Skip to content

A World Worth Protecting 11

บทที่ 11 ท่านอาจารย์ โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วยเถิด

ลูกชิ้นปริศนานั่นวิ่งเร็วเกินไป ประกอบกับความที่มันเป็นสีแดงจึงดูโดดเด่นยิ่งขึ้นไปอีกท่ามกลางแสงแดดจ้า ความไวเป็นลมกรดทำให้สายลมพัดแหวกยามที่     เจ้าลูกชิ้นพุ่งแซงกลุ่มศิษย์สาขาการยุทธ์ไปไกลลิบ

อาจารย์ที่นำขบวนถึงกับผงะ ส่วนบรรดาลูกศิษย์ที่กำลังจะอ้าปากตะโกนก็ต่างพากันอึ้งกิมกี่ บรรยากาศจากที่กำลังร้องเพลงประสานเสียงอย่างสนุกสนานกลับกลายเป็นความยุ่งเหยิงขนาดย่อมๆ

“เมื่อกี้มันบ้าอะไรกันนี่”

“หรือว่าจะเป็นบอลลูนประดิษฐ์รุ่นใหม่”

เหล่าศิษย์สาขาการยุทธ์ต่างพากันวิเคราะห์ มีเพียงอาจารย์เท่านั้นที่เหมือนจะลังเลอยู่ชั่วครู่ แววตาฉายความระแวงใจ แต่เมื่อเหลือบไปเห็นเด็กๆ บางคนพยายามหลบออกจากกลุ่มความสนใจของเขาก็พุ่งตรงกลับมาที่ลูกศิษย์อีกครั้ง

“มองอะไรกันพวกเจ้า มีหน้าที่วิ่งก็วิ่งไป” ทันทีที่อาจารย์แผดเสียงออกมา บรรดาลูกศิษย์ก็หยุดชะเง้อและเริ่มสับเท้าอีกครั้งแม้คำถามมากมายจะยังวิ่งวุ่นอยู่ในใจ ไม่นานนักข้อสงสัยเหล่านั้นก็มลายหายไปเหลือไว้เพียงเสียงตะโกนร้องเพลงอย่างเปรมปรีดิ์

ณ เวลานั้น หวังเป่าเล่อตัดตนเองออกจากบรรยากาศรอบตัวโดยสิ้นเชิง ทั่วร่างเปียกไปด้วยเหงื่อแลจิตใจก็หมกมุ่นอยู่กับความพยายามลดน้ำหนักเท่านั้น จนดูราวกับว่าวิญญาณบรรพุบุรุษจ้ำม่ำกำลังวิ่งไล่กวดเขาอยู่และหากเขาวิ่งช้าลงกว่านี้สักนิดเขาจะได้กลับบ้านเก่าไปด้วยก็ไม่ปาน

ผ่านไปสี่ชั่วโมงจนล่วงเลยเป็นเวลาเที่ยง กลุ่มศิษย์สาขาการยุทธ์ที่บัดนี้อยู่ที่ชายหาดของเกาะมหาปราชญ์ชั้นรองต่างเหนื่อยล้า แต่เนื่องจากท่านอาจารย์ยังกวดขันไม่เลิกราพวกเขาจึงต้องมุ่งหน้าวิ่งต่อไป ปากก็ตะโกนคุณธรรมประจำสาขาอย่างไม่ลดละ

“สาขาการยุทธ์โค่นไม่ลง!”

“สาขาวิชา…” ไม่ทันได้จบประโยค เหล่าลูกศิษย์ก็ได้ยินเสียงฝีเท้ากึกก้องไล่กวดมาข้างหลังอีกครั้งหนึ่ง ร่างอันเหนื่อยอ่อนของพวกเขามองเห็นลูกชิ้นสีแดงขนาดยักษ์พุ่งผ่านไปราวพายุ รอบนี้ลูกชิ้นยักษ์พุ่งมาเร็วกว่าที่เคย ตามด้วยเม็ดทรายที่           ฟุ้งกระจายใส่หน้ายาวตามเส้นทางวิ่ง

“บอลลูนนั่นมาอีกแล้ว! แต่ทำไมรอบนี้มันดูหดๆ ลงนะ”

“บอลลงบอลลูนบ้าบออะไรของเจ้า นั่นมันคนต่างหาก ให้ตายเถอะ หมอนั่น   มันวิ่งครบรอบเกาะไปแล้วรอบหนึ่งหรือนี่”

ทันใดนั้นลูกศิษย์ทั้งกลุ่มก็พากันตระหนกตกใจ บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงอุทานอื้ออึง สิ่งเดียวที่พวกเขาเห็นคือ ลูกชิ้นสีแดงที่พุ่งห่างออกไปไกลเรื่อยๆ

ข้างกันนั้นอาจารย์ของพวกเขาก็ตกใจไม่แพ้กันจนถึงกับต้องขยี้ตาอย่างไม่อยากเชื่อ แม้ยังระคนด้วยความฉงน เขาก็เบนความสนใจกลับมาที่ลูกศิษย์ของตนเมื่อเห็นว่าพวกเด็กๆ เริ่มสมาธิแตกกระเจิงไปกับการวิพากษ์วิจารณ์ เหล่าศิษย์สาขาการยุทธ์เริ่มออกวิ่งอีกครั้ง และคราวนี้อาจารย์ก็ไม่ยอมให้นั่งพักจนกว่าจะเห็นว่าเหนื่อยสายตัวแทบขาดจริงๆ

อาจารย์เองก็ทิ้งตัวลงข้างลูกศิษย์เช่นกัน ใจก็ยังคิดวนไปมาถึงลูกชิ้นปริศนา    เมื่อครู่ บรรดาลูกศิษย์ของเขาก็เริ่มแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอีกครั้ง

“นั่นมันคนจริงๆ น่ะหรือ”

“สวรรค์เป็นพยาน อะไรจะวิ่งเร็วปานนั้น เร็วผิดมนุษย์มนา…”

“แปลกเหลือเกิน ข้าว่าชุดของเจ้าหมอนั่นดูคุ้นๆ อย่างไรไม่รู้…”

ขณะที่เพื่อนร่วมชั้นกำลังพูดคุยกันอย่างออกรส สีหน้าของเฉินจื่อเหิงเต็มไปด้วยความกังขา เขารู้สึกว่าเจ้าก้อนสีแดงนั้นดูคุ้นอย่างผิดปกติแม้จะยังฟันธงไม่ได้ว่า    เป็นใครกันแน่ คิ้วของเด็กหนุ่มขมวดปมขณะเพ่งความคิด

แม้บรรดาลูกศิษย์จะเริ่มออกวิ่งอีกครั้งหลังพักเสร็จ เฉินจื่อเหิงก็ยังนึกไม่ออก  เสียทีว่าทำไมถึงรู้สึกคุ้นเสียเหลือเกิน ไม่นานนักพวกเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจี้มาจาก  ข้างหลังอีกครั้ง

ทุกคนรวมถึงอาจารย์หันขวับไปมองอย่างพร้อมเพรียง พวกเขาเห็นลูกชิ้นลูกเดิมที่วิ่งแซงไปก่อนหน้าพุ่งตรงมาพร้อมเสียงลมหวีดหวิวและแรงลมปะทะ เจ้าลูกชิ้นผ่านพวกเขาไปอีกครั้ง

ครั้งนี้มันดูเล็กลงกว่าก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด ทุกคนมั่นใจแล้วว่าวัตถุปริศนานี้เป็นคนอย่างแน่นอน และยังได้ยินเสียงกระหืดกระหอบดังออกมาขณะมันพุ่งผ่านไปด้วย

ช่างดูราวกับว่าเจ้าของเสียงนั้นฟั่นเฟือนไปเสียแล้วและเผลอปล่อยเสียงร้องออกมาอย่างควบคุมตนเองไม่ได้ ท่ามกลางความฉงนสนเท่ห์ของเหล่าศิษย์สาขา      การยุทธ์ เจ้าลูกชิ้นนั้นก็หายลับไปอีกครั้ง

“หวังเป่าเล่อ!” เฉินจื่อเหิงร้องออกมาทันทีที่เขานึกได้ว่าลูกชิ้นก้อนนั้นเป็นใคร หลายคนรอบตัวเขาก็ระลึกได้เช่นกัน ทุกคนแทบกระโดดโหยงเมื่อได้ยินเฉินจื่อเหิงตะโกนออกมา

“หวังเป่าเล่อจริงๆ ด้วย!”

“ข้าก็ว่าทำไมชุดนั่นถึงดูคุ้นชอบกล นั่นมันชุดศิษย์คัดเลือกพิเศษไม่ใช่หรือ       ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะใช่ นี่มันอ้วนขนาดนั้นแล้วหรือนี่!”

เสียงอุทานดังยิ่งขึ้นอีก ตัวตนที่แท้จริงของลูกชิ้นปริศนาทำให้เหล่าจอมยุทธ์ตกใจมากเสียจนควบคุมตนเองไม่ได้ นี่ก็เพราะเจ้าหวังเป่าเล่อนั่นเป็นประเภทที่เขามักตราหน้าว่าพวกเหยาะแหยะจากสาขาอาวุธเวท

แม้แต่อาจารย์ยังอ้าปากค้างอย่างตกใจระคนอับอาย ความเดือดดาลที่หาต้นตอไม่ได้ปะทุขึ้นภายในใจขณะหันไปตวาดลูกศิษย์ที่กำลังส่งเสียงดังอึกทึก

“เจ้าพวกไร้น้ำยา!

“ดูสิ แม้แต่พวกเหยาะแหยะจากสาขาอาวุธเวทยังดีกว่าพวกเจ้า แล้วยังจะกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นจอมยุทธ์อีกหรือ! สาขาของพวกเราต้องมาเป็นอันดับหนึ่งเรื่องความว่องไวและพละกำลัง! ร่างกายของพวกเราต้องแข็งแกร่งดังเหล็กไหล!

“ฟังให้เข้าหัวด้วยนะ ไอ้พวกขี้เกียจ ต่อไปนี้พวกเจ้าทุกคนต้องฝึกวิชาเป็นสองเท่า   ถ้าพวกเจ้ายังวิ่งให้แซงหวังเป่าเล่อไม่ได้ก็ไม่ต้องนอน วิ่งมันไปทั้งคืนนี่แหละ!” อาจารย์คำรามกึกก้อง ส่วนเด็กๆ ก็เดือดดาลไม่แพ้กัน

แม้แต่พวกลูกศิษย์เองก็รู้สึกเหมือนโดนหยามที่คนจากสาขาอาวุธเวทวิ่งแซง   พวกเขาไปได้ ด้วยความที่ไม่ยอมให้ใครมาดูหมิ่นจึงต่างพากันคิดไปว่าเจ้าอ้วนนั่น    คงต้องหยุดพักกลางทางเป็นแน่ บางทีมันอาจจะไม่ได้วิ่งเส้นรอบนอกเกาะเสียด้วยซ้ำ เจ้าหวังเป่าเล่อนั่นต้องแอบใช้ทางลัดเพื่อยั่วให้พวกเขาโกรธเป็นแน่

แล้วจะทนให้มันมาหยามหน้าเราได้อย่างไร จั่วอี้ฟานกับเฉินจื่อเหิงรู้สึกเหมือนโดนดูหมิ่นมากกว่าใครเพื่อน ถึงจะยังนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ทั้งสองคนก็มองหน้ากันอย่างไม่ปักใจเชื่อว่าหวังเป่าเล่อจะมีพละกำลังถึงเพียงนั้น แม้เด็กหนุ่มทั้งสองจะเป็นคู่แข่งกัน การปรากฏตัวของหวังเป่าเล่อก็ทำให้ทั้งสองมีจุดมุ่งหมายร่วมกัน         อย่างเสียไม่ได้ พวกเขาจะยอมผนึกกำลังกันเพื่อกำจัดคู่อริให้ราบคาบ

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว บรรดาศิษย์สาขาวิชายุทธก็เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวและความมุ่งมั่นที่จะพิสูจน์ว่าตนเองเหนือกว่า ใจก็เปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณนักสู้ ขณะที่พวกเขารอให้หวังเป่าเล่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เจ้าอ้วนนั่นจะต้องซาบซึ้งว่า         สาขาการยุทธ์ของพวกเขาไร้เทียมทานในเรื่องความว่องไว!

ไม่นานนักท้องฟ้าก็เริ่มมืดมิด ในยามโพล้เพล้หวังเป่าเล่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งพร้อมเสียงฝีเท้าดังกึกก้อง ด้วยจิตใจที่หมกมุ่นเวียนวนอยู่กับการลดน้ำหนัก เด็กหนุ่มไม่ได้รับรู้ถึงความเดือดดาลของคณะศิษย์สาขาวิชายุทธเลยแม้แต่น้อย ตอนที่       ผ่านหน้าพวกเขาไป หวังเป่าเล่อไม่หันกลับมามองด้วยซ้ำ ทำให้บรรดาศิษย์สาขา   วิชายุทธพากันร้องคำรามและวิ่งไล่กวดเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย

“หวังเป่าเล่อ เจ้าจะต้องพินาศ!”

“ไอ้หวังเป่าเล่อ กล้าดียังไงมาคิดต่อกรกับพวกเราเรื่องความเร็ว เดี๋ยวก็รู้ว่า    ใครกันแน่ของจริง!”

เสียงตะโกนอย่างมาดร้ายดังไม่ขาดสายขณะที่ศิษย์สาขาวิชายุทธพากัน           วิ่งสุดฝีเท้าด้วยตาแดงก่ำ มองจากไกลๆ ลูกศิษย์ที่เคยวิ่งเป็นกลุ่มก้อนกลับกลายเป็นเรียงแถวยาวพร้อมด้วยเสียงตะโกนกู่ร้อง ช่างเป็นภาพที่แปลกเสียจนศิษย์สาขาอื่นๆ เริ่มให้ความสนใจ

ในที่สุดพวกเขาก็วิ่งครบรอบ พระจันทร์สว่างฉายอยู่บนฟ้าและเสียงตะโกนแปรเปลี่ยนเป็นเสียงหอบหายใจหนัก ดวงตาของศิษย์สาขาวิชายุทธ์ฉายไปด้วย   ความสิ้นหวัง

“หมอนั่นมันคนหรือเปล่าวะ ทำไมมันวิ่งเก่งขนาดนี้”

“หรือมันจะเป็นอสูรกาย”

ทุกคนยังคงเดือดดาลขณะที่ความเร็วค่อยแผ่วลง ร่างกายของพวกเขาสั่นเทิ้มแลขาค่อยอ่อนเปลี้ยหมดเรี่ยวแรง หลายต่อหลายคนเริ่มไล่กวดหวังเป่าเล่อไม่ทัน       เสียแล้ว มีเพียงหยิบมือเดียวที่ยังคงพอไหวอยู่ แต่สุดท้ายแล้วก็เหลือเพียงเฉินจื่อเหิงกับจั่วอี้ฟานเท่านั้นที่ยังกัดฟันวิ่งอยู่ได้

อย่างไรก็ตาม ผู้เหลือรอดทั้งสองก็ใกล้ถึงขีดสุดเข้าไปทุกที แม้เฉินจื่อเหิง         จะปลุกพลังปราณผนึกกายาก็แล้ว ระยะห่างระหว่างเขากับหวังเป่าเล่อก็ยังมาก     ขึ้นทุกที หลังจากที่วิ่งจนครบรอบเขาก็ทรุดลงกองกับพื้น เด็กหนุ่มหอบจนตัวโยน   เขาเริ่มหดหู่ใจ เมื่อเห็นท้องฟ้าค่อยสว่างเรื่อขึ้น

“ใครกันแน่ที่เรียนสาขาการยุทธ์ ข้าหรือหมอนั่น”

คนสุดท้ายที่ล้มลงคือ จั่วอี้ฟาน แม้ใจจะเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและตาแดงฉานเหมือนเลือดที่เดือดพล่าน จั่วอี้ฟานก็วิ่งต่อไปอีกได้แค่ครึ่งรอบเท่านั้น เมื่อดวงอาทิตย์พ้นขอบฟ้าเท้าของเขาก็อ่อนเปลี้ยหมดเรี่ยวแรงพาให้ร่างล้มตึงลงกับพื้น

“พวกเราศิษย์สาขาการยุทธ์ อย่ายอมให้ไอ้พวกปวกเปียกจากสาขาอาวุธเวท     ที่วันๆ เอาแต่หล่อวัตถุเวทมาหยามเราได้ จั่วอี้ฟาน จงปล่อยพลังของเจ้าออกมาอีกรอบหนึ่งเสีย เจ้าต้องเอาชนะมันให้ได้!”

ท่านอาจารย์อยู่กับจั่วอี้ฟานมาตลอดเส้นทาง แม้ตัวท่านจะเหนื่อยอ่อนแต่ก็ไม่สามารถปล่อยวางความรู้สึกหมดกำลังใจนี้ได้ ขณะมองไปยังหวังเป่าเล่อเริ่มที่         ทิ้งระยะไกลออกไปอย่างดูไม่มีทีท่าเหน็ดเหนื่อย ตัวท่านอาจารย์เองก็อดเปล่งเสียงร้องออกมาด้วยความโกรธไม่ได้

“ท่านอาจารย์ ข้าไม่ไหวแล้ว” จั่วอี้ฟานอยากไปต่อ แต่เมื่อแลไปเห็นร่างของ  หวังเป่าเล่อที่เริ่มลิบไป เด็กหนุ่มก็อดรู้สึกถึงความพ่ายแพ้ไม่ได้ เขายิ้มออกมา      อย่างขมขื่น

อาจารย์อ้าปากเตรียมจะพูดอีกครั้ง แต่ก็ตระหนักได้ว่าไม่มีอะไรจะเอ่ยนอกจากคำพูดที่ตอกย้ำความคับแค้นใจ ตลอดเวลาที่ผ่านมาสาขาอาวุธเวทเต็มไปด้วย      พวกอ่อนปวกเปียก แล้วมาวันนี้มันผลิตไอ้ตัวประหลาดนี่ออกมาได้อย่างไรกัน

“มันจะหยามกันเกินไปแล้ว!” ท่านอาจารย์เปล่งเสียงออกมาอย่างท้อใจ นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาหวังเป่าเล่อมักจะวิ่งแซงลูกศิษย์ของเขาไปตลอดช่วงฝึกร่างกายประจำวัน ราวกับว่าเด็กหนุ่มวิ่งไม่เคยหยุดพักแม้แต่ครั้งเดียว

ประสบการณ์นี้มีผลต่อจิตใจของเขาเป็นอย่างมากในฐานะอาจารย์ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าลูกศิษย์จะรู้สึกอย่างไร ท้ายแล้วท่านอาจารย์ก็ล้มเลิกความตั้งที่จะให้ลูกศิษย์  วิ่งรอบเกาะในที่สุด

ถ้าไม่เห็น ก็จะไม่ต้องเจ็บ! เขาถอนหายใจขณะพากลุ่มลูกศิษย์เดินจากไป       เด็กๆ ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก แผนการต่อไปของท่านอาจารย์คือทำให้      ลูกศิษย์เริ่มคุ้นชินกับอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อเริ่มสร้างกล้ามเนื้อ

แม้แต่จั่วอี้ฟานก็ยังคิดว่าแผนการของอาจารย์นั้นยอดเยี่ยม เหตุการณ์เมื่อ   หลายวันก่อนส่งผลกระทบต่อจิตใจเขาแทบจะที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้

ณ ตอนนั้นหวังเป่าเล่อก็ซูบผอมลงมากแล้วหลังจากวิ่งมาเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ ใจของเขาเต็มไปด้วยความระรื่นระคนเสียดาย เขานึกขึ้นมาได้ลางๆ ว่าเจอเหล่านักวิ่งเช่นเดียวกับเขาเมื่อต้นอาทิตย์ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ค่อยๆ หายไป

ความไม่ย่อท้อนำมาซึ่งความสำเร็จ แม้จะหงอยไปบ้างหวังเป่าเล่อก็พบว่าร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อนอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนเขาใกล้สำเร็จ      วิชาระดับปราณเลือดเข้าไปทุกที ความรู้สึกนี้ช่างแรงกล้ามากเสียจริง ขณะที่เขากำลังวิ่งอยู่เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาเขารับรู้ได้ทันทีว่าร่างกายของเขาแทบไม่รู้สึกถึง          ความเหนื่อยล้า ราวกับว่าเขามีพลังงานให้ดึงมาใช้อย่างไม่รู้จบ

ด้วยความแปลกใจนี้หวังเป่าเล่อวิ่งต่อไปอีกสองสามวัน จนกระทั่งเขาตระหนักได้อย่างน่าเศร้าว่าการวิ่งไม่ได้ช่วยให้เขาน้ำหนักลดอีกต่อไปแล้ว ขณะกำลังหัวเสีย     หวังเป่าเล่อก็วิ่งผ่านลานฝึกร่างกาย เขาเห็นศิษย์สาขาการยุทธ์กำลังยกน้ำหนักพลางทดสอบพละกำลังและความอึดของร่างกายที่ลานแห่งนี้อย่างขะมักเขม้น

เมื่อเด็กหนุ่มเห็นว่าสานุศิษย์เหล่านี้กำลังฝึกเสียจนเหงื่อท่วม ดวงตาของเขาก็กลับเป็นประกายขึ้นมาอีกครา หวังเป่าเล่อรีบรุดไปที่ลานทันที

“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ขอรับ! ข้าน้อยชื่อหวังเป่าเล่อ หากข้าจะขอใช้ลานนี้เพื่อฝึกร่างกายด้วยได้หรือไม่ขอรับ” หวังเป่าเล่อกล่าวในทันที สีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง

การปรากฏตัวของเขาทำให้ทั้งลานที่เคยเต็มไปด้วยเสียงคำรามจากการ          ยกน้ำหนักเงียบลงโดยพลัน ศิษย์สาขาการยุทธ์ทั้งหมดหันขวับมาจ้องเขม็งไปที่      หวังเป่าเล่อในชุดคลุมสีแดงชาด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version