Skip to content

A World Worth Protecting 10

บทที่ 10 สาขาวิชาการยุทธ์อันไร้พ่าย

วิชากลืนปราณมหาสูญมีส่วนคล้ายกับวิชาค้ำจุนปราณ แต่หลักการของทั้งสองวิชาต่างกันอย่างสิ้นเชิง

วิชาค้ำจุนปราณชักนำเอาพลังปราณของโลกเข้าสู่ตัวผู้ใช้ แต่เพราะร่างกาย        มีทวารที่มองไม่เห็นนับไม่ถ้วนทำให้การเก็บกักพลังปราณเอาไว้นั้นแทบเป็นไปไม่ได้ อย่างไรก็ดี ผู้ใช้จะสามารถใช้ร่างกายเป็นสื่อกลางเพื่อถ่ายเทเอาพลังปราณไปเก็บรักษาไว้ในศิลาเปล่าเพื่อหลอมศิลาวิญญาณขึ้นมาได้ กระบวนการนี้ช่วยให้ร่างกายของผู้ฝึกแข็งแกร่งขึ้นอีกด้วย

ในขณะที่วิชากลืนปราณมหาสูญคล้ายกับการสร้างหลุมดำขึ้นในตัวของผู้ฝึก   หลุมดำนั้นมอบพลังดูดกลืนอันมหาสารราวกับว่าจะกลืนกินทุกสิ่งอย่างให้กับร่างกาย พลังนี้จะกลืนกินปราณวิญญาณทั้งมวลในโลก แม้ว่าร่างกายจะมีทวารนับไม่ถ้วนที่พลังปราณจะไหลออกไปได้ หลุมดำนี้จะดูดกลืนปราณอย่างรวดเร็วยิ่งกว่า

ผลลัพธ์ของการฝึกวิชาก็คือการเอ่อท้นของปราณวิญญาณในร่างผู้ฝึก               ในขณะเดียวกัน เพราะว่ามีปราณปริมาณมากอยู่ในร่าง ผู้ฝึกสามารถหลอม          ศิลาวิญญาณขึ้นมาได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้ศิลาเปล่าเสียด้วยซ้ำ!

ด้วยเหตุนี้ ความบริสุทธิ์ของศิลาวิญญาณที่หลอมด้วยวิชานี้จึงล้ำหน้ากว่าแบบอื่น    ไปมาก เหตุเพราะว่าข้อจำกัดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่แม้แต่เหล่าปรมาจารย์สาขาวิชา      อาวุธเวทยังต้องพบเจอในการหลอมศิลาวิญญาณ ก็คือ การชำระสิ่งแปลกปลอม   ออกจากศิลาเปล่านั่นเอง

เคยมีผู้เสนอให้ศึกษาเคล็ดวิชาฝึกตนที่คล้ายคลึงกันนี้ในสหพันธรัฐ แต่ไม่เคยมีใคร   ฝึกสำเร็จมาก่อน วิชานี้มีอยู่จริงเพียงในจินตนาการเท่านั้น แต่ในขณะนี้                วิชากลืนปราณมหาสูญอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อแล้ว เขาหวังว่าวิชานี้จะสามารถแก้ปัญหาทั้งหมดของเขาได้

ดูเหมือนว่ายิ่งข้าเรียนรู้วิชากลืนปราณมหาสูญมากเพียงใด พลังการดูดกลืนปราณ     ก็รุนแรงขึ้นตามกัน…หวังเป่าเล่อออกมาจากนิมิตมายาด้วยความกระฉับกระเฉง     เขานั่งไขว่ห้างอยู่ในถ้ำที่พัก นัยน์ตาของเขาเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น เขารู้สึกถึงตำแหน่งประธานนักเรียนมาโบกมือเรียกไหวๆ อยู่ตรงหน้านี่แล้ว เมื่อเขาหลับตาและเพ่งสมาธิเพื่อค้นคว้าและฝึกฝนวิชากลืนปราณมหาสูญเขาเหมือนจะลืมทุกสิ่งไปสิ้น

