Skip to content

A World Worth Protecting 111

บทที่ 111 สั่งได้ดั่งนึก

ประกายแสงสีม่วงให้ความรู้สึกชั่วร้ายแปลกๆ แต่แล้วก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพปกติ หวังเป่าเล่อเพิ่งได้สติยังคงมึนงง ในเมื่อเขาไม่มี     กระจก จึงไม่อาจมองเห็นแววตาที่เปลี่ยนไปของตัวเอง

ทว่าผ่านไปไม่นานนัก ลมหายใจของเขาก็ถี่กระชั้นขึ้น เขาเค้นแรงก้มลงสำรวจร่างกายตัวเอง เมื่อพบว่าทุกส่วนยังอยู่ดี จึงรีบลุกขึ้นเดินสองถึงสามก้าวเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดแปลกไปจากเดิม นอกจากว่ารู้สึกคล่องตัวขึ้น จากนั้นก็ถอนหายใจโล่งอก

ทุกอย่างปกติดีก็ดีแล้ว หวังเป่าเล่อคิดพลางกวาดตามองรอบตัว ตอนแรกเขาอยู่ในหุบเขา รายล้อมด้วยภูเขา แต่ภูเขาเหล่านั้นกลับทลายย่อยยับ เหลือเพียงเศษหินเกลื่อนทั่วบริเวณ ยอดภูเขาไม่ไกลออกไปจากถ้ำราบเป็นหน้ากลอง

ตัวอะไรเพิ่งจู่โจมข้ากัน

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นประดังประเดจนวังเป่าเล่อปวดหัว ยิ่งเมื่อเขาเริ่มรู้สึกตัวมากขึ้นทุกขณะด้วยแล้ว ความทรงจำถึงแต่ละสิ่งโผล่ขึ้นมาในหัว สีหน้าเขาก็เหยเกขึ้นมาทันที

ความทรงจำสุดท้ายที่เขามีคือ ตัวเขากำลังสูบแสงสีม่วงเข้าไปในเมล็ดดูดกลืน   ทำให้ทั้งร่างสั่น แล้วค่อยๆ หมดสติลง สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไปครั้นนึกย้อนถึงตอนนั้น ดวงตาเบิกกว้างตกใจ เมื่อรู้ตัวว่ารากฐานวิญญาณไม่อยู่กับตัวแล้ว            จุดตันเถียนแทนที่ด้วยเมล็ดหลุมดำแห่งการดูดกลืนแทน

“ให้ตายเถอะ รากฐานวิญญาณข้าหายไปไหน รากฐานวิญญาณเก้านิ้วของข้าหายไปแล้ว!” หวังเป่าเล่อร้องลั่นอย่างน่าสังเวช เขานึกออกแล้วว่ารากฐานวิญญาณโดนเมล็ดดูดกลืนสูบเข้าไประหว่างต่อสู้กับแสงสีม่วง

หวังเป่าเล่อเหมือนถูกสายฟ้าฟาด เขากระวนกระวายอยู่นิ่งไม่ได้ นึกอยากร้องไห้ทว่าน้ำตาไม่ไหลออกมา

“รากฐานวิญญาณเก้านิ้วที่ข้าทุ่มสุดตัวกว่าจะได้มา!” หวังเป่าเล่อโมโห           รีบตรวจดูร่างกายให้ละเอียด แล้วจู่ๆ ก็ชะงักไประหว่างตรวจสอบ หายใจเร็วขึ้น

“นี่มันไม่ใช่…” หวังเป่าเล่อรีบนั่งลงสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนจะสำรวจความเปลี่ยนแปลงในร่างกายที่ตนสัมผัสได้อีกครั้งหนึ่ง สายตาเขาค่อยๆ กลายเป็นว่างเปล่า ตัวเขานั่งงงงันอยู่ตรงนั้น

“นี่มันอะไรกัน…”

เขาพบว่าเส้นปราณทั้งหมดเปลี่ยนเป็นปราณวิญญาณอย่างที่รู้สึกตอนกำลังจะบรรลุระดับปราณเมื่อก่อนหน้านี้ ทั้งที่ไม่มีรากฐานวิญญาณอยู่ในตัว!

