Skip to content

A World Worth Protecting 113

บทที่ 113 แท่นบูชาหยกสีมรกต

คงไม่สลักสำคัญอะไรหากหวังเป่าเล่อไม่เห็นภาพอันชวนตื่นตะลึงนั้นเข้าเสียก่อน กระนั้นระหว่างที่เขากำลังมุ่งหน้าไปหามัน ก็เคลื่อนที่ผ่านกำแพงโลหะที่เรียงรายตลอดทาง ทำให้เห็นเงาสะท้อนภาพของตัวเองในนั้น ชายหนุ่มกวาดตามองทั้งบริเวณขณะพุ่งตัวไปข้างหน้า ทว่าหยุดชะงักทันทีที่เห็นภาพสะท้อนของตัวเองเข้า

นี่ข้ายังผอมเพรียวไม่ต่างจากแต่ก่อนอยู่อีกรึ หึ

เห็นได้ชัดว่าความหมายของคำว่า ‘ผอม’ ในหัวของเขาต่างจากของคนอื่น      เมื่อมองเห็นภาพสะท้อนบนผิวกำแพงโลหะ เขาก็หมุนตัวไปมาด้วยความเบิกบาน มองภาพสะท้อนเหล่านั้นจากทุกด้านอย่างพึงพอใจ

ถังน้ำใบนี้ใหญ่จนทำให้ข้าดูอ้วนกว่าปกติ แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็ยังดูดีทีเดียว

จำนวนศิษย์สี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าลดลงไปมาก จนสุดปลายทางเดินก็เหลือเพียงเขาคนเดียว

ลึกเข้ามาระดับนี้มีวัตถุแปลกประหลาดมากมายบนพื้นและในห้องรอบด้าน      ทั้งแส้บินผุพัง ชุดเกราะแตกร้าว และเศษโลหะทื่อๆ…

นอกจากบรรดาวัตถุเหล่านั้น หวังเป่าเล่อยังเห็นระฆังชำรุดกับเศษขวดโอสถ    ตกแตกอยู่อีกมากมาย

เหตุใดจึงมีแต่ของที่พังแล้วเช่นนี้เล่า

หวังเป่าเล่อฉุนเฉียวเล็กน้อย ตลอดทางมานี้เขาเห็นแต่ของที่แตกเป็นเสี่ยงๆ นอกจากถังที่เขาแบกไว้ไม่มีอะไรอยู่ในสภาพสมบูรณ์เลย วัตถุอย่างพวกพืช โอสถ และสมบัติเวทดูจะเป็นเพียงภาพฝันเท่านั้น…

ถึงจะแตกหักหมดแล้ว ข้าก็จะเอากลับไปด้วย!

หวังเป่าเล่อไม่ยอมแพ้ เขารู้สึกว่าอาจมีสิ่งล้ำค่าปนอยู่กับวัตถุเหล่านี้ เพียงแต่ตนยังไม่ทันสังเกตเห็น เขาจึงเก็บบางส่วนมาใส่ถังก่อนไปต่อ

สักพักต่อมา หวังเป่าเล่อนึกอยากพุ่งผ่านทางแยกสลัวตรงทางของถนนด้านขวาของทางเดิน ทว่ากลับมีไอเย็นน่าขนลุกลอยออกมาจากในทางแยกนั้นเสียก่อน       ร่างเงาสีดำร่างหนึ่งพุ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว

“ใครน่ะ” หวังเป่าเล่อสังเกตเห็นร่างนั้นจากทางหางตาแล้วสะดุ้งตกใจ           เขารีบก้าวเข้าไปดูใกล้ๆ แต่ทางเดินด้านข้างนั้นเงียบกริบและดูไม่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดั่งว่าร่างเงาสีดำเมื่อครู่นี้เป็นเพียงภาพที่เขาคิดมากไปเองเพราะมองเห็นไม่ชัด

หวังเป่าเล่อกำลังคิดจะใช้งานหุ่นเชิด ให้เข้าไปดูใกล้ๆ ด้วยความใคร่รู้ แต่ตอนนั้นเอง มีแสงส่องสว่างมาจากข้างทางอันมืดมิดด้านใน เสียงลมหายใจหนักอึ้งและมวลความงุ่นง่านแผ่ซ่านออกมาอย่างรวดเร็ว

