขึ้นจากคนรอบด้านทันที
“สหายนักพรตจื่อโม่ ข้าผู้อาวุโสไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าถึงลำเอียงเข้าข้างสำนักสยบธารนัก แต่สถานการณ์ในตอนนี้ หากฝ่ายของพวกเรามัวกังวลนู่นนี่ ถึงเวลาคนที่หนีไปได้จะไม่ใช่แค่คนของสำนักสยบธารเท่านั้น!”
พระยาสวรรค์จากนครจักรพรรดิขุยคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ เมื่อน้ำเสียงของเขาดังก้องออกมา พระยาสวรรค์คนอื่นๆ ก็พากันหันมาขมวดคิ้วมองสตรีธุลีแดง
มีเพียงเจ้าพระยาสวรรค์สองคนเท่านั้นที่ทำท่าครุ่นคิด
“สำนักสยบธารคือสำนักของป๋ายเสี่ยวฉุน หากพวกเจ้าไม่สนใจไฟโทสะของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ลองไปฆ่าพวกเขาดูได้!” ดวงตาของสตรีธุลีแดงฉายแสงคมกริบ น้ำเสียงเรียบเฉียบขาด
“ป๋าย…ป๋ายเสี่ยวฉุน!!” พอได้ยินชื่อของป๋ายเสี่ยวฉุน พระยาสวรรค์คนที่เอ่ยก่อนหน้านี้ก็สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง สูดลมหายใจดังเฮือกทันที เรื่องที่ปีนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนปลอมตัวเป็นป๋ายฮ่าวไม่ใช่ความลับอะไรในแดนทุรกันดารอีกแล้ว
พระยาสวรรค์คนอื่นๆ ก็ตัวสั่นเช่นกัน ในสมองมีภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในนครจักรพรรดิขุยเมื่อครั้งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนไปอยู่ แถมพวกเขาหลายคนยังเกือบถูกค้นบ้านยึดทรัพย์ ปีนั้นตอนอยู่ต่อหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังต้องแสดงความนอบน้อมยำเกรง นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้ที่พวกเขารู้แล้วว่าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นั้นก็คืออาจารย์ของจักรพรรดิหมิง…
หลายคนหันมามองหน้ากันก็ได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน ไม่มีใครอ้าปากพูดอะไรอีก เพียงทำตามคำสั่งของสตรีธุลีแดง เมื่อเสียงคำรามเสียงแล้วเสียงเล่าดังสนั่น…สงครามก็ปะทุขึ้นในหุบเขาแห่งนี้
ไม่เพียงแต่สถานที่แห่งนี้เท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ บนผืนแผ่นดินของแดนทุรกันดารยังคงมีสงครามขนาดเท่ากันเกิดขึ้นทั่วทุกหนแห่ง
เนิ่นนาน เมื่อศึกในหุบเขาสิ้นสุดลง มองคนของสำนักสยบธารที่ถูกบุรพาจารย์ธาราเทพปกป้องให้ค่อยๆ ถอยหนีไปไกล สตรีธุลีแดงถึงได้ถอนสายตากลับคืนมาด้วยความเงียบงัน
“ป๋ายเสี่ยวฉุน เหตุใดเจ้าถึงยังไม่ปรากฏตัว…เป็นเพราะเจ้าไม่รู้ว่าควรจะเลือกอย่างไรงั้นหรือ…” สตรีธุลีแดงพึมพำ ก่อนถอนหายใจหนึ่งครั้งแล้วหมุนกายจากไป
ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนเวลานี้ที่อยู่ในโลกสมบัติอาคม เมื่อเลือดคงกระพันสะสมได้ถึงแปดส่วน เมื่อฝ่าทะลุสู่คนฟ้าขั้นสมบูรณ์แบบ พลังอำนาจของเขาก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นเหตุให้โลกสมบัติอาคมสั่นสะเทือนรุนแรง
ปราณแห่งความแข็งแกร่งของเขาเหนือกว่าคนฟ้าขั้นสมบูรณ์แบบทั่วไปไกลโข อย่างเฉินฮ่าวซงจากแดนทุรกันดารที่แม้จะเป็นคนฟ้าขั้นสมบูรณ์แบบเหมือนกัน แต่หากเปรียบเทียบกับป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้กลับเหมือนหิ่งห้อยกับดวงจันทร์อย่างไรอย่างนั้น!
“ไม่รู้ว่าโลกภายนอกเป็นอย่างไรบ้างแล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก มองเขตไฟที่หายไปจากรอบกาย เห็นสภาพในโลกสมบัติอาคมที่ไม่มีพลังฟ้าดินอีกต่อไป ความคิดที่อยากจะไปจากที่นี่ของเขาจึงเริ่มรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ
เมื่อเงยหน้าขึ้น เขาก็มองไปยังใบหน้าของทารกหญิงบนท้องฟ้า ด้วยอำนาจจิตของเขาในเวลานี้ทำให้สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าอีกมากสุดสามวัน…การผสานรวมระหว่างทารกหญิงกับโลกสมบัติอาคมใบนี้จะสำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบ!
“หากเหลืออีกสามวัน…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำ ดวงตาที่มองไปยังแผ่นดินทิศไกลเป็นประกายวาบ เพราะตรงนั้น…ก็คือที่ซ่อนตัวของใบหน้าผี
“แม้ว่าเจ้าผีเฒ่าตัวนี้จะถูกกำราบจนอ่อนแอ แต่ในความเป็นจริงแล้วพลังชีวิตที่อยู่ในร่างของมันกลับน่าตะลึงอย่างมาก หากมันออกไปจากที่นี่ย่อมต้องฟื้นคืนตบะกลับมาได้ในเสี้ยววินาที…พลังชีวิตพวกนี้จะทิ้งให้เสียเปล่าไม่ได้”
“ไม่แน่ว่า…สามารถยืมพลังชีวิตของมันมาทำให้เลือดคงกระพันของข้าเพิ่มขึ้นไปอีกระดับ หากได้ถึงสิบส่วน…ข้าก็รู้สึกว่าข้าจะสามารถควบคุมวิชาพิฆาตเทพได้อย่างสมบูรณ์แบบ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้หัวใจก็พลันเร่าร้อน ครั้นจึงตบถุงเก็บของหยิบร่มราตรีนิรันดร์ออกมาแล้วก้าวเท้าตรงไปยังจุดที่ใบหน้าผีอยู่