Skip to content
Home » Blog » A World Worth Protecting 120

A World Worth Protecting 120

บทที่ 120 ตระกูลคงกระพัน

“หวังเป่าเล่อ!”

“หม้อหลอมโอสถ นั่นต้องเป็นหม้อหลอมโอสถแน่ๆ! เจ้าหวังเป่าเล่อเอา       หม้อหลอมโอสถกลับมาได้ด้วยหรือนี่! มีหุ่นเชิดห้อยอยู่รอบหม้ออีก!”

“ทำไมต้องตื่นเต้นกับหม้อหลอมโอสถด้วย ฝาปิดก็ไม่มี ในนั้นก็…สวรรค์ ข้าวของมากมาย มีชิ้นส่วนอาวุธเวทอยู่ด้วย!”

“…”

ระหว่างที่ฝูงชนกำลังโหวกเหวกโวยวายอยู่นั้น หวังเป่าเล่อก็ได้แต่แคะหูให้     หายอื้อ เขาดีใจมากจนกระแอมไอด้วยความเคอะเขิน ก่อนจะยกมือขวาที่สวมถุงมืออยู่ขึ้นดีดนิ้ว

ทันใดนั้น หุ่นเชิดก็ปล่อยมือจากถัง ข้าวของมากมายร่วงหล่นลงพื้นจนเกิดเสียงดังสนั่น

ข้าวของกองนั้นมีทั้งโอสถ เศษชิ้นส่วน แผ่นหยกที่แตกหัก และอื่นๆ อีกมากมายที่หวังเป่าเล่อเองก็ไม่รู้จัก สมบัติมากมายวางกระจัดกระจายเต็มพื้น

ฝูงชนหยุดหายใจไปชั่วขณะ แต่ไม่ช้า อารมณ์หลากหลายก็ประเดประดังเข้ามาเต็มอก

“สวรรค์! นั่น…ของที่หุ่นเชิดหอบอยู่ มีใบไม้อยู่ด้วย หรือว่าจะเป็นพันธุ์พืช”

“ศิลาวิญญาณโบราณก็มี ดูศิลาพวกนั้นสิ! นั่นมันศิลาวิญญาณโบราณของจริง!”

“ดูนั่น! บนหินแตกก้อนนั้น! มีอักษรปราณอยู่ด้วย หรือว่าจะเป็นวงแหวนปราณ”

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังวุ่นวายราวกับคลื่นยักษ์ถาโถม หวังเป่าเล่อยืดอกอย่างภาคภูมิใจ แต่ก็รู้สึกว่าแค่นี้ยังไม่มากพอ ว่าแล้วเขาก็เตะเข้าที่ถังใบใหญ่จนล้มลงทันที

ข้าวของมากมายเทกระจาดออกมา ศพสี่ตนนั้นกลิ้งออกมาจากถัง!

ตอนแรกศพทั้งสี่อยู่ด้านบนสุดของถัง แต่ชายหนุ่มกลัวว่าจะตกระหว่างทาง เลยยัดลงไปลึกๆ แทน พอศพหล่นออกมา เสียงโกลาหลก็ดังขึ้นไปอีก

“ศพ!”

“มีสี่ตน…ถ้ามองไม่ผิด เจ้าหวังเป่าเล่อ…เอาศพกลับมาด้วย!”

เสียงพูดคุยดังลั่นไปทั่วพื้นที่ เหล่าผู้อาวุโสจากแต่ละสำนัก ผู้มีระดับฝึกตนสูงกว่าเจ้าสำนักจากสำนักศึกษาของตนเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ พวกเขา       หายใจลึก มองศพทั้งสี่อย่างตื่นตะลึง

“น่าจะเป็นศพกลุ่มเดียวกันกับศพตนแรกที่เจ้าเยี่ยเหมิงนำออกมา!”

“ดูที่หว่างคิ้วสิ! ศพพวกนี้…มาจากตระกูลคงกระพันที่มีการบันทึกไว้!”