หวังเป่าเล่อระหวาดระแวงขึ้นมา เขาเพ่งมองตรงไปแล้วกระจ่างขึ้นมาทันที    แสงสว่างนั้นเกิดจากสนามแม่เหล็กเข้าล้อมตัวคนผู้หนึ่งไว้ คนผู้นั้นสวมเสื้อคลุม    ศิษย์สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ อ้อมแขนกอดน้ำเต้าสีเงินเอาไว้

“จั่วอี้ฟาน!” หวังเป่าเล่อตะโกนลั่นเมื่อตระหนักได้ว่าใครกำลังเข้ามาหา         ตอนนั้นเอง เขารับรู้ได้ถึงแรงกดดันระดับลมหายใจเที่ยงแท้ที่แผ่ออกมาจากตัว       จั่วอี้ฟาน มันกำลังต้านทานสนามแม่เหล็กอยู่ แรงกดดันนั้นไม่ได้เกิดจาก          รากฐานวิญญาณเจ็ดนิ้ว แต่เป็นรากฐานวิญญาณแปดนิ้ว

“หวังเป่าเล่อ” ร่างที่ปลิวหวือตามแรงของสนามแม่เหล็กไปคือจั่วอี้ฟานไม่ผิดแน่นอน สีหน้าของเขาฉายแววเสียใจไม่สบอารมณ์ และเอาแต่หันไปมองด้านหลัง ทว่าพอได้ยินเสียงหวังเป่าเล่อ เขาก็หันกลับมาทันที พอเห็นชัดว่าเป็นหวังเป่าเล่อ    เขาประหลาดใจไปแวบหนึ่งก่อนจะเริ่มตะโกนเหมือนคิดอะไรบางอย่างได้

“หวังเป่าเล่อ ไปตรงนั้นเดี๋ยวนี้! เจ้าเยี่ยเหมิงเจอแท่นบูชาข้างใน มีสมบัติในนั้นเต็มไปหมด รวมถึงศพซากศพด้วย!

“เร็วเข้า! มีคนแย่งชิงสมบัติกันอยู่ตรงนั้นเต็มไปหมดเลย!”

จั่วอี้ฟานฝากข้อความไว้เพียงเท่านั้น ก่อนถูกสนามแม่เหล็กลากผ่านหวังเป่าเล่อลับหายไปตรงทางออก

ดวงตาของหวังเป่าเล่อเบิกกว้างทอประกายระยิบระยับ ลมหายใจถี่กระชั้น

ซากศพกระนั้นหรือ…

คำนี้กระตุ้นหวังเป่าเล่อกว่าคำอื่นใด เขารู้ว่าจั่วอี้ฟานไม่ได้หมายถึงซากศพของคนบนโลกนี้ ดังนั้นย่อมแปลได้ว่าซากศพดังกล่าวเป็นของอีกอารยธรรมการฝึกปราณ เหล่าผู้ที่ติดตามกระบี่สำริดเขียวโบราณมายังโลกใบนี้!

เมื่อเทียบกับวิชายุทธ์ โอสถ และวัตถุไร้ชีวิตชิ้นอื่น ซากศพของผู้คนจาก       อารยธรรมการฝึกปราณอื่นมีค่าสูงกว่านัก เป็นความสำคัญเกินบรรยายสำหรับสหพันธรัฐในปัจจุบัน ใครก็ตามที่นำซากศพเหล่านั้นกลับไปให้สี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าได้นับว่าได้สร้างวีรกรรมอันยิ่งใหญ่เกินพรรณนา

ระหว่างที่ใจหวังเป่าเล่อพลุกพล่าน ตัวเขาพุ่งไปข้างหน้า เร่งไปยังทางด้านข้างเหมือนพาหนะสงครามด้วยความเร็วเต็มอัตรา