หวังเป่าเล่อสร้างรากฐานเพื่อฝึกวิชาค้ำจุนปราณมานานนับปี เขาค่อนข้างคุ้นเคยกับการโคจรพลังปราณ เมื่อเขาทำใจให้สงบ เขาสามารถสัมผัสโลกรอบตัวและ      พลังปราณอันไร้ขีดจำกัดของมันได้แทบจะในทันที

แม้วิชากลืนปราณมหาสูญจะดูง่ายดาย แต่จริงๆ แล้วเป็นวิชาที่ยากที่จะฝึกฝน หวังเป่าเล่อเองยังล้มเหลวในช่วงแรก หลายครั้งที่เขาดูดกลืนพลังปราณได้ช้ากว่า   ส่วนที่ไหลออกจากร่างไป อย่างไรก็ดี เมื่อเขาตั้งใจทำสิ่งใดแล้ว เขาจะมุ่งมั่นทำมัน   ให้จงได้ เฉกเช่นในสนามสอบนิมิตมายา เขายอมนิ่งเฉยต่อความเจ็บปวดทุกข์ทรมานเพื่อทำคะแนนเพิ่ม

ตามคำอธิบายของวิชากลืนปราณมหาสูญ ผู้ฝึกจะต้องสร้างเมล็ดหลุมดำแห่งการดูดกลืนขึ้นในตัวเสียก่อน โดยสร้างให้เสมือนเป็นส่วนหนึ่งของกายตน และเมื่อนั้นจึงจะสามารถดูดกลืนปราณไว้ได้มากกว่าส่วนที่รั่วไหลออกไป

ทันใดนั้น ความมุมานะเฉพาะตัวแบบหวังเป่าเล่อปะทุออกมา ต่อมาเป็นเวลา   ราวครึ่งเดือนเขาไม่เข้าเรียนเลย เมื่อถึงเวลากิน เขาก็จะกินอย่างเร่งรีบเพื่อที่จะกลับไปค้นคว้าและฝึกวิชา

ในขณะเดียวกันนั้น ริมบ่อน้ำบนยอดเขาเจ้าสำนัก ที่ยืนตระหง่านตรงใจกลางยอดเขาของสาขาวิชาต่างๆ บนเกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง ข้างกระท่อมน้อย          หลังคามุงจาก ชายชราคนเดิมกำลังตกปลาอยู่

สายลมอ่อนโชยพัดยอดต้นหลิวที่โล้เอียงให้สั่นไหว เงาของมันในบ่อน้ำสวยงามยิ่ง

ข้างๆ ชายชราคือรองเจ้าสำนัก ชายวัยกลางคนในชุดดำเหงื่อแตกเต็มหน้าผาก ใบหน้าของเขาดูร้อนรนใจ หลังจากรออยู่เนิ่นนาน เขาสูดลมหายใจลึกและก้มโค้งคำนับเจ้าสำนักจนหน้าผากแทบชิดพื้น

“ท่านเจ้าสำนัก ข้าน้อยผิดไปแล้ว”

เหมือนว่าชายชราจะไม่ได้ยิน เขายังคงตกปลาต่อไปอย่างนิ่งเฉย รองเจ้าสำนักรออยู่ชั่วอึดใจจึงเอื้อมมือไปปาดเหงื่อบนหน้าผาก

ด้วยความนอบน้อมยิ่งขึ้นไปอีก เขากระซิบ “ข้าผิดเองที่ละเลยเรื่องของหวังเป่าเล่อ เรื่องนี้อาจเป็นตัวอย่างที่ดี ที่จะช่วยให้นักเรียนคนอื่นๆ สนับสนุนสำนักศึกษา        เต๋าศักดิ์สิทธิ์ของเรามากขึ้น ข้ากลับเลือกทางผิด ข้าทำกระทั่งให้อาจารย์จากสาขาวิชาหลอมโอสถเปิดโปงเรื่องการโกง”

เมื่อได้พูดไปดังนั้นแล้ว เขาจึงได้สังเกตเห็นว่าท่าทางของชายชรานั้นมิได้เปลี่ยนแปลงไปเลย รองเจ้าสำนักยิ่งเหงื่อแตกมากกว่าเก่า เขากระซิบไปอีกว่า