“จากที่นางบอก ในสถานที่นั้น…มีศพทั้งหมดห้าตน”

เหล่าผู้อาวุโสที่สงบนิ่ง วางตัวสมตำแหน่งและระดับการฝึกปราณของตนมาโดยตลอด บัดนี้กลับตื่นเต้นจนอยู่ไม่สุข ดวงตามีไฟลุกโชติช่วง ผู้อาวุโสหน้าแดงที่ยืนอยู่ในหมู่    ผู้อาวุโสทั้งหลายหันมามองหวังเป่าเล่อและเอ่ยถามขึ้น

“เจ้าหนุ่ม ศพทั้งสี่นี่…เป็นกลุ่มเดียวกันกับศพตนก่อนหน้าหรือ”

“ท่านผู้อาวุโส ศพพวกนี้มาจากแท่นบูชา ข้าได้มาหลังจากทุ่มพลังทั้งหมด     เสี่ยงภัยอันตรายถึงชีวิต ช่างยากลำบากยิ่งนักกว่าจะนำกลับมาได้” หวังเป่าเล่อตอบกลับอย่างนอบน้อม หลังจากที่เห็นว่าผู้อาวุโสบางท่านนั้นเป็นบุคคลมีชื่อเสียง จึงเป็นการดีกว่าถ้าเขาตอบอย่างซื่อสัตย์ที่สุด

หลังจากได้รับคำตอบจากหวังเป่าเล่อ กลุ่มผู้อาวุโสก็ดูสับสนเล็กน้อย แต่เห็นได้ชัดว่ายังตื่นตะลึงไม่หาย พวกเขาเงยหน้ามองขึ้นฟ้าพร้อมกับหัวเราะลั่น ก่อนจะเลื่อนหน้ากลับมามองเด็กหนุ่มด้วยแววตาชื่นชม ผู้อาวุโสหน้ายาวที่สวมเสื้อคลุมสำนักศึกษา  เต๋ากวางขาวตบบ่าหวังเป่าเล่อเพื่อแสดงความชื่นชม

“ไม่เลวเจ้าหนุ่ม ข้าขอชื่นชมความไม่ย่อท้อที่จะนำของเหล่านี้กลับมา            ย้ายมาศึกษาที่สำนักศึกษาเต๋ากวางขาวเถอะ”

พูดจบ ผู้อาวุโสหน้าแดงก็ไม่ยอมแพ้ เดินเข้ามาปัดมือบนบ่าออก มองหวังเป่าเล่อด้วยแววตาชื่นชม ก่อนจะยิ้มกว้างให้

“เจ้ามีนามว่าหวังเป่าเล่อใช่หรือไม่ เจ้าหนุ่ม จงฝึกวิชาต่อที่สำนักศึกษา          เต๋าศักดิ์สิทธิ์นี่ละ เจ้าทำได้เยี่ยมยอด อนาคตภายหน้าจะต้องรุ่งเรืองเป็นแน่!”

ผู้อาวุโสจากสำนักศึกษาเต๋ากวางขาวไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองแต่อย่างใด เขามองหวังเป่าเล่อด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า ก่อนจะหันกลับไปสนใจศพเหล่านั้นอีกครั้ง      แล้วเริ่มตรวจตราอย่างถี่ถ้วน

ศิษย์จากทั้งสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋ารอบข้างเริ่มเงียบเสียงลง แต่ความคิดในหัว  พวกเขาไม่ได้สงบลงเลย พวกเขาได้แต่มองของที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นสลับกับหวังเป่าเล่อที่กำลังปลื้มปีติอยู่

คำฟ้องร้องและข้อพิพาทเมื่อครู่กลายเป็นเรื่องไม่สลักสำคัญไปเสียแล้ว หลี่อี้และคนอื่นๆ ได้แต่กัดฟันเก็บความโกรธจ้องมองข้าวของที่ตนถูกปล้นไปวางกองรวมอยู่ตรงนั้นด้วย