แต่มีสิ่งต่างกันออกไปอย่างหนึ่ง คือเส้นปราณวิญญาณทั้งร่างของเขาบัดนี้กลายเป็นสีม่วง และให้ความรู้สึกแปลกประหลาดที่หวังเป่าเล่อระบุไม่ได้ชัด           ว่าเป็นอะไร

หวังเป่าเล่องงงัน สักครู่ต่อมาเขาจึงลองใช้กระบวนท่าดูดกลืนปราณวิญญาณจากรอบกาย เมื่อชายหนุ่มลงมือ ปราณวิญญาณจากทุกสารทิศเริ่มหมุนวน รวดเร็วและแม่นยำกว่าทุกครั้ง รวมตัวกันแล้วพุ่งเข้าสู่เส้นปราณวิญญาณของหวังเป่าเล่อทันที

หวังเป่าเล่อยิ่งประหลาดใจขึ้นไปอีกเพราะแต่ก่อน ปราณวิญญาณอาจไหลเข้ามาในตัวยามเขาปลดปล่อยพลังสูบจากเมล็ดดูดกลืนก็จริง แต่ปราณก็จะไหลออกตลอดเวลาด้วยเช่นกัน ฉะนั้นจึงต้องมีวิชาค้ำจุนปราณขึ้นมา กักตุนปราณวิญญาณไว้ในร่างกาย จึงค่อยใช้ปราณเหล่านั้นหลอมศิลาวิญญาณผ่านกระบวนท่าฝึกตนอีกที

ปราณวิญญาณเป็นสิ่งแปลกปลอมที่ใช้หลอมศิลาวิญญาณ หลักการคล้ายคลึงกับวิชาการฝึกตนโบราณ กล่าวในอีกทางหนึ่งคือเป็นหนทางให้ร่างกายได้ฝึกตน        ผ่านกระแสปราณไหลเวียนเข้าและออก

ปราณวิญญาณนั้นไม่อาจเก็บไว้ในร่างกายได้แบบถาวร เมื่อปล่อยพลังสูบดูด  กลืนปราณจำนวนหนึ่งมาไว้ได้ ไขมันวิญญาณของหวังเป่าเล่อก็จะเก็บสะสมปราณวิญญาณนั้นไว้ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อย่อยไขมันวิญญาณแล้ว มันจะสลายกลายเป็นเสริมความแข็งแกร่งให้ร่างกายของหวังเป่าเล่อ สรุปแล้ว ร่างกาย          หวังเป่าเล่อไม่มีพลังวิญญาณใดๆ เป็นของตัวเองเลยแม้แต่น้อย

พลังวิญญาณหนึ่งเดียวที่มีอยู่ คือปราณวิญญาณซึ่งดูดซับมาจากภายนอกใน   ยามจำเป็นเท่านั้น!

ต่อให้บรรลุขั้นบำรุงชีพจรแล้ว ก็ยังกักเก็บปราณวิญญาณไว้ข้างในร่างกายได้เพียงชั่วคราว ไม่มีใครเก็บได้ยาวนานหรือครอบครองไว้ในร่างกายได้ตลอดไป

ทว่าตอนนี้ หวังเป่าเล่อสังเกตเห็นบางสิ่งที่เปลี่ยนไป หลังจากปราณวิญญาณเหล่านั้นพวยพุ่งเข้ามา ตามเส้นปราณสู่ข้างในร่างเขา แล้วไม่มีไหลออกไปเลยแม้แต่นิดเดียว มันแปรสภาพเป็นเส้นกระแสวิญญาณ จมเข้าไปในหลุมดำที่เมล็ดดูดกลืนสร้างขึ้นหลังจากไหลวนอยู่ในเส้นปราณ

หวังเป่าเล่อทดสอบดูแล้วพบว่า เขาสามารถปล่อยกระแสวิญญาณออกจาก   เมล็ดดูดกลืนและโคจรมันไปทั่วทั้งร่างกายของตัวเองได้ ทุกการโคจรผ่านเส้นปราณ ไม่ต่างกับการดูดกลืนพลังวิญญาณจากภายนอกร่างกาย เมื่อมันผสานเข้ากับร่าง    ของเขา ก็จะยิ่งเสริมความแข็งแกร่งให้ร่างกายเข้าไปอีกขั้น

กระบวนการเสริมความแข็งแกร่งนี้เป็นไปอย่างเชื่องช้า ทว่าให้ความรู้สึกต่างจากการฝึกตนแบบโบราณโดยสิ้นเชิง เพราะเหมือนกับว่ากระแสวิญญาณเหล่านี้เป็นของเขาเองทั้งหมดอย่างสมบูรณ์แบบ!

