บทที่ 12 บรรลุขั้นปราณ
เหล่าศิษย์สาขาการยุทธ์แทบทุกคนแสดงสีหน้าไม่เป็นมิตร ไฟนักสู้ช่วงโชติอยู่ในแววตาของพวกเขา ตัวเฉินจื่อเหิงเองก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเอาจริงเอาจังขึ้นมาในทันที
จั่วอี้ฟานก็ไม่ได้ต่างกัน เด็กหนุ่มกำหมัดแน่น มุมปากพลางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะเย้ย
แม้แต่อาจารย์ประจำสาขาการยุทธ์ผู้นั้นก็ยังมองเพ่งเข้าไปลึกในดวงตาของ หวังเป่าเล่อ
เหตุการณ์อันแสนประหลาดที่เด็กหนุ่มวัยฉกรรจ์ตัวหนาล่ำหลายร้อยคนจ้องมองมายังเขาทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมา เขารู้สึกได้ในทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ
พวกสาขาการยุทธ์นี่ฝึกหนักจนเสียสติไปแล้วหรือ หวังเป่าเล่อถอยเท้าหนีไป สองสามก้าวโดยไม่รู้สึกตัวและเริ่มรู้สึกระแวงขึ้นมา ก่อนหน้านั้นเขามัวแต่จดจ่ออยู่กับการวิ่งจนไม่ได้สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเลยแม้แต่น้อย มโนภาพเดียวที่ปักหลักอยู่ในใจคือภาพของบรรพบุรุษจ้ำม่ำกำลังวิ่งไล่เขาอย่างไม่ลดละ แน่นอนว่าเขาไม่ได้รับรู้ถึงความพ่ายแพ้ของเหล่าศิษย์สาขาการยุทธ์เลยแม้แต่น้อย
“ทุกคนก็เป็นส่วนหนึ่งของสำนักวิชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน ฮ่าๆ แต่ว่าถ้า พวกเจ้าอยากฝึกกันแบบส่วนตัว ข้าไปฝึกที่อื่นก็เห็นจะเข้าทีเหมือนกัน” หวังเป่าเล่อยิ้มแห้งให้กับเหตุการณ์ตรงหน้า ขณะที่เขากำลังจะเดินจากไปเหล่าศิษย์สาขา การยุทธ์ก็รุดเข้ามาล้อมเขาไว้ไม่ให้ไปไหน
“อะไรของพวกเจ้า ที่นี่สำนักวิชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์นะ แล้วข้าก็เป็นศิษย์คัดเลือกพิเศษ จากสาขาการยุทธ์เชียวนะ!” หวังเป่าเล่อเริ่มตกใจกลัวขณะมองไปยังที่กลุ่มลูกศิษย์เหล่านั้น
อาจารย์ประจำสาขายิ้มอย่างมีนัยยะ เขาก้าวออกมาจับตัวหวังเป่าเล่อเอาไว้และระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น
“ศิษย์หวังเป่าเล่อ ไม่จำเป็นต้องกลัวไปหรอก มาสิ มาฝึกร่างกายพร้อมกันกับศิษย์สาขาการยุทธ์ของเรา” ท่านอาจารย์คลี่ยิ้มด้วยความรู้สึกพึงพอใจอย่างลับๆ แม้หวังเป่าเล่อจะเป็นยอดนักวิ่งก็คงเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าหนุ่มนี่จะมีพละกำลังมากกว่าศิษย์สาขาการยุทธ์
เหตุก็เพราะลูกศิษย์ในสาขาของเขาใช้เวลาแทบทั้งหมดไปกับการฝึก ความแข็งแกร่งของร่างกาย หากพูดถึงเรื่องกำลังอย่างไรเสียก็ต้องเป็นพวกเขา ที่นอนมา ถ้าหวังเป่าเล่อไม่รนหาที่เสียเองก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ในเมื่อ หลงเข้ามาแล้วจะปล่อยให้ไปเสียเปล่าๆ ได้อย่างไร
พวกเราต้องปลดปล่อยพลังความโกรธออกมาให้เต็มที่ แสดงให้เจ้าเด็กนี่เห็นว่าสาขาการยุทธ์ของเราแข็งแกร่งไร้เทียมทานขนาดไหน!
ด้วยรอยยิ้มเปื้อนหน้า ท่านอาจารย์พาหวังเป่าเล่อมุ่งตรงไปที่ลานฝึกร่างกาย เขาชี้ไปที่บาร์เบลอันใหญ่เบ้อเร่อนับร้อยที่วางเรียงรายอยู่บนพื้นและเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “หวังเป่าเล่อ มาสิ มา หยิบขึ้นมาได้เลยไม่ต้องเกรงใจ”
จากนั้นอาจารย์ก็เบือนหน้ากลับไปมองลูกศิษย์ของตนพร้อมตะโกนก้องว่า “พวกเจ้าทุกคน เริ่มฝึกต่อเดี๋ยวนี้!”
หวังเป่าเล่อลังเลอยู่ชั่วครู่ ขณะที่เขาอ้าปากกำลังจะพูด เหล่าศิษย์สาขาการยุทธ์ก็รีบรุดไปหยิบบาร์เบลขึ้นมาอย่างแข็งแกร่งราวกับเสือและหมาป่า ทุกคนยกบาร์เบลขึ้นและมองมาที่หวังเป่าเล่ออย่างท้าทาย
ชักไม่ปกติแล้ว! หวังเป่าเล่อมองอย่างระแวดระวัง แต่ท่ามกลางสายตาท้าทายนั่นเขาก็ทำอะไรไม่ได้ ด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง เขาก้าวไปหยิบบาร์เบลขึ้นมาเช่นกัน หลังจากสูดหายใจเข้าลึกเขาก็ยกบาร์เบลขึ้นพร้อมเสียงคำราม
ทันทีที่หวังเป่าเล่อยกบาร์เบลขึ้น ท่านอาจารย์ก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก เขาแผดเสียงก้อง “เริ่มนับถอยหลังได้ พวกเจ้า จงทุ่มพละกำลังทั้งหมดที่พวกเจ้ามี!”
ขณะที่ความตื่นเต้นเร้าใจปะทุขึ้นในตัวอาจารย์ เหล่าลูกศิษย์ก็เริ่มเปิด การแข่งขันสุดประหลาดท่ามกลางเสียงคำรามกึกก้อง แทบทุกคนเปล่งเสียงฮึดออกมาขณะยกบาร์เบลขึ้น โดยเฉพาะเฉินจื่อเหิงและจั่วอี้ฟาน ทั้งสองคนบรรลุระดับ การฝึกตนโบราณไปถึงขั้นสองแล้ว ถึงแม้บาร์เบลจะหนักเอาเรื่องก็ยังถือเป็นน้ำหนักที่ทั้งสองคนจัดการได้
พวกนี้กำลังแข่งกับข้าอยู่! หวังเป่าเล่อก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน เขาตระหนักว่าน้ำหนักนี้ ไม่มากมายขนาดนั้นเมื่อเขายกมันขึ้น เด็กหนุ่มยกบาร์เบลขึ้นด้วยพละกำลังที่เขามี
เสียงหอบหายใจหนักหน่วงดังประสานกันขึ้นมาจากทุกคนที่ลานฝึกในทันใด
“สิบ…ยี่สิบ…สามสิบ…นี่พวกเจ้าไม่ได้กินข้าวเข้าไปกันหรืออย่างไร ออกแรงให้มากกว่านี้!” อาจารย์ตะโกนเสียงดังลั่นจนสะท้อนกลับมาเป็นระยะๆ บรรดาลูกศิษย์ค่อยทยอยยกกันจนครบห้าสิบครั้งเป็นอย่างน้อย หลายคนเริ่มตัวสั่น ด้วยน้ำหนักของมันหากคนปกติทั่วไปมายกบาร์เบลนี้ได้ครบห้าครั้งก็ถือว่าแข็งแรงมากแล้ว
ณ เวลานั้น แทบทุกคนยกได้ถึงห้าสิบครั้ง นี่ถือเป็นความสถิติใหม่ของพวกเขาแล้ว ร่างกายของเหล่าลูกศิษย์เริ่มสั่นเทิ้มราวกับทนแบกรับแรงกดต่อไปไม่ไหว
มันหนักขนาดนั้นเลยหรือ หวังเป่าเล่อรู้สึกงุนงง แม้จะยกมาครบห้าสิบครั้งแล้วน้ำหนักนี้ก็ไม่ได้ถือว่าหนักจนยกต่อไปไม่ได้ ที่สำคัญที่สุดคือขณะที่เขายกน้ำหนักบรรดาไขมันวิญญาณในร่างกายเขาเริ่มลดลงอย่างรวดเร็วและกลายสภาพไปเป็น พลังปราณหล่อเลี้ยงร่างกายเขาแทน แทนที่จะรู้สึกเหนื่อยล้าหวังเป่าเล่อกลับรู้สึกมีกำลังวังชาและตื่นตัวกว่าเดิมเสียอีก
กระนั้น หวังเป่าเล่อกลับรู้สึกว่าฝูงชนรอบตัวมองมาอย่างโกรธเกรี้ยว เด็กหนุ่มคำรามอยู่ภายในอย่างไม่พอใจก่อนจะตั้งใจทำตัวสั่นราวกับกำลังจะล้มลงในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง เขาทำแม้กระทั่งถอนใจยาวออกมา
“ข้าจะยกเป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะ!”
ทันทีที่หวังเป่าเล่อกล่าวประโยคนี้ออกมา เหล่าลูกศิษย์ที่กำลังจะยอมแพ้ ก็เหมือนจะฮึดสู้ขึ้นมาในทันใด พวกเขากัดฟันสู้และยกบาร์เบลขึ้นอีกครั้งพลางเปล่งเสียงร้องออกมาควบคู่ไปด้วย เมื่อพวกเขามองไปที่หวังเป่าเล่อก็พบว่าเด็กหนุ่มก็ยกบาร์เบลของตนขึ้นด้วยร่างกายที่สั่นเทาเช่นกัน พวกเขาต่างรู้สึกกระสับกระส่าย
“ข้าจะยกอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งสุดท้าย!” หวังเป่าเล่อหอบหายใจราวกับว่ากำลังจะล้มลงได้ทุกเมื่อ เขาเอ่ยประโยคนี้ออกมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ
ศิษย์คนอื่นๆ กัดฟันสู้อีกครั้งแต่ก็พบว่ามาสุดกำลังของตนแล้ว เกือบครึ่ง ไม่สามารถยกต่อไปได้และปล่อยบาร์เบลลงพื้นเสียงดังตึง โชคดีที่เครื่องไม้เครื่องมือ มีระบบความปลอดภัยอันดีเยี่ยมจึงไม่มีใครบาดเจ็บ
มีลูกศิษย์อีกร้อยคนเป็นอย่างน้อยที่ยังไปต่อได้ ทั้งหมดกลั้นใจยกบาร์เบลขึ้นอีกครั้ง แต่ไม่นานพวกเขาก็เห็นว่าหวังเป่าเล่อยกบาร์เบลขึ้นอีกครั้งทั้งที่ยังพูดประโยคเดิม
“ทุกคนอย่าเพิ่งท้อ!”
“หมอนั่นเหลือแรงอีกไม่มากแล้ว!”
เพื่อนร่วมชั้นที่นอนแผ่อยู่ที่พื้นอย่างหมดแรงพากันส่งเสียงเชียร์ผู้ที่ยังเหลือรอดอยู่ แต่เสียงเชียร์ของพวกเขาก็ค่อยแผ่วลงจนสุดท้ายทั้งหมดก็ทำได้แค่กัดฟันกรอด อย่างเคียดแค้น
หวังเป่าเล่อพูดซ้ำไปมาว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายของเขาแต่เด็กหนุ่มก็ไม่มีทีท่าว่า จะหมดแรงเสียที บรรดาลูกศิษย์มากกว่าร้อยคนที่เหลืออยู่กลับค่อยๆ พากันยอมแพ้แม้ใจจะเดือดดาล ท้ายที่สุดก็มีเหลืออยู่ไม่ถึงสิบคนที่ยังมุ่งมั่นยกน้ำหนักต่อไปด้วยร่างกายสั่นเทิ้ม
ผู้เหลือรอดก็ต่างมาถึงขีดจำกัดของตนเองกันแล้ว แต่ทุกครั้งที่พวกเขากำลังจะยอมแพ้พวกเขาก็จะมองเห็นร่างกายอันสั่นเทาของหวังเป่าเล่อและนึกในใจว่า นี่อาจจะเป็นรอบสุดท้ายของหมอนี่แล้วก็ได้
แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาเหล่านี้ก็ต่างพากันท้อใจไปทีละคน จนเหลือเพียงเฉินจื่อเหิงและจั่วอี้ฟานที่ยังคงยืนหยัดอยู่ หวังเป่าเล่อยังคงยกบาร์เบลขึ้นแม้ตัวจะสั่น
“ข้ายังทนต่อได้อีกนิด นี่ครั้งสุดท้ายจริงๆ แล้ว!” หวังเป่าเล่อยืนเซหลังจาก ถอยหลังไปหนึ่งก้าว เด็กหนุ่มบังคับตนเองให้ยืนตรงและยกน้ำหนักขึ้นอีกครั้งพร้อมเสียงหอบหายใจ
“หน้าไม่อาย!”
“หมอนี่มันจะเกินไปแล้ว!” บรรดาลูกศิษย์ที่รายล้อมอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว แม้แต่อาจารย์ประจำสาขาการยุทธ์ผู้นั้นก็ยังสบถอยู่ในใจ ละครที่หวังเป่าเล่อเล่นในตอนแรกนั้นดูช่างไร้ยางอายเสียเหลือเกินสำหรับเขา
“เฉินจื่อเหิง จั่วอี้ฟาน ข้ามองข้ามเรื่องที่พวกเจ้าวิ่งแข่งแพ้เจ้าเด็กสาขาอาวุธเวทนั่นได้ แต่ใจคอพวกเจ้าจะยกน้ำหนักแพ้ด้วยหรือ!” ท่านอาจารย์คำราม
ดวงตาของเฉินจื่อเหิงเปลี่ยนเป็นสีแดง ศิษย์ที่เหลือรอดอยู่สองคนต่างต่อสู้สุดกำลัง พวกเขาขบฟันแน่นและยกบาร์เบลขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่ยกน้ำหนักมามากกว่าหนึ่งร้อยรอบ เฉินจื่อเหิงก็มองไปยังหวังเป่าเล่อที่ตัวสั่นกึกแต่ยังไปต่อได้ เขาทรุดตัวลงกับพื้นอย่างอ่อนระโหยพร้อมร่ำไห้อยู่ในใจ
แม้แต่จั่วอี้ฟานเองก็มาถึงขีดจำกัดแล้ว ท้ายที่สุดเขาก็ใช้พลังกายจน สูญความพยายามที่จะยกบาร์เบลขึ้นแม้จะตัวสั่นไปหมดทำให้เขาโลกหมุน เขาหมดหนทางไปต่อ
จั่วอี้ฟานมองดูหวังเป่าเล่อที่เหมือนจะตกอยู่ในสภาพเดียวกัน เด็กหนุ่มยืนโอน ไปเอนมาจนดูเหมือนจะไม่สามารถยกน้ำหนักขึ้นอีกได้แม้แต่ครั้งเดียว จั่วอี้ฟานรู้สึก มีความหวังขึ้นทันที ศิษย์คนอื่นก็เริ่มตื่นเต้นเช่นกัน
“บรรพบุรุษจ้ำม่ำ โปรดมอบพลังให้กับข้าด้วย!” หวังเป่าเล่อเหงื่อท่วม ด้วยเสียงกู่ร้องเด็กหนุ่มค่อยๆ ยกบาร์เบลขึ้นขณะที่ลูกศิษย์ทุกคน รวมถึงอาจารย์ด้วย ต่างพากันตะโกนอยู่ในใจให้เขาช่วยกรุณาปล่อยมันลงเสียที
ทุกคนจ้องอย่างโกรธแค้น ดวงตาของจั่วอี้ฟานกลายเป็นสีแดงเข้มกว่าเดิม เขารู้สึกรับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น เด็กหนุ่มพยายามยกน้ำหนักขึ้นอีกครั้งแต่ก็ล้มลง ด้วยพละกำลังที่มลายหายไปอย่างสิ้นเชิง
ดวงตาของเขามืดมนลง ความรู้สึกหมดหวังในใจบาดลึกเกินกว่าจะอธิบาย
ณ เวลานั้นทุกคนที่ลานฝึกมีสีหน้าบูดเบี้ยว พวกเขาต่างมองมาที่หวังเป่าเล่อที่ยืนหยัดอยู่เป็นคนสุดท้าย เด็กหนุ่มยกบาร์เบลขึ้นอีกครั้งแล้วครั้งเล่าจนเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด…
สองชั่วโมง สี่ชั่วโมง หกชั่วโมง แปดชั่วโมงผ่านไป…
ขณะพวกเขากำลังพัก หวังเป่าเล่าก็ยกน้ำหนักขึ้น เมื่อพวกเขากลับมามีกำลังอีกครั้งและเริ่มฝึกรอบใหม่ หวังเป่าเล่อก็ยังคงเหมือนเดิม ถึงคราวพวกเขาออกไปรับประทานอาหาร หวังเป่าเล่อก็ยังคงอยู่ต่อ จนล่วงเข้าวันที่สามพวกเขาจึงจากไป ภายใต้แสงจันทร์หวังเป่าเล่อยังคงไม่ย่อท้อ
ทุกคนก็รู้สึกงุนงงเป็นที่สุด หากหวังเป่าเล่อยกน้ำหนักเหมือนคนปกติทั่วไป ทุกคนคงไม่รู้สึกอะไรมาก แต่เด็กหนุ่มจะกู่ร้องและบอกว่านี่คือครั้งสุดท้ายแล้วเสมอๆ แม้จะตะโกนมานานแสนนานเสียงของเขาก็ไม่ได้แหบลงแม้แต่น้อย
“ไอ้หมอนี่มันเจ้าเล่ห์นัก!”
“ให้ตายเถอะ มันไม่เหนื่อยบ้างเหรอเอาแต่ตะโกนอยู่อย่างนี้”
ทุกคนรู้สึกหดหู่ แม้แต่ตัวอาจารย์เองก็หมดกำลังใจ เขารู้สึกพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิงจนคิดว่าจะนำเด็กๆ ออกจากลานฝึกเสียและไม่ออกกำลังกายกลางแจ้งอีกตราบใดที่ยังเจอเข้ากับหวังเป่าเล่อ
แต่ขณะที่พวกเขากำลังจะออกจากลานไป ลำแสงแปลกประหลาดก็สาดกระจายออกมาจากตัวหวังเป่าเล่อ ณ เวลานั้นร่างของเด็กหนุ่มมีแสงสีแดงพวยพุ่งออกมาราวกับเปลวไฟร้อนแรงเจิดจ้า แสงสีแดงแพร่จากภายใน ซึมซาบออกมาจากผิวหนังก่อนที่จะเปลี่ยนมโนทัศน์ของทุกคนให้กลายเป็นสีแดง
นี่มัน…ปราณโลหิตสะเทือนยุทธภพ!
ปราณโลหิตเข้มข้นสีสดพุ่งไปทุกทิศทุกทาง ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็พลันหดลงอย่างรวดเร็ว ในที่สุดเขาก็กลับไปสู่ขนาดเดิมที่เคยเป็น ไขมันวิญญาณเผาผลาญและสลายหายไปและได้มอบพลังงานที่ทำให้เขาบรรลุขั้นปราณโลหิตได้!
ภาพตรงหน้าทำให้ใจของทุกคนที่กำลังเดินออกจากลานฝึกสั่นสะเทือน พวกเขายืนอยู่ตรงนั้นแลรู้สึกเหมือนตนเองโดยสายฟ้าฟาด ทิ้งไว้เพียงความตะลึงงันในจิตใจ
“ข้าทำสำเร็จแล้ว!” หวังเป่าเล่อโยนบาร์เบลออกจากตัวอย่างตื่นเต้นเต็มที่ เขาระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเมื่อเห็นร่างกายของตนเองกลับมาอยู่ในสภาพเดิม หลังจากนั้นเขาจึงรู้สึกตัวว่าตนเองได้บรรลุขั้นปราณโลหิตเป็นที่เรียบร้อย และนั่น ก็ทำให้เขายิ่งดีใจมากขึ้นไปอีก เขาวิ่งหนีหายไปอย่างรวดเร็วด้วยความตื้นเต้นยินดี
แม้หวังเป่าเล่อจะเผ่นแน่บไปไกลแล้ว บรรดาศิษย์สาขาการยุทธ์ที่ลานฝึกต่างยังไม่ตื่นจากภวังค์ เสียงร้องอย่างตกใจดังขึ้นหลังจากเวลาผ่านไปสักพัก
“หมอนั่น…หมอนั่นบรรลุขั้นปราณแล้ว”
“สวรรค์เป็นพยาน เจ้านั่นบรรลุขั้นปราณโลหิตสำเร็จก่อนพวกเราเสียอีก ทั้งๆ ที่มาจากสาขาอาวุธเวทแท้ๆ!”
“ข้าตาฝาดไปหรือเปล่านี่ เจ้านั่นบรรลุแล้ว…จากการยกน้ำหนักเนี่ยนะ!”
เสียงอุทานอย่างไม่อยากเชื่อสายตาดังอื้ออึงขึ้น บรรดาลูกศิษย์เริ่มแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างออกรสออกชาติ ภาพที่พวกเขาเห็นก่อนหน้ากระตุ้นจิตใจ พวกเขาเป็นอย่างมาก แค่แพ้หวังเป่าเล่อถึงสองครั้งยังไม่แย่เท่ากับการดูหมอนั่นบรรลุขั้นปราณอย่างน่าอิจฉา
แม้แต่อาจารย์เองก็ยังหมกมุ่นขุ่นเคืองใจไปเป็นวัน เขาระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างเสียไม่ได้
“เจ้าพวกไร้ค่า!”
“ต่อไปนี้พวกเจ้าลืมการนอนไปได้เลย ไอ้หมอนั่นมาจากสาขาอาวุธเวทแต่กลับบรรลุได้แค่เพราะยกน้ำหนักเนี่ยนะ! แล้วพวกเจ้าล่ะ ฝึกต่อไปเดี๋ยวนี้อย่าแม้แต่คิดจะหยุดเชียวหากพวกเจ้ายังไม่บรรลุขั้นปราณ!”
คราวนี้ไม่มีลูกศิษย์คนไหนบ่นอีก ดวงตาหลายคู่กลับฉายแววกล้าขึ้นมาแทนที่ พวกเขารู้สึกว่านี่อาจจะเป็นวิธีที่ดีที่จะทำให้เขาบรรลุขั้นปราณได้จึงต่างพากันรีบรุดไปฝึกร่างกายอย่างกระตือรือร้น
ไม่รู้ว่าเพราะการยกน้ำหนักมีประสิทธิผลจริงหรือเพราะเป็นเหตุการณ์สุด น่าตกใจนั่นกันแน่ แต่หลังจากคืนนั้นก็มีลูกศิษย์สาขาการยุทธ์หนึ่งคนที่บรรลุขั้นปราณจากการยกน้ำหนักเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ ปรากฏการณ์ดังกล่าวจึงกลายเป็นที่โจษจันในหมู่ลูกศิษย์สาขาการยุทธ์จนกลายเป็นเหมือนตำนานในที่สุด แม้หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านไปเป็นเวลานาน ก็ยังมีลูกศิษย์สาขาการยุทธ์บางคนที่ยังไปยกน้ำหนักที่จุดนั้นด้วยความหวังว่าจะโชคดี บรรลุขั้นปราณเฉกเช่นเดียวกัน