บทที่ 109 จิตสังหารจากตะเกียงโบราณ!
ยอดเขานั้นตั้งอยู่ในเขตหวงห้ามของหมู่บ้านลมปราณวิญญาณ ต่อให้ผู้ฝึกตนโบราณเข้าไปใกล้ก็ไม่อาจล่วงล้ำเข้าไปได้แม้แต่ครึ่งก้าว หากฝ่าฝืนเดินเข้าไป จะต้องถูกสนามแม่เหล็กในบริเวณนั้นสังหารสิ้นอย่างแน่นอน
ต้องเป็นผู้ที่บรรลุถึงระดับลมหายใจเที่ยงแท้ขั้นสูงสุดเท่านั้นจึงจะอยู่ได้สักพักหนึ่งแล้วบุกเข้าไปได้ แต่เพราะตอนนี้ยังไม่มีใครบรรลุระดับปราณมาก่อน จึงยังไม่เคย มีใครย่างกรายเข้าไปนับตั้งแต่บริเวณนั้นเปิดออก!
กระนั้น เมื่อบรรดาศิษย์จำนวนหนึ่งบริเวณรอบๆ ยอดภูเขาเห็นดังนั้นเข้าแต่ไกล ก็พลันมองดูด้วยความเลื่อมใส
เมื่อภูเขาสั่นไหว เหล่าลูกศิษย์ต่างตกตะลึง ไม่ทันได้แสดงปฏิกิริยาโต้ตอบ ภูเขาก็ สั่นไหวแรงยิ่งขึ้น อักษรปราณจำนวนมากปรากฏขึ้นมาและส่องประกายไม่หยุด!
อักษรปราณเหล่านั้นส่องประกายพร้อมกับมีแสงพุ่งออกมาจากข้างในภูเขา แสงสว่างอาบท่วมขึ้นไปยังท้องฟ้าจากทุกทาง มองจากที่ไกลๆ แล้วเห็นลำแสงเหล่านั้นส่องฉายไร้สิ้นสุด ส่องสว่างสวรรค์และผืนดินติดตรึงสายตาทุกคน
เหล่าศิษย์จากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าในหมู่บ้านลมปราณวิญญาณ ไม่ว่าจะอยู่ไกลจากภูเขาเพียงใด ล้วนเห็นแสงส่องไปทั่วผืนฟ้า สีหน้าพวกเขาเปลี่ยนไป ต่างตื่นตะลึงกันจ้าละหวั่น
“เกิดอะไรขึ้น”
“มีอะไรกันรึ มีคนเข้าไปในบริเวณนั้นหรือ”
แสงสว่างเจิดจ้ายิ่งนัก กระทั่งเหล่าเจ้าสำนักของสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าซึ่งอยู่ นอกหมู่บ้านลมปราณวิญญาณ และบรรดาผู้ฝึกตนที่ยืนออกันอยู่ตรงท่าเรือบินก็ยังตะลึงงัน เมื่อเห็นลำแสงพุ่งออกมาจากข้างในหมู่บ้านลมปราณวิญญาณ
“เกิดอะไรกันขึ้น”
“ไม่เคยมีอะไรแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน!”
เหล่าเจ้าสำนักของสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋านั่งไม่ติด พวกเขาลุกขึ้นทันที พุ่งความสนใจไปที่ลำแสง กระทั่งพวกเขาก็ยังไม่แน่ใจว่าทำไมจึงเกิดเหตุเช่นนี้ขึ้นได้ และเกิดความกังวลก่อตัวขึ้นในใจ ศิษย์ทุกคนในหมู่บ้านลมปราณวิญญาณต่างเป็น หัวกะทิจากหลายสำนักศึกษาเต๋า แต่ละรายต่างมีศักยภาพเหมาะสมเป็นศักดิ์ศรี และความภาคภูมิของสำนักศึกษาเต๋าที่พวกเขาร่ำเรียนอยู่ ถ้าศิษย์เหล่านั้นตกอยู่ในอันตราย สำนักศึกษาเต๋าจะเกิดการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่
แค่หนึ่งในศิษย์ที่สำนักศึกษาเต๋าหลายแห่งฝากความหวังเอาไว้ได้รับบาดเจ็บ ก็ถือเป็นการสูญเสียอันยากจะรับไหว
ฉะนั้นหลังจากเหล่าเจ้าสำนักของสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าเพ่งพินิจโดยละเอียดแล้ว พวกเขาจึงนำแผ่นหยกออกมาติดต่อไปยังสำนักศึกษาของพวกตนที่เกาะ มหาปราชญ์ชั้นสูง แจ้งให้เตรียมการช่วยเหลือถ้าจำเป็นทันที!