กระแสวิญญาณนั้นแปรเปลี่ยนและควบคุมได้ดั่งใจนึก ราวกับอวัยวะอีกชิ้นหนึ่งที่ไม่อาจแยกจากร่างกายได้!

หวังเป่าเล่อกลั้นหายใจตะลึงงัน หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง สายตาเขาก็เป็นประกายขึ้นมา เมื่อได้ควบคุมกระแสวิญญาณในตัวให้แผ่ขยายออก วินาทีนั้นกระแสวิญญาณโผล่ออกมาจากร่างเขา แรงกดดันอันเป็นสัญญาณของผู้ฝึกตนระดับ                      ลมหายใจเที่ยงแท้สั่นไหวอยู่รอบตัวหวังเป่าเล่อ ก่อเป็นพายุหมุนขนาดย่อม

ลมหายใจเที่ยงแท้!

ลมพายุจากแรงกดดันที่ปรากฏขึ้นมานั้น ยืนยันว่าความคิดของหวังเป่าเล่อถูกต้อง เขาตื่นเต้นขึ้นมาเมื่อตระหนักได้ในที่สุดว่าเหตุใดผู้ฝึกตนระดับ                   ลมหายใจเที่ยงแท้จึงเอาชนะผู้ใช้ปราณระดับการฝึกตนโบราณได้

ทั้งหมดก็เพราะปราณวิญญาณในระดับลมหายใจเที่ยงแท้จะเป็นของผู้ฝึกตน     แม้กระแสวิญญาณหลุดออกไปเพียงเส้นเดียวก็ยังประสานรวมเข้ากับปราณวิญญาณรอบกาย และสั่งการให้มันควบรวมกลายเป็นแรงกดดันรุนแรงได้ตามชอบใจ           ทำให้ผู้ใช้ปราณระดับการฝึกตนโบราณไม่อาจทัดทานพลังของมันได้

แม้วิธีการจะต่างกัน แต่หลักการของมันเหมือนกับตอนที่เจ้ารากฐานวิญญาณเก้านิ้วรวบรวมปราณวิญญาณเพื่อสร้างกระแสคลื่นมาต่อกรกับหวังเป่าเล่อ เห็นได้ชัดว่าต่างกันตรงที่ผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้ควบคุมปราณวิญญาณจากภายใน ในขณะที่เจ้ารากฐานวิญญาณเก้านิ้วนั้นควบคุมปราณวิญญาณจากภายนอกเท่านั้น

หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่าตัวเองมีแรงกดดันระดับลมหายใจเที่ยงแท้แผ่ออกจากร่าง   ก็นึกดีใจ รีบเรียกกระบี่เหาะเหินจากกำไลคลังเวทออกมาถือไว้ ก่อนถ่ายเท      กระแสวิญญาณในร่างกายเข้าไปยังกระบี่เล่มนั้น ชายหนุ่มลองโบกกระบี่ ก็พลันมีลำแสงเวทพวยพุ่งออกมา ทว่ามันก็พลันสงบนิ่งทันทีที่หวังเป่าเล่อออกคำสั่งในใจ

ตอนนี้เหมือนมีกระแสวิญญาณล่องหนควบคุมกระบี่เล่มนั้นอยู่ ไม่ช้ามันก็ตกอยู่ใต้อาณัติของหวังเป่าเล่อ จะเคลื่อนที่เร็วและช้าก็ได้ดั่งใจ พุ่งตรงและเลี้ยวไปได้ตามที่เขาปรารถนา แม้จะยังควบคุมได้ไม่ชำนาญนัก แต่ชายหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงความแตกต่างอย่างลิบลับเมื่อเทียบกับวิชาการฝึกตนโบราณ