แต่พวกเขาก็ต้องยอมแพ้ให้หวังเป่าเล่อ ข้าวของที่ชายหนุ่มรวบรวมมาได้นั้นมากมายมหาศาล แม้จะตัดของที่ได้จากพวกเขาไป สิ่งของกองพะเนินที่หวังเป่าเล่อรวบรวมมาได้ก็ยังชนะพวกเขาอยู่ดี

ยิ่งเห็นศพสี่ตนนั้น พวกเขาก็ยิ่งเป็นทุกข์ คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าหวังเป่าเล่อ  นำศพพวกนั้นออกมาได้อย่างไร

เหล่าศิษย์คนอื่นๆ ได้แต่ยืนอึ้งกับกองของมหึมาที่หวังเป่าเล่อรวบรวมมาได้      ถ้าอยากจะสู้กับเขา จะรวบรวมของจากศิษย์ทั้งสำนักก็คงไม่พอ แค่เพียงศพสี่ตน      ก็ชนะอีกสามสำนักศึกษาเต๋าขาดลอยแล้ว! ในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีใครรวบรวมของได้มากมายเท่านี้มาก่อนตั้งแต่มีการเปิดหมู่บ้านลมปราณวิญญาณมา ทุกคนจึงนิ่งอึ้งเกินกว่าจะบรรยายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดได้

ข้าวของที่หวังเป่าเล่อรวบรวมมาได้นั้นทำให้ความวุ่นวายที่เขาก่อไว้กลายเป็นเรื่องเล็กไปถนัดตา จะมัดผู้คนติดกับหุ่นเชิดหรือทำการใดมากกว่านั้น ขอแค่เพียง    ไม่ขัดต่อกฎ โดนตำหนิเพียงนิดหน่อยก็ได้รับการอภัยโทษแล้ว

สามเจ้าสำนักได้แต่หัวเราะแห้งๆ มองหวังเป่าเล่อพร้อมกับส่ายหน้า ภายในใจ  คงได้แต่คิดว่าจะดีแค่ไหนถ้าได้หวังเป่าเล่อมาเป็นศิษย์ในสำนักตน

ชายชรานั้นปลื้มปีติหน้าบาน เขาหัวเราะลั่นให้กับท้องฟ้า ก่อนจะเดินไปจับไหล่หวังเป่าเล่อมั่น

“เป่าเล่อ เยี่ยมยอดมาก!”

ชายชราสุขใจเกินกว่าจะบรรยายได้ ศิษย์สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ต่างมีพลังใจเต็มเปี่ยม เดินเข้าไปแสดงความยินดีกับหวังเป่าเล่อ ในใจรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ทำเช่นนั้น พวกเขาต่างภาคภูมิใจมากที่ได้เป็นศิษย์สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์

สำหรับพวกเขาแล้ว หวังเป่าเล่อนั้นถือว่าเป็นผู้มีพระคุณมากทีเดียวเมื่อตอนอยู่ในหมู่บ้านลมปราณวิญญาณ ชายหนุ่มได้ให้การช่วยเหลือศิษย์หลายคนที่มาจากสำนักศึกษาเดียวกัน ตอนที่เหล่าศิษย์จากอีกสามสำนักศึกษารุมต่อว่าหวังเป่าเล่อ พวกเขาไม่ได้โต้เถียงอะไรออกไป แต่ก็พร้อมจะปกป้องชายหนุ่มหากว่าเขาจะโดนลงโทษ พอเห็นเหตุการณ์คลี่คลายลงกับผลงานที่หวังเป่าเล่อทำให้แก่สำนักศึกษา   เต๋าศักดิ์สิทธิ์แล้ว พวกเขาก็สุขใจไปด้วยเช่นกัน แม้ว่าจะมีบ้างที่แอบอิจฉาอยู่ลึกๆ

หวังเป่าเล่อดีใจจนลิงโลด ชายหนุ่มพูดคุยกับศิษย์สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์รอบๆ อย่างสุขใจ จั่วอี้ฟาน ตู้หมิน เฉินจื่อเหิง และพวกที่เหลือก็เขามาร่วมวงสนทนาด้วย ตู้หมินเองก็เกือบจะบรรลุระดับรากฐานวิญญาณหกนิ้วแล้ว แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะไม่ได้พบกับเฉินจื่อเหิงในหมู่บ้านลมปราณวิญญาณ แต่เฉินจื่อเหิงนั้นก็ทำได้ดีไม่เบา     บรรลุระดับรากฐานวิญญาณเจ็ดนิ้วไปเงียบๆ ด้วยตัวเอง

ทางด้านจั่วอี้ฟานนั้น หลังจากแยกกับหวังเป่าเล่อ เขาก็ได้รากฐานวิญญาณแปดนิ้วมาครอบครองเพราะโชคช่วย

เจ้าเยี่ยเหมิงเองก็เดินมากล่าวขอบคุณพร้อมกับมองลึกเข้าไปในดวงตาของชายหนุ่ม

ทุกสิ่งทำให้หวังเป่าเล่อสุขใจมากจนออกทางสีหน้า เขาคิดว่าชื่อเสียงของเขาในตอนนี้บ่งชี้ว่าเขาสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐได้แน่ในอนาคต แม้จะฟังดูไม่สมเหตุสมผลเท่าใด แต่หวังเป่าเล่อนั้นก็มั่นใจในตัวเองมากขึ้นไปกว่าเดิม

เหล่าศิษย์จากอีกสามสำนักห่อเหี่ยวใจเมื่อเห็นหวังเป่าเล่อเป็นจุดสนใจอีกครั้ง แต่พวกเขาก็ก้มหน้ายอมรับความจริง ไม่ช้าศิษย์ส่วนใหญ่ก็กลับออกมากันเกือบครบ กลุ่มผู้ฝึกตนจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าวาดวงแหวนปราณเพื่อดึงเหล่าศิษย์ที่ยังเหลืออยู่ภายในให้กลับออกมา

ม่านมิติเวทหมู่บ้านลมปราณวิญญาณปิดลงแล้ว

จากศิษย์จำนวนกว่าสี่พันคนที่ได้เข้าไปในหมู่บ้าน มีถึงร้อยละเก้าสิบที่ได้บรรลุระดับลมหายใจเที่ยงแท้ มีบางส่วนที่โชคไม่เข้าข้าง แต่ด้วยความสามารถของพวกเขา ยังมีโอกาสเข้ารับการทดสอบจากมิติเวทของแต่ละสำนักเมื่อกลับไป น่าจะไม่ยากลำบากเท่าใดที่จะบรรลุระดับลมหายใจเที่ยงแท้ เว้นเสียแต่จะโชคร้าย          ขนาดสวรรค์ไม่แยแส

ข้าวของทุกชิ้นนั้นจะได้รับการบันทึกอย่างละเอียดเพื่อแสดงให้เห็นถึงผลงาน     ที่ทำได้จากภารกิจของพวกเขา ถ้ามีสมบัติชนิดใดที่อยากเก็บไว้ใช้ส่วนตัว                ก็สามารถเอ่ยขอได้ หรือจะทำเรื่องขอหลังจากได้ตรวจดูของทุกชิ้นอย่างถี่ถ้วนที่  สำนักศึกษาของตนก็ได้ หากจะขอแลกเปลี่ยนกับของชิ้นอื่น ก็สามารถทำได้เช่นกัน   สี่ยอดสำนักศึกษาเต๋านั้นจะไม่ค่อยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เท่าใดนัก

หวังเป่าเล่อมองข้าวของมากมาย ก่อนจะตัดสินใจไม่เก็บลูกประคำน้ำเงินไว้เอง เพราะระหว่างกลับออกมาจากหมู่บ้าน ชายหนุ่มพบว่าลูกประคำนี้ไม่สามารถเก็บใส่กำไลคลังเวทของเขาได้ จริงๆ แล้ว สมบัติทุกชิ้นจากหมู่บ้านลมปราณวิญญาณก็      ไม่สามารถเก็บใส่กำไลคลังเวทได้เช่นกัน

แม้ลูกประคำน้ำเงินจะเป็นของล้ำค่า แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าเดิมเคยเป็นหอกยาวสีน้ำเงิน อีกทั้งมันยังจางลงระหว่างทางกลับมา ลูกประคำนั้นถึงจะสีอ่อนลงไป แต่ก็มีหลายคนที่สนใจอยากได้มาครอบครอง แต่เมื่อเทียบกับของอื่นๆ ที่หวังเป่าเล่อเก็บกลับมาได้ มันก็ดูไม่โดดเด่นเท่าใดนัก

นอกจากหวังเป่าเล่อจะไม่เก็บลูกปัดกลับไปแล้ว เขาก็ยังตัดสินใจไม่เก็บของบางส่วนที่คัดไว้ด้วย จากข้าวของที่เขารวบรวมมาได้นั้น คงจะสามารถใช้ต่อรองแลกเปลี่ยนกับของหลายอย่างเมื่อกลับไปถึงสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์

หลังจากจัดสรรปันส่วนข้าวของเสร็จ สี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าก็แยกย้ายกันเดินทางกลับ ส่วนการเดิมพันระหว่างเจ้าสำนักนั้น ท่านลู่เป็นผู้ชนะไป สำหรับเหล่าศิษย์ที่ได้บรรลุขั้นรากฐานวิญญาณแปดนิ้ว นอกจากหลี่อี้แล้ว ยังมีศิษย์อีกคนนามว่าเจิ้งหยวนเจี๋ย เขาไม่ค่อยเป็นที่รู้จักเท่าใดนัก หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้พบกับเขาภายในหมู่บ้าน     ลมปราณวิญญาณ

ส่วนสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์นั้น มีผู้บรรลุขั้นรากฐานวิญญาณแปดนิ้วสามคน ได้แก่ เจ้าเยี่ยเหมิง จั่วอี้ฟาน และหวังเป่าเล่อ

รากฐานวิญญาณของหวังเป่าเล่อนั้นสามารถเปลี่ยนไปมาได้ แต่เขาอยากจะเก็บพลังที่แท้จริงของเขาไว้เป็นความลับ จึงตัดสินใจแฝงตัวเป็นผู้บรรลุขั้น            รากฐานวิญญาณแปดนิ้ว

พอเห็นหลี่อี้และคนอื่นๆ ขึ้นเรือบินไป หวังเป่าเล่อก็เกิดความรู้สึกบางอย่าง

จะได้เจอพวกนั้นอีกเมื่อใดนะ…

ขณะมองพวกนั้นเดินกลับ หลี่อี้และพวกก็สังเกตเห็นหวังเป่าเล่อเช่นเดียวกัน พวกเขามองตาแข็งกลับไปยังชายหนุ่มก่อนจะหันหลังกลับขึ้นเรือบินไป

ไม่นาน เรือบินของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ก็ทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า ระหว่างเคลื่อนตัวไปไกลในอากาศ หวังเป่าเล่อยืนอยู่ดาดฟ้าของเรือบิน กำลังก้มมองหมู่บ้านลมปราณเบื้องล่าง จ้องไปยังยอดเขาเศษชิ้นส่วนที่เลือนรางขึ้นเรื่อยๆ ภาพรูปปั้น  หญิงสาวแสนงดงามและใบหน้าสยองนับร้อยพันปรากฏขึ้นในสายตาของเขาอีกครั้ง

“ตระกูลคงกระพันหรือ” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตัวเองเบาๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version