พอหวังเป่าเล่อพุ่งออกไป จู่ๆ กำแพงของทางด้านข้างเกิดบิดเบี้ยว และมี         หัวกะโหลกดำโผล่ออกมา สภาพดูเหมือนผ่านการเน่าสลายมาเป็นเวลานาน เหลือแค่เพียงกะโหลกเปล่า มันมองไปยังทางที่หวังเป่าเล่อกำลังไปก่อนจะเปิดปาก เผยให้เห็นแถบฟันแหลมสีดำกับเหลือง และมีเส้นเอ็นเหนียวเชื่อมกรามล่างกับบนไว้

ภาพชวนสยดสยองนั้นทำให้ทุกคนที่ได้พบเห็นถึงกับสันหลังวาบ

มันหันมาก่อนจะตะกายกลับเข้าไปในกำแพง เหมือนชีวิตของมันจะสิงสถิตอยู่ภายในกำแพงแห่งนั้น มีเนื้อหนังและเลือดกระจายออกมาอย่างรวดเร็วจากภายใน

ไม่มีใครทันสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ แต่ถึงแม้หวังเป่าเล่อจะทะยานไปด้วยความเร็วสูง เขายังคงรู้สึกถึงไอเย็นยะเยือกที่เขารู้สึกก่อนหน้า ร่างเงาดำที่พุ่งผ่านไปไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดไปเองแน่นอนแล้ว

เขาจึงไม่คิดประมาทยามพุ่งตัวต่อไป

ถึงจะมีหลายคนเคยย่างกรายเข้ามา ก็ใช่ว่าจะไม่อันตราย เห็นทีข้าเองก็ประมาทไม่ได้เช่นกัน!

หวังเป่าเล่อพุ่งผ่านทางแยกโดยระมัดระวังตัวทุกฝีก้าว สักพักต่อมา เขาได้ยินเสียงระเบิดโครมครามและเสียงผู้คนต่อสู้กันดังลั่นอยู่ด้านหน้า

“เจ้าเยี่ยเหมิง เฉินหมิงอวี่ ทำไมพวกเจ้าสองคนยังสู้กันอยู่อีก จั่วอี้ฟานออกไปแล้ว และพวกเจ้าทั้งสองก็มาจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์กันทั้งคู่!”

“เจ้าเยี่ยเหมิง ในเมื่อเจ้าเป็นคนค้นพบที่นี่ เจ้าเอาน้ำเต้าไปก็ได้ แต่ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเอาซากศพไปเป็นอันขาด!”

“ช้าก่อน มีคนมา!”

ทันทีที่หวังเป่าเล่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขาก็เห็นรอยแยกปรากฏบนกำแพงไกลออกไป รอยกว้างประมาณหกเมตร ทอแสงสีฟ้าส่องประกายอยู่ข้างใน

ภายในมองเห็นสองสามร่างเคลื่อนไหวไปมา ทั้งยังได้ยินเสียงต่อสู้ดังออกมาด้วย ทันใดนั้นใครคนหนึ่งก็พุ่งเข้ามาทางรอยแยกเหมือนจะขวางทางเอาไว้

ดวงตาหวังเป่าเล่อส่องประกายวาบ เขายิ่งเร่งความเร็วแทนที่จะชะลอตัวเองลง เสียงคำรามดังลั่นทำลายความเงียบในอากาศ เขาตรงดิ่งไปยังรอยแยกนั้น

หวังเป่าเล่อเคลื่อนไหวเร็วกว่า พอเข้าไปใกล้ เขาก็มองให้ถนัดตาจึงเห็นว่าข้างในรอยแยกมีชายตัวใหญ่กำยำสวมเสื้อคลุมสำนักศึกษาเต๋ากวางขาวสาขาย่อย            ถือโล่ใหญ่สูงเกือบเท่ากับตัวเองยืนขวางทางรอยแยกอยู่ พอทางนั้นสัมผัสได้ว่า      หวังเป่าเล่ออยู่อีกฟากของรอยแยก ก็หรี่ตาเล็กลงแล้วคำรามก้อง

“ไสหัวไป!”