ไม่นานนัก หวังเป่าเล่อก็เก็บกระบี่เหาะเหิน แล้วเริ่มหัวเราะเต็มเสียงด้วย     ความตื่นเต้นขึ้นไปถึงท้องฟ้า เขาประเมินกำลังทางกายภาพของตนอีกครั้ง เพียงขยับนิดเดียว ตัวเขาก็เคลื่อนที่ต่อไปด้วยความเร็วระดับสูงสุด กระแสวิญญาณเสริมพลังให้เขาแข็งแกร่งขึ้นมาก หากเทียบกับตอนที่เขายังอยู่ในระดับการฝึกตนโบราณ

พละกำลังของเขาเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้กระแสวิญญาณมาช่วยเสริม!

กล่าวได้หวังเป่าเล่อในตอนนี้กำลังประสบกับการเปลี่ยนแปลงซึ่งเขานั้นแข็งแกร่งขึ้นในทุกทาง!

เอ้อ รากฐานวิญญาณของข้าตอนนี้ยาวเท่าไรแล้วนะ เส้นปราณของข้ากลายเป็นเส้นปราณวิญญาณหมดแล้ว เหมือนแสงสีม่วงนั้นทำให้ข้าแข็งแกร่งขึ้น เป็นไปได้ว่ารากฐานวิญญาณข้าเปลี่ยนเป็นสิบนิ้วแล้วกระมัง!

หวังเป่าเล่อปีติยินดียามสำรวจเมล็ดดูดกลืนตรงจุดตันเถียน เพียงนึกถึง     รากฐานวิญญาณสิบนิ้ว เมล็ดดูดกลืนของเขาก็เริ่มพร่าเลือนแล้วเปลี่ยนรูปร่างไป    จากหลุมดำกลายเป็นรากฐานวิญญาณสิบนิ้วแทน!

หวังเป่าเล่อเปิดตากว้าง หลังจากนั้นหลายอึดใจเขาจึงได้กะพริบตาอีกครั้ง

พอข้าคิดถึงรากฐานวิญญาณสิบนิ้ว มันก็กลายเป็นรากฐานวิญญาณสิบนิ้วเลย แล้วถ้าข้าคิดถึงรากฐานวิญญาณเก้านิ้วเล่า

เพียงแค่หวังเป่าเล่อคิดแวบเดียวในใจ เมล็ดดูดกลืนก็พร่าเลือนในทันที          แล้วเปลี่ยนจากรากฐานวิญญาณสิบนิ้วกลายเป็นเก้านิ้ว!

ยี่สิบนิ้วเล่า สามสิบนิ้วเล่า หนึ่งร้อยนิ้วเล่า! หวังเป่าเล่ออัศจรรย์ใจ หัวเราะเริงร่าขณะที่เมล็ดดูดกลืนเปลี่ยนรูปร่างไปไม่หยุดตามคำสั่ง

มันเปลี่ยนได้ตามใจนึก! หวังเป่าเล่อระริกระรี้ หลังจากเปลี่ยนไปมาอยู่หลายครั้ง เขาก็เปรมปรีดิ์ยิ่งนัก รู้สึกเหมือนแสงสีม่วงนั้นได้มาช่วยมอบการเปลี่ยนแปลง       ครั้งใหญ่ให้แก่เขา จนชายหนุ่มอดลำพองตนมิได้

ไม่ว่าเจ้าจะเก่งสักแค่ไหน เมื่ออยู่ต่อหน้าข้า โคตรบิดาหวังของเจ้า เจ้าจะต้อง   ก้มหัวยอมพ่ายแพ้แต่โดยดี! หวังเป่าเล่ออารมณ์ดีขึ้นมาโข ชายหนุ่มสลัดความรู้สึก  หดหู่เมื่อครู่ทิ้งไปหมดสิ้น ก่อนจะนึกถึงสนามแม่เหล็กของหมู่บ้านที่ต่อต้านผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้ ตามที่แผ่นหยกของสำนักศึกษาเต๋าบอกเอาไว้