“ข้าทำผิดมหันต์ที่แทรกแซงกระบวนการสรรหาศิษย์คัดเลือกพิเศษของสาขา  วิชาอาวุธเวท ข้าทำเพื่อตัวเองและพยายามจะไล่หวังเป่าเล่อออกจากสำนักศึกษา   เต๋าศักดิ์สิทธิ์ ข้ากระทั่งโน้มน้าวอาจารย์ท่านอื่นๆ”

รองเจ้าสำนักปาดเหงื่ออีกครั้งด้วยความรู้สึกชอบกล เขาตัดสินใจพลาด       เพราะเข้าใจไปว่าเจ้าสำนักไม่ชอบหวังเป่าเล่อ รองเจ้าสำนักเลยหวังจะฉวยโอกาสนั้นลงโทษหวังเป่าเล่อและทำความชอบให้ตัวเองในคราเดียวกัน

อย่างไรก็ดี รองเจ้าสำนักไม่เคยคาดคิดว่าหวังเป่าเล่อจะพลิกสถานการณ์กลับมาได้ในที่สุด จุดเปลี่ยนสำคัญของเหตุการณ์นี้จุดหนึ่งอยู่ที่ปาฐกถาของหวังเป่าเล่อ     แต่จุดที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ความคิดเห็นของเจ้าสำนักที่มีต่อเรื่องนี้

เมื่อนั้นชายชราเงยหน้าขึ้นมอง สายตาที่จ้องมองรองเจ้าสำนักนั้นไร้กังวล

“เมื่อเจ้ารู้ตัวว่าผิดแล้ว ก็จงไปเสียเถิด”

รองเจ้าสำนักถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก เขาเป็นผู้ติดตามเจ้าสำนักมานานหลายขวบปี เขารู้ดีว่าหากเจ้าสำนักได้เอ่ยปากเช่นนั้น ก็แปลว่าเรื่องนี้ได้จบลงแล้ว เขาโค้งคำนับอย่างนอบน้อมอีกครั้งก่อนจาก เมื่อเขาเดินออกมาได้ระยะหนึ่ง          จึงได้ระลึกถึงหวังเป่าเล่อ นัยน์ตาของเขาเปล่งประกายเย็นยะเยือก รองเจ้าสำนักรู้ดีว่าเขายังไม่อาจทำอะไรได้ในตอนนี้ นอกจากนั้นเจ้าคนเล็กจ้อยเช่นนั้นมิอาจทำอะไรเขาได้อยู่แล้วแม้จะมีกลอุบายใดซ่อนอยู่ก็ตามที

อย่างไรก็ดี รองเจ้าสำนักหารู้ไม่ว่าคล้อยหลังเขาไปนั้น ผู้เฒ่าคนหนึ่งพลันปรากฏกายขึ้นอย่างเงียบเชียบข้างกายเจ้าสำนัก เขาดูเหมือนทาสรับใช้เมื่อยืนตัวงออยู่หลัง    ชายชรา

“ท่านเจ้าสำนักช่างเก่งกาจ สามารถจัดการรองเจ้าสำนักเกาเฉวียนจนอยู่หมัดได้โดยไม่ต้องออกแรงเลย ข้าคิดว่าหลังจากเรื่องนี้ เขาคงจะยอมถอยไปมากโขทีเดียว อย่างน้อยก็สักระยะหนึ่ง แม้ว่าเขาจะยอมรับความผิดมากมายที่เขาทำ แต่เขากลับมองข้ามความผิดที่ใหญ่หลวงที่สุด นั่นคืออำนาจบารมีของเขาตอนนี้ทั้งกว้างขวางและฝังรากลึก