“ฝันไปเถอะ!” หวังเป่าเล่อตอบอย่างฉุนเฉียวเสียงดังข่มชายร่างกำยำผู้นั้น จังหวะที่เขาคำรามสวน มือขวาที่ยกอยู่ก็กำขึ้นเป็นหมัด สูบปราณวิญญาณรอบด้านเข้าหา ถุงมือของเขาพุ่งออกไปพร้อมแรงระเบิด!

พลังวิญญาณในตัวเขาขยับเคลื่อนประสานรวมเข้ากับถุงมือ ทำให้ถุงมือส่องแสงสีดำประกายเจิดจ้ายิ่งขึ้น ความเร็วเขาเพิ่ม และพลังพุ่งขึ้นถึงขีดสุด เขาเหมือนเป็นดาวตกพุ่งใส่โล่ของชายร่างกำยำ เกิดเป็นเสียงระเบิดดังลั่น

นี่คือ พลังของคลื่นที่เกิดจากการควบคุมปราณวิญญาณภายในและภายนอก    ทรงพลังเหนือกว่ารากฐานวิญญาณเก้านิ้ว วินาทีที่พลังพุ่งออกมา เกิดเสียงดังจนแผ่นดินสั่นไหว โล่ขนาดใหญ่ตรงหน้าชายร่างกำยำทานรับแรงไม่ไหวแล้วแตกเป็น   ชิ้นเล็กชิ้นน้อยในพริบตาเดียว จากนั้นชายหนุ่มจากสำนักศึกษาเต๋ากวางขาว        สาขาย่อยก็กระอักเลือดแดงสดออกทางปาก เขากรีดร้องอย่างเจ็บปวด ร่างกายขดงอก่อนจะทุลักทุเลหนีไปหลายสิบเมตร

เมื่อชายคนนั้นถอยหนีไป หวังเป่าเล่อก็แทรกตัวเข้าไปในรอยแยกนั้น เข้าสู่บริเวณที่มีแสงสีฟ้าเจิดจ้า

พอมองไปรอบด้านให้ชัดๆ ใจหวังเป่าเล่อก็เต้นโครมคราม นัยน์ตาหรี่ลงขณะที่ลมหายใจเขาสะดุดชะงัก

สิ่งแรกที่เขาสังเกตเห็นคือ พื้นที่นี้เป็นทรงไข่ มีหมอกดำปริศนาปกคลุมเป็นบริเวณกว้าง ล้อมไว้จากทุกทิศทาง

ยังดีว่าบริเวณนี้มีแสงพอให้เขาเห็นคูน้ำด้านล่าง แต่ละช่องคูตัดไขว้กันไปมาดูเหมือนวงแหวนปราณ!

ในวงแหวนปราณนั้นมีรูปปั้นตั้งรวมกันอยู่มากมาย ส่วนใหญ่แตกหักหมดแล้ว    แต่ยังพอมองท่าทางของพวกมันออก ทั้งหมดล้วนคุกเข่า สีหน้าเปี่ยมศรัทธาราวกับกำลังวิงวอน และทั้งหมดคุกเข่าหันไปทาง…

แท่นบูชาห้าเหลี่ยมขนาดใหญ่ทำจากหยกสีมรกตที่ตั้งอยู่ตรงนั้น มีขั้นบันได     นำทางขึ้นไป ขนาดแท่นใหญ่จนกินพื้นที่วงแหวนปราณไปกว่าครึ่ง กินพื้นที่ในบริเวณรูปไข่ไปกว่าร้อยละสามสิบ

พอมองใกล้ๆ มีบันไดเก้าขั้นนำขึ้นไปถึงแท่น วงแหวนอักขราจารึกสลักไว้ทุกขั้น และด้านบนที่ตรงไปยังแท่น มีหอกลอยอยู่กลางอากาศ!

หอกยาวเปล่งประกาย รอยเกลียวบนด้ามส่องแสง แผ่รังสีอันน่าประทับใจ       จนไม่น่าเชื่อออกมา เหมือนอาวุธชิ้นนี้จะมีเพียงชิ้นเดียวบนโลก ถือเป็นสมบัติ        อันประเมินค่ามิได้!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version