เมื่อบรรลุระดับลมหายใจเที่ยงแท้แล้ว ข้าจะอยู่ที่นี่ได้อีกนานเท่าไร ก็ขึ้นอยู่กับความยาวของรากฐานวิญญาณภายในกาย ข้าไม่รู้เลยว่าข้าหมดสติไปนานเท่าไร    และข้าจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน…

เมื่อคิดได้ดังนั้น หวังเป่าเล่อจึงเงยศีรษะขึ้นมองเข้าไปยังส่วนลึกของหมู่บ้านลมปราณวิญญาณ ตามทิศที่ยอดเขาเศษชิ้นส่วนจากห้วงอวกาศตั้งอยู่

สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ดูแลข้าเป็นอย่างดี ถ้าข้านำวัตถุดิบกลับไปให้ที่นั่นได้    ข้าก็จะทำ! หวังเป่าเล่อตัดสินใจหันร่างพุ่งไปทางยอดเขาเศษชิ้นส่วนจากห้วงอวกาศด้วยความเร็วเต็มอัตรา

หวังเป่าเล่อเป็นคนแรกที่ได้ครอบครองรากฐานวิญญาณแปดนิ้ว แต่ไม่ใช่คนแรกที่ก้าวเข้าสู่ระดับลมหายใจเที่ยงแท้ในรอบนี้ ความจริงแล้วตอนที่เขากำลังสู้           กับรากฐานวิญญาณเก้านิ้ว และดูดกลืนแสงสีม่วงจนหมดสติไปนั้น รากฐานวิญญาณแปดนิ้วอีกตนโผล่ขึ้นมาและมีคนดูดกลืนไปได้

ในเวลาเดียวกัน บรรดาเหล่าลูกศิษย์จากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าบางคนก็บรรลุระดับการฝึกตนโบราณ และก้าวเข้าสู่ระดับลมหายใจเที่ยงแท้แล้วเช่นกัน ส่วนใหญ่มีรากฐานวิญญาณสั้นกว่าห้านิ้ว ซึ่งหมายความว่าพวกเขาจะอยู่ในหมู่บ้านต่อได้อีก    ไม่นานนัก ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ต้องทำภารกิจเพื่อสำนักศึกษาเต๋าของตนเองให้สำเร็จ จึงพากันมาเตรียมตัวบรรลุระดับปราณกันอยู่เต็มบริเวณยอดเขาเศษชิ้นส่วน ทุกคนทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อบรรลุปราณให้จงได้

พวกเขาจะได้ตรงดิ่งไปยังยอดเขาเศษชิ้นส่วนทันทีที่บรรลุระดับปราณสำเร็จ เพื่อที่สนามแม่เหล็กจะได้ผลักพวกเขาออกไปพร้อมกับวัตถุดิบที่ต้องการในมือ

ทว่ายังมีอีกหลายคนที่บรรลุระดับปราณโดยครอบครองรากฐานวิญญาณยาวกว่าห้านิ้ว บางรายยาวถึงเจ็ดนิ้ว บางรายไม่กล้าหวังจะได้รากฐานวิญญาณยาวกว่านั้น พวกเขาจึงใช้เวลาที่มีให้เป็นประโยชน์ ด้วยการไล่เก็บวัตถุดิบจากยอดเขาเศษชิ้นส่วน เพื่อผลประโยชน์ของสำนักศึกษาและตนเองไปพร้อมๆ กัน

เมื่อหวังเป่าเล่อเข้าไปใกล้ยอดเขาเศษชิ้นส่วน ก็เผชิญหน้ากับความโกลาหล   ศิษย์จากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋ากว่าร้อยคนที่บรรลุผ่านระดับการฝึกตนโบราณ มาเป็นผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้แล้ว ต่างพากันวิ่งโร่ไปทั่วทั้งยอดเขาเศษชิ้นส่วน หรือไม่ก็ถูกขับออกมาจากภูเขาอย่างรวดเร็ว หลังจากที่สนามแม่เหล็กเข้าหุ้มร่าง!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version