“ยิ่งไปกว่านั้น ข้าได้สืบสวนเรื่องราวครั้งนี้แล้ว หัวหน้าศิษย์จากโถงแก่นวิญญาณของสาขาวิชาอาวุธเวทเป็นผู้ครอบงำอยู่เบื้องหลังทั้งหมด รองเจ้าสำนักเองก็ดูจะชอบพอศิษย์คนนี้เป็นพิเศษ แม้กระทั่งกระบวนการคัดเลือกศิษย์คัดเลือกพิเศษของสาขาวิชาอาวุธเวทก็ยังถูกครอบงำโดยหัวหน้าศิษย์คนนี้เช่นกัน ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับการสนับสนุนจากบิดา” ผู้เฒ่าพูดพร้อมหัวเราะหึๆ ในลำคอ

“บิดาของหัวหน้าศิษย์จากโถงแก่นวิญญาณ…ในฐานะหนึ่งในสิบเจ็ดวุฒิสมาชิกของสหพันธรัฐ คนที่มีอิทธิพลขนาดนั้นไม่น่าจะลดตัวลงมายุ่งกับเรื่องบ้าบอพรรค์นั้นหรอก ข้าอยากให้ท่านวางใจ” ชายชรายิ้ม แต่ในนัยน์ตาของเขาแฝงแววเยาะเย้ย    อยู่ลึกๆ

“หากเขาเข้าหาผู้ว่าการสหพันธรัฐก็ว่าไปอย่าง แต่นี่กลับมาคบเด็กสร้างบ้านหน้าตาเฉย เจ้าเกาเฉวียนนี่มันเบาปัญญาเสียจริง”

“ท่านเจ้าสำนัก เรื่องคนเจ้าเล่ห์สองหน้าผู้นั้น ข้าว่าเราน่าจะ…” ผู้เฒ่าเงียบเพื่อไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง

“มันยังไม่ถึงเวลา” ดวงตาทั้งคู่ของชายชราฉายแววเฉียบคมล้ำลึก กว่าจะมายืนอยู่ในจุดนี้ได้ เขาเคยสร้างความบาดหมางกับใครต่อใครมานับไม่ถ้วน จะหวังให้คนอื่นเข้าใจการตัดสินใจของเขานั้นคงเป็นไปไม่ได้

ต้องมีคนทนไม่ไหวอยากเล่นงานเกาเฉวียนอยู่แล้ว แต่ถ้าหวังจะเล่นงานเขาละก็ ต้องผ่านข้าไปให้ได้ก่อน ชายชราหัวเราะในลำคอกับความคิดนี้

เวลาผ่านไป หวังเป่าเล่อฝึกวิชามาเป็นเวลาสามเดือนแล้ว

ในช่วงเวลานั้น การหายหน้าไปของหวังเป่าเล่อทำให้ศิษย์ของสาขาวิชาอาวุธเวทต่างพูดถึงเขาน้อยลงเรื่อยๆ ยิ่งไปกว่านั้น ตารางเรียนอันหนักหน่วงทำให้เหล่าศิษย์แทบเลิกสนใจเขาไปโดยปริยาย

อีกแง่หนึ่ง ถือว่าหวังเป่าเล่อเบี่ยงเบนความสนใจของทุกคนออกจากตัวเองได้สำเร็จอย่างที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก

ดังเช่นคำโบราณกล่าวไว้ ทุกๆ สิ่งเป็นได้สำหรับผู้ที่อดทนมากพอ

สามเดือนถัดมา หวังเป่าเล่อสามารถสร้างเมล็ดหลุมดำแห่งการดูดกลืนเอาไว้ในร่างกายได้

หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ถึงพลังดูดกลืนที่ร่างกายของเขาปล่อยออกมา เขาปาดเหงื่อด้วยความตื่นเต้น เขารู้สึกว่าเข้าใกล้ความสำเร็จเข้าไปอีกก้าวและรีบกลับไปฝึกตนต่อทันที

หลังจากที่เขาสร้างเมล็ดดูดกลืนได้ ปราณวิญญาณในถ้ำที่พำนักของเขา        แปรสภาพเป็นประดุจสายธารน้ำที่ไหลเวียนวนอยู่รอบตัวเขา ธารแห่งปราณวิญญาณค่อยๆ เบนทิศและไหลเข้ามาในร่างของหวังเป่าเล่อ ไม่เพียงแต่ปราณวิญญาณในถ้ำที่พำนักเท่านั้น แม้แต่ปราณวิญญาณจากภายนอกก็เป็นเช่นเดียวกัน

ในที่สุด ปราณวิญญาณเกือบทั้งหมดในภูมิภาคที่เขาอยู่เริ่มผันผวน ก่อกำเนิดน้ำวนที่มองไม่เห็น ในใจกลางของน้ำวนนั้นคือเมล็ดหลุมดำแห่งการดูดกลืน…ในร่างของหวังเป่าเล่อ

ปราณวิญญาณปริมาณมากถูกดูดกลืนเข้ามา จนกระทั่งมากเกินปริมาณที่ร่างกายของเขาปล่อยออกไปตามปกติ ส่งผลให้ปราณวิญญาณในร่างของเขาจับตัวกันและเริ่มสะสม เมื่อปราณวิญญาณผ่านเข้ามาในร่าง หวังเป่าเล่อรู้สึกผ่อนคลาย    อย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่ามีมือที่มองไม่เห็นนับพันช่วยกันนวดเฟ้นร่างกายของเขา  ทุกส่วน แม้กระนั้นหวังเป่าเล่อยังรู้หน้าที่ เขายกมือขวาขึ้นช้าๆ ก่อนจะใช้            วิชากลืนปราณมหาสูญหลอมศิลาวิญญาณขึ้นมาชิ้นหนึ่ง

ณ จุดนี้ ข้อจำกัดอีกอย่างของวิชากลืนปราณมหาสูญก็ปรากฏชัดขึ้น            ปราณวิญญาณเข้มข้นจะมารวมตัวกัน แต่มันจะสลายไปได้หากเขาไม่ระมัดระวัง

เมื่อเขาล้มเหลว ปราณวิญญาณจำนวนมหาศาลที่มารวมตัวกันนั้นสลายตัวออก แต่ก็ถูกดูดกลับมาในร่างของหวังเป่าเล่อแทบจะในทันที

ข้าไม่อยากจะเชื่อเลย! หวังเป่าเล่อแทบคลั่ง ความสำเร็จที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมทำให้เขายิ่งแน่วแน่ เขาออกไปซื้ออาหารครั้งละมากๆ ส่วนมากล้วนแล้วแต่เป็นขนม      เขาไม่ได้ออกจากถ้ำที่พักนานราวกับว่าเขากำลังกักตัว ทำทุกอย่างอยู่ในที่พัก       จิตใจจดจ่ออยู่กับการฝึกตน

ร่างกายที่อวบอ้วนของเขาก็อ้วนขึ้นอีกเรื่อยๆ โดยที่เขาไม่ได้เอะใจแม้แต่น้อย…ชั้นไขมันของเขาหนาขึ้น…เป็นชั้นไขมันทอประกายวาววับ ไม่ถึงกับโปร่งใส            แต่ดูเรียบเนียนและเปล่งประกาย

การก่อตัวของไขมันวิญญาณจากการสั่งสมปราณวิญญาณจำนวนมาก              ทำให้ร่างกายของเขานั้นผิดปกติไปไกลโข ไขมันก็คือพลังงานส่วนเกินที่ร่างกาย     แปรรูปเพื่อเก็บไว้ใช้ และในตอนนี้ปราณวิญญาณในร่างของหวังเป่าเล่อนั้นมากมายเกินคนธรรมดาไปนัก เพราะถึงเขาจะหลอมศิลาวิญญาณไม่สำเร็จ ร่างกายก็จะยังคงกลืนกินปราณวิญญาณอยู่เสมอ จึงช่วยไม่ได้ที่เขาจะมีไขมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามมา

โชคยังดี ที่ชุดศิษย์คัดเลือกพิเศษที่เขาใส่ทำจากวัสดุพิเศษที่ยืดหยุ่นเป็นอย่างยิ่ง จนกระทั่งตอนนี้ มันยังไม่ปริขาดเลยสักชุด หน้าของหวังเป่าเล่อเปลี่ยนรูปไป ร่างกายของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความแวววาวของไขมัน ตาของเขาดูเล็กหยี

หนึ่งเดือนผ่านไปไวจนไม่ทันรู้ตัว เมื่อการฝึกฝนผ่านไปประมาณครึ่งเดือน        เขารู้สึกตัวว่าอ้วนขึ้น แต่เพราะว่าเขากำลังมีสมาธิกับการหลอมศิลาวิญญาณ เขาจึงไม่ใส่ใจเรื่องน้ำหนักแม้แต่น้อย

ตัดภาพมาตอนนี้…หวังเป่าเล่อจ้องมองศิลาวิญญาณทรงเกาลัดในมือขวา      อย่างตื่นเต้น หลังจากที่วัดความบริสุทธิ์เสร็จ เขาถึงกับหัวเราะออกมาดังๆ

“ข้าทำสำเร็จ ฮะฮ่าๆๆ ในที่สุดก็สำเร็จจนได้!”

“ในที่สุดก็ไม่มีอีกแล้วความบริสุทธิ์ร้อยละห้าสิบ อันนี้เจ็ดสิบห้าทีเดียว!”

หวังเป่าเล่อตื่นเต้นดีใจเป็นที่สุด ตลอดระยะเวลาหลายปีที่เขาอยู่ในเมืองปักษาเพลิง ศิลาวิญญาณที่เขาหลอมได้นั้นมีความบริสุทธิ์เกินร้อยละห้าสิบไม่มากนัก แต่ตอนนี้ เขาสามารถหลอมศิลาบริสุทธิ์ร้อยละเจ็ดสิบห้าได้แล้ว อย่างไรก็ดี คะแนนที่ผ่านเกณฑ์ของสำนักวิชาเต๋ากวางขาว สำนักวิชาเต๋าที่ดีที่สุดในสหพันธรัฐ นั้นอยู่ที่       ร้อยละเจ็ดสิบขึ้นไป

หวังเป่าเล่อมีความสุข เขารู้สึกว่าเขาแข็งแกร่งพอแล้ว แต่เมื่อเขากำลังจะลุกขึ้นเพื่อไปเดินเล่นปลดปล่อยอารมณ์ เขาเกือบยืนไม่ไหว หวังเป่าเล่อตกตะลึง เขามองลงมาที่ร่างกาย ที่ใหญ่ขึ้นเกือบสองเท่าเทียบกับเมื่อหกเดือนก่อน ชุดศิษย์คัดเลือกพิเศษสีแดงสดของเขาปริแตกจากน้ำหนักตัวที่มากขึ้น ร่างกายที่เต็มไปด้วยไขมันวิญญาณโผล่มาตามรอยปริแตก

เขารู้สึกหายใจไม่ทัน นัยน์ตาของเขาเบิกโพลงขึ้นในทันที

“นี่มัน…นี่มัน…” หวังเป่าเล่อละล่ำละลัก เมื่อเขาไม่ใจจดใจจ่ออยู่กับการหลอมศิลาวิญญาณแล้ว เขาจึงได้รู้สึกถึงสภาพร่างกายในปัจจุบัน เขาตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว

“สวรรค์ ข้าแค่เผลอไผลไปเพียงชั่วครู่เท่านั้น…เป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไรกัน”    หวังเป่าเล่อขนลุกเมื่อความทรงจำเกี่ยวกับกรรมพันธุ์ประจำตระกูลฉายวาบขึ้นใน  มโนสำนึก เขานึกกลัวขึ้นมาทันทีเมื่อยืดนิ้วมืออวบอ้วนออกเพื่อนับ ชายหนุ่มกังวลใจจนร้องไห้ไม่ออก

หลังจากนับอยู่ค่อนวัน เขาตระหนักได้ว่า ไม่ว่าจะนับเท่าไร ตามอายุขัยของ   เหล่าบรรพบุรุษจ้ำม่ำ เขาเหลือเวลาชีวิตอยู่อีกไม่นานนัก เขานึกอยากจะร้องไห้

ข้ายังไม่ได้เป็นหัวหน้าศิษย์หรือผู้นำของสหพันธรัฐเลยนะ ข้ายังไม่อยากไปเจอบรรพบุรุษจ้ำม่ำตอนนี้! ในห้วงความกลัวของหวังเป่าเล่อ ในหัวของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความคิดจะลดน้ำหนัก อย่างไรก็ดี เขาได้ลองพยายามมาหลายครั้งหลายคราแต่ก็ล้มเหลวทุกทีไป ความคิดนี้ทำให้เขาแทบบ้า

ออกกำลังสิ! ข้าอยากออกกำลังกาย! ข้าอยากจะวิ่ง ไขมันพวกนี้เพิ่งจะเพิ่มขึ้นมา น่าจะพอมีหวังอยู่บ้าง หวังเป่าเล่อกัดฟัน สิ่งแรกที่เขาคิดจะทำคือวิ่ง เขารีบรุดออกจากประตูถ้ำที่พัก

แม้ว่าเขาจะอ้วนขึ้นมาก แต่อาจจะยังไม่สายเกินไปนัก เขายังคงเดินออกประตูมาได้ ชั่วขณะที่เขาเดินออกมานั้นแสงอาทิตย์สะท้อนออกจากเสื้อคลุมเต๋าสีแดงแจ๋ของเขา หวังเป่าเล่อกลุ้มใจทันทีที่ได้เห็นเงาขนาดมหึมาของตัวเอง หวังเป่าเล่อคำราม       ออกเสียงดัง ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดของเขา เขาออกตัววิ่งอย่างอย่างบ้าคลั่งไปทั่ว    ยอดเขาสาขาวิชาอาวุธเวท

ขณะที่กำลังวิ่งอย่างเศร้าสร้อยนั่นเอง หวังเป่าเล่อสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่างเกี่ยวกับร่างกายของเขา เขาไม่รู้สึกเหนื่อยแม้แต่น้อย พลังงานทั้งหมดที่เขาใช้ไปได้มาจากวิญญาณปราณอันเปี่ยมล้นในร่าง พลังงานนี้ทำให้เขาวิ่งได้รวดเร็ว จนกระทั่ง   ยอดเขาสาขาวิชาอาวุธเวทนั้นดูเล็กจ้อยไปทีเดียว ด้วยเหตุว่าเขามีคนรู้จักมากเกินไปบนยอดเขาสาขาวิชาอาวุธเวทด้วย เขาจึงตัดสินใจวิ่งลงจากเขาอย่างรวดเร็วและมาวิ่งรอบเกาะมหาปราชญ์ชั้นรองแทน

ในวันเดียวกันนั้น ศิษย์หลายคนในสาขาวิชาอาวุธเวทเห็นลูกกลมๆ สีแดง       กลิ้งผ่านไป ทุกคนต่างตื่นตะลึง บ้างก็ส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ แต่เพราะว่า        ลูกกลมสีแดงนั้นกลิ้งเร็วเกินไปจนมองไม่ทัน พวกเขาจึงไม่อาจบอกได้ว่าลูกกลมนั้นเป็นใครหรืออะไรกันแน่ บนเครือข่ายวิญญาณมีการถกเถียงและข่าวลือเกี่ยวกับ     เรื่องนี้แพร่สะพัด

“ข้าเห็นลูกบอลด้วยล่ะวันนี้…”

“ข้าก็เห็นเหมือนกัน!”

“มันดูคุ้นๆ นะ เหมือนเคยเห็นที่ไหน สีมันแดงเหมือน…เสื้อคลุมเต๋าของ       ศิษย์คัดเลือกพิเศษยังไงยังงั้น”

ในขณะที่บรรดาศิษย์สาขาวิชาอาวุธเวทกำลังถกเถียงกันอยู่นั่นเอง                ศิษย์สาขาวิชาการยุทธ์จำนวนหนึ่งกำลังวิ่งอยู่ริมแม่น้ำบนเกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง หนึ่งในนั้นคือ ศิษย์คัดเลือกพิเศษจั่วอี้ฟาน รวมไปถึงศิษย์คนอื่นอย่างเฉินจื่อเหิง     ชายวัยกลางคนคนหนึ่งวิ่งตามพวกเขามาติดๆ เขาเป็นอาจารย์ในสาขาวิชาการยุทธ์ กำลังนำนักเรียนฝึกวิ่งด้วยสีหน้าขึงขัง

ถ้าเทียบกับศิษย์สาขาวิชาอื่นๆ ศิษย์สาขาวิชาการยุทธ์จะดูเหมือนทหาร        เหตุเพราะว่าสาขาวิชาการยุทธ์มุ่งมั่นศึกษาทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับระดับการฝึกตนโบราณ พวกเขาเหนือกว่าสาขาวิชาอื่นๆ ทั้งหมดในด้านการต่อสู้ การมีร่างกายแข็งแรงเป็นสิ่งที่ต้องมีหากต้องการจะเข้าสาขาวิชานี้ ด้วยเหตุนี้ หนึ่งในวิชาพื้นฐาน   ก็คือ การฝึกสมรรถภาพร่างกายด้วยการวิ่งรอบเกาะ

จุดมุ่งหมายคือการทำให้ศิษย์ใหม่มีร่างกายที่แข็งแรงขึ้นในระยะเวลาสั้น เพื่อให้พวกเขาพร้อมเข้าสู่การฝึกตนขั้นปราณโลหิต แม้ว่าปีการศึกษาจะผ่านไปเพียง       หกเดือน สาขาวิชาการยุทธ์ก็ยังคงต้องมีคาบวิ่งรอบเกาะนี้ต่อไป

“ให้มันเร็วกว่านี้! ไม่ได้กินข้าวกันมาหรือไง!” อาจารย์ตะโกนใส่นักเรียนที่วิ่งอยู่ข้างๆ เขา

แม้ว่าจะดุด่า แต่อาจารย์ผู้นั้นก็พึงพอใจมากที่ได้เห็นว่าลูกศิษย์ของเขาทุกคนต่างดูมีพลังและกระฉับกระเฉง โดยเฉพาะจั่วอี้ฟานและเฉินจื่อเหิง แม้ว่าสองคนนี้จะสามารถวิ่งรอบเกาะได้แล้ว พวกเขาก็ยังคงมาซ้อมวิ่งอย่างเชื่อฟัง การมีลูกศิษย์ที่ดีเช่นนี้ถูกใจอาจารย์เป็นอย่างยิ่ง

“พวกเจ้าจงจำไว้ให้ดี! สาขาวิชาการยุทธ์ของรังเกียจการใช้วัตถุเวทและ          ยาชูกำลัง เราต้องการแค่ร่างกายของเขาเท่านั้น! เราจะผลักดันสมรรถภาพของร่างกายไปให้ถึงขีดสุด จะวัตถุเวทหรือยาพิษก็คือขยะดีๆ นี่เอง พวกเรา สาขาวิชา  การยุทธ์ จะทุบให้แหลกด้วยกำปั้นของเราเอง!”

เมื่ออาจารย์วัยกลางคนพูดจบ บรรดาศิษย์ทั้งหลายต่างก็รู้สึกฮึกเหิม จนตะโกนตอบต่อมาว่า

“หมัดและลูกเตะของพวกเราแข็งแกร่งที่สุด!”

“พวกเราวิ่งเร็วไม่มีหยุด!”

“กายเราแข็งแกร่งไร้เทียมทาน!”

ในชั่วอึดใจนั้น ความรู้สึกท่วมท้นที่เกิดจากคำพูดปลุกใจดังกล่าว ทำให้พวกเขาเชื่อว่าตัวเองสามารถเอาชนะพวกอ่อนแอ อย่างศิษย์สาขาหลอมโอสถหรือศิษย์สาขาอาวุธเวทได้อย่างไม่ยากเย็น

อาจารย์ปลื้มปีติในขวัญกำลังใจของนักเรียนเป็นอย่างยิ่ง แต่พอเขากำลังจะเอ่ยปากพูดต่อ กลับมีลูกชิ้นสีแดงกลิ้งผ่านหลังเขาไปเสียก่อน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version