ขณะที่ผู้คนนอกหมู่บ้านลมปราณวิญญาณเป็นกังวล บรรดาศิษย์ในหมู่บ้านพากันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พวกเขาต่างก็กระสับกระส่ายและสงสัยกันอยู่ในใจ
ศิษย์บางรายตัดใจเลิกค้นหารากฐานวิญญาณ และคิดจะบรรลุระดับลมหายใจเที่ยงแท้เพื่อออกไปจากหมู่บ้านแห่งนั้นทันที ทั้งที่เพิ่งได้รากฐานวิญญาณมาไม่ถึง ห้านิ้วด้วยซ้ำ ผู้ที่บรรลุถึงระดับหกหรือเจ็ดนิ้วแล้วยังคงดันทุรัง รั้งตัวเองไว้ไม่ให้ บรรลุระดับปราณ ทั้งที่รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
“ข้าจะบรรลุก็ต่อเมื่อหารากฐานวิญญาณแปดนิ้วได้แล้วเท่านั้น!”
ต่างคนก็เลือกหนทางต่างกันไป ขณะเดียวกันนั้น ลึกเข้าไปในภูเขาที่เกิดจากเศษชิ้นส่วนจากห้วงอวกาศ ส่วนลึกซึ่งไม่เคยมีใครไปถึงมาก่อนตั้งแต่มันเปิดออกมา คือ ดินแดนแห้งแล้งกว้างใหญ่ไพศาล
ภายในดินแดนแห้งแล้งนี้มีรูปปั้นนับไม่ถ้วนกับโครงกระดูกมากเกินคณาสวมใส่อาภรณ์แบบโบราณอยู่เต็มไปหมด รูปปั้นทุกตัวดูคล้ายกัน มีสามหัว สีหน้าท่าทางต่างกันออกไป บ้างเย้ยหยัน บ้างโกรธเกรี้ยว และบ้างร่ำไห้ ทุกตัวสูงเกินยี่สิบฟุต ดูเหมือนทหารชุดรบ
ร่างกายสีดำของรูปปั้นตัดกับรูปแบบสถาปัตยกรรมที่เกลื่อนอยู่ทั่วโดยสิ้นเชิง
ทุกรูปปั้นล้วนแตกหักในระดับหนึ่ง ดูจากท่าทางของโครงกระดูกแล้ว ดูเหมือนว่าตอนที่คนเหล่านี้ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาได้สู้ถึงตายกับพวกรูปปั้น และทุกคนต่าง สูญสิ้นชีวิตไปในท้ายที่สุด
มีเพียงรูปปั้นซึ่งอยู่ห่างสุดขอบไปที่พอจะเรียกได้ว่ามีสภาพสมบูรณ์ ทว่ากลาง แสกหน้ามีหอกยาวปักทะลุโดยครึ่งหนึ่งยังโผล่ออกมาอยู่!
มือขวาของรูปปั้นนั้นมีตะเกียงน้ำมันเก่าแก่ซึ่งไฟดับมอดหมดแล้วแขวนไว้ ในเวลานั้นเอง มีเปลวเพลิงเล็กๆ ติดขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุข้างในตะเกียงที่ดับ ไปแล้ว!
เปลวไฟนั้นอ่อนมาก และอาจดับไปได้โดยง่าย ขณะนั้นเองก็มีร่างสีม่วงปรากฏตัวเลือนรางอยู่ในเปลวเพลิงส่องประกายขึ้นมา
วินาทีที่ร่างนั้นปรากฏขึ้น เกิดน้ำเสียงไร้อารมณ์ไร้ชีวิต ดังกังวานจากรูปปั้นที่พังแทบไม่เหลือชิ้นดีท่ามกลางซากปรักหักพัง
“พบแล้ว…ยอดฝีมือ…สังหาร…กลืนกินมันเสีย!”
เสียงแผ่วต่ำกล่าวเป็นวรรคสั้นๆ ดั่งว่าบาดเจ็บเกินรักษาหรือไร้เรี่ยวแรงมา นานแสนนาน แล้วแผ่ขยายออกไป ร่างสีม่วงในเปลวเพลิงน้อยๆ ข้างในตะเกียง ตรงมือขวาของรูปปั้นก็พลันลืมตาขึ้น แล้วก้าวออกมาจากเปลวเพลิงนั้น!
ชั่วขณะที่ร่างนั้นโผล่ออกมา แสงประกายสีม่วงส่องวาบออกมาจากทั่วทั้งร่าง ร่างนั้นเป็นบุรุษเพศ สีหน้าไร้อารมณ์ ผมยาวสยายเล็กน้อย เขาแต่งกายในชุดเกราะ สีม่วง แสงสีเดียวกันเจิดจ้าฉายออกมาจากทั้งตัว
ชุดเกราะสีม่วงบนตัวเขาแตกสลายไปอย่างรวดเร็ว แสงสีม่วงเองก็เลือนหายไปในไม่ช้า กระทั่งร่างกายเขาก็เสียแรงประคองตัวแล้วสลายไปในพริบตา จนสุดท้าย ก็เหลือเพียงแสงสีม่วงบางเบา
แสงสีม่วงกะพริบเหมือนจวนเจียนจะหายไป
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมานั้นดูราวกับภาพจินตนาการของอดีตอันรุ่งโรจน์ บัดนี้เน่าสลาย อ่อนแอเกินเยียวยาเช่นเดียวกับเปลวไฟ
ทว่าสุดท้ายแล้ว เมื่อแสงสีม่วงเลือนลดไปแทบจะหมดสิ้น จู่ๆ หนึ่งส่วนร้อยที่ยังเหลืออยู่กลับแน่นิ่งไม่สลายตามไป กลับพุ่งไปข้างหน้าในบัดดล ราวกับจะหนีไป ผสานรวมกับความว่างเปล่าก่อนหน้า
ตอนแสงจวนจะพุ่งออกไป ภูเขาจากเศษชิ้นส่วนนอกห้วงอวกาศส่องแสงทั่วทั้งบริเวณกว้างสว่างไสว อักษรปราณกะพริบเร็วขึ้น เกิดเป็นแรงกดดันสกัดกั้นเอาไว้
แสงสีม่วงซึ่งอยากจะหนีออกไปเริ่มกะพริบไหว ราวกับว่าพลังที่มองไม่เห็นอยากจะกำจัดมัน แสงนั้นแผ่ววูบลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ด้วยแรงฝืนสุดท้าย มันพาตัวเองหนีออกไปจากแรงกดดันนั้นได้สำเร็จ แล้วรวมหายไปกับความว่างเปล่า
เมื่อแสงสีม่วงนั้นสว่างขึ้นอีกครั้ง มันก็อยู่บนท้องฟ้าเหนือหมู่บ้าน ลมปราณวิญญาณแล้ว แม้จะหนีมาจากภูเขาแห่งนั้นได้สำเร็จ แต่สภาพของมันก็ยังร่อแร่ ภูเขาลูกนั้นทอแสงออกมาไม่จบสิ้น อักษรปราณทอประกายไม่หยุด แรงกดดันยังคงทำงานจากทุกทางพยายามเหนี่ยวรั้งมันเอาไว้ ไม่คิดยอมแพ้จนกว่าจะดับแสง สีม่วงให้สิ้นไป!
แสงหรี่ลงเมื่อต้องขัดขืนสู้แรงกดดันที่พยายามทำให้มันหายไป แต่ความเร็วของแสงสีม่วงไม่ได้ลดลงสักนิดเดียว เมื่อมันเลือกทิศทางที่จะไปได้ มันพุ่งไปด้วยความเร็วปานสายฟ้า!
มันพุ่งไปยังหุบเขาที่หวังเป่าเล่อกำลังนั่งสมาธิอยู่นั่นเอง!
“พบแล้ว…ยอดฝีมือ…สังหาร…กลืนกินมันเสีย!”
แสงสีม่วงปรากฏในบริเวณภูเขาที่มันหมายมาดไว้ในทันใด มันพุ่งไปไม่หยุดด้วยพลังงานมหาศาล!
ขณะนั้น หวังเป่าเล่อยังคงนั่งอยู่ที่ถ้ำในภูเขา รากฐานวิญญาณในตัวเขาเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเงินพอได้ประสานรวมเข้ากับรากฐานวิญญาณเก้านิ้ว
ฐานรากมากมายเติบใหญ่พันรอบเมล็ดดูดกลืนแล้วแผ่ขยายทั่วร่าง ประสานเข้ากับจุดตันเถียน ขั้นตอนนี้ไม่ได้สร้างความเจ็บปวดแต่อย่างใด กลับให้ความรู้สึกสบายใจผ่อนคลายอารมณ์ เปรียบเสมือนวิวัฒนาการไปอีกขั้น ร่างกายของเขากำลังรื่นรมย์กับการเปลี่ยนแปลง!
เส้นปราณเติบโตขึ้นจากหนึ่งส่วนเป็นเจ็ดส่วน เมื่อสัมผัสถึงรากฐานวิญญาณซึ่งแผ่ขยายอยู่ในตัว หวังเป่าเล่อตื่นเต้น เขารู้สึกได้ชัดเจนว่าตนไวต่อปราณวิญญาณยิ่งขึ้นในเวลาอันสั้น
ตอนนั้นหวังเป่าเล่อรู้สึกเหมือนปราณวิญญาณเป็นอากาศเย็นในฤดูหนาว ทีแรกเขาสวมเสื้อผ้า แม้จะสัมผัสได้ถึงความหนาวแต่ก็ยังขาดอะไรไปบางอย่าง ตอนนี้เหมือนเขาถอดเสื้อผ้าออกไปหมดแล้ว ความอ่อนไหวและอากาศเย็นที่เขาประสบขณะยืนอยู่กลางลมหนาวยะเยือกนี้ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
ภาพอุปมาเช่นนี้ดูเหมาะสมยิ่งนัก
หวังเป่าเล่ออยู่ในระหว่างการบรรลุระดับขั้น แต่ชายหนุ่มยังรู้สึกตัวอยู่ เขาสังเกตว่ารากฐานวิญญาณแพร่ออกไปและประสานเข้ากับเส้นปราณได้แปดในสิบส่วนแล้ว และกำลังเพิ่มขึ้นเป็นเก้าในสิบส่วน ชายหนุ่มยิ่งระรื่นเข้าไปใหญ่
เมื่อข้าบรรลุระดับลมหายใจเที่ยงแท้ได้สำเร็จ ข้าจะไปยังหุบเขาอันเกิดจาก เศษชิ้นส่วนจากห้วงอวกาศ เจ้าสำนักและสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ดูแลข้าเป็นอย่างดีมาโดยตลอด ข้าจะตอบแทนพวกเขาด้วยการนำวัตถุดิบล้ำค่ากลับไปให้ได้มากที่สุด
หวังเป่าเล่อทั้งตื่นเต้นและฮึกเหิม รู้สึกได้ว่าตนกำลังจะบรรลุระดับในไม่ช้า
ทว่าตอนนั้นเอง…
บางอย่างที่ไม่คาดคิดพลันบังเกิดขึ้นเสียก